บทที่ 363.2 หวังไว้บนไหล่ของคนอื่น

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เจิ้งต้าเฟิงเริ่มกระดกนิ้วขึ้นมานับ “ถ้ำสวรรค์หลีจูของพวกเรา หร่วนฉงถือว่าเป็นคนหนึ่ง สกุลซ่งต้าหลีร้ายกาจขนาดนั้น ตอนนี้เขมือบกลืนพื้นที่เกือบครึ่งของแจกันสมบัติทวีปไปแล้ว แต่ก็ยังอยากจะยกช่างตีเหล็กขึ้นบูชาเป็นพระโพธิสัตว์เต็มทีไม่ใช่หรือ? บรรพบุรุษสกุลเกาต้าสุยคนที่ชอบเป็นนักเล่านิทาน ถือว่าเป็นคนหนึ่ง แต่เมื่อเจอกับหลี่เอ้อร์ศิษย์พี่ของข้าก็ยังไม่กล้าปล่อยหมัดใส่หลี่เอ้อร์ ศาลลมหิมะมีเว่ยจิ้น นั่นคือผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์ซึ่งพันปีจะปรากฏสักครั้ง ภูเขาเจินอู่ต้องมีอยู่คนหนึ่งแน่นอน เพียงแต่ว่าไม่เคยยินดีปรากฏตัว เจ้าสำนักโองการเทพเพิ่งจะเลื่อนสู่ขอบเขตเซียนเหริน ได้รับบรรดาศักดิ์เทียนจวิน แต่เจ้าขุนเขาสำนักศึกษากวานหูกลับไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นห้าขอบเขตบน เจ้าลองนับดู ในหนึ่งทวีปมีขอบเขตหยกดิบแค่กี่คนเอง? แน่นอนว่าเทียนจวินเซี่ยสือแห่งอุตรกุรุทวีป และเซียนกระบี่เฉาซีแห่งทักษินาตยทวีป สวี่รั่วจอมยุทธ์พเนจรสำนักโม่ คนพวกนี้ไม่นับ เมื่อสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว ต่างก็ไม่ถือว่าเป็นผู้ฝึกตนของแจกันสมบัติทวีปเรา”

เฉินผิงอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เทียนจวินเซี่ยสือและเซียนกระบี่เฉาซีจะไม่นับได้อย่างไร สองคนนี้ต่างก็เดินออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจูของพวกเรา เพียงแต่เป็นบุปผาบานส่งกลิ่นหอมนอกกำแพงเท่านั้น แม้จะไปมีตบะและชื่อเสียงอยู่ในทวีปอื่น แต่รากฐานยังอยู่ในบ้านเกิดของพวกเรา โดยเฉพาะเฉาซีผู้นั้นที่บ้านบรรพบุรุษอยู่ในตรอกเดียวกับบ้านข้า คราวก่อนข้ายังเจอเซียนกระบี่ผู้เฒ่าคนนี้ในตรอกหนีผิงอยู่เลย เฉาซีเป็นคนไร้คุณธรรม แอบเล่นตุกติกกับภาพเทพทวารบาลของบ้านข้า แต่พี่ชายใหญ่ของหลี่เป่าผิงมองเส้นสนกลในออกจึงฉีกทิ้งไปให้”

เจิ้งต้าเฟิงไม่ได้ตอบโต้ เพียงแต่ฉีกเนื้อวัวแห้งยัดใส่ปากเคี้ยวแรงๆ

คนสี่คนในภาพวาด

พวกเขาที่ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้พยายามทำให้ตัวเองมีสีหน้าผ่อนคลายเป็นธรรมชาติใกล้จะเกร็งหน้าไม่อยู่แล้ว

‘บ้านเกิด’ ของเฉินผิงอันออกจะพิลึกพิลั่นเกินไปหน่อยหรือเปล่า?

คนเฝ้าประตูคือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้า? แล้วก็มีศิษย์พี่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบ? ในตรอกหนีผิงอะไรนั่นก็มีเซียนกระบี่ที่ชื่อว่าเฉาซี? ห่างออกไปไกลอีกนิด ก็คือ ‘พื้นที่มังกรผงาด’ ของเทียนจวินลัทธิเต๋า?

เจิ้งต้าเฟิงอยากจะหาเหตุผลให้ตัวเองสักหน่อย จึงกล่าวว่า “แต่แจกันสมบัติทวีปเพิ่งจะมีผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบแค่กี่คน? แค่สองคน หลี่เอ้อร์ ซ่งจ่างจิ้ง อันดับต่อมาก็เป็นข้าแล้วใช่ไหม? คนที่สอนวิชาหมัดให้เจ้าก็คงไม่ใช่ขอบเขตสิบเหมือนกันกระมัง?”

เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่สุดท้ายก็เลือกจะตอบไปตามตรง “ท่านผู้นั้นที่อยู่ในบ้านข้าก็น่าจะเป็นขอบเขตสิบเหมือนกัน”

เจิ้งต้าเฟิงขยี้หน้าตัวเอง “ตอนนั้นข้าผู้อาวุโสก็เกือบจะเลื่อนจากขอบเขตแปดสู่ขอบเขตสิบโดยตรงแล้วเหมือนกันเถอะ!”

เฉินผิงอันถามด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เจ้าลองเดินไม่กี่ก้าวแล้วเลื่อนสู่ขอบเขตสิบให้ข้าดูอีกครั้งสิ นั่นจะไม่ยิ่งเป็นเรื่องมหามงคลหรอกหรือ? ข้าก็ไม่ต้องไปที่แท่นมังกร แต่ทำกับข้าวเลี้ยงฉลองโต๊ะใหญ่รอเจ้าเจิ้งต้าเฟิงอยู่ในร้านยาฮุยเฉิน ดีหรือไม่?”

เจิ้งต้าเฟิงสะอึกอึ้ง

หากเลื่อนสู่ขอบเขตสิบง่ายขนาดนั้น เหตุใดหลี่เอ้อร์ต้องออกจากถ้ำสวรรค์หลีจู

ความต่างระหว่างขอบเขตเก้าและสิบของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวค่อนข้างคล้ายคลึงกับความต่างระหว่างขอบเขตสิบสองกับขอบเขตสิบสามของผู้ฝึกกระบี่

ส่วนวิถีวรยุทธ์ขอบเขตสิบเอ็ดและผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่ในตำนานนั้น แค่ลองคิดจินตนาการอย่างเดียวก็พอ

ธรณีประตูสองแห่งนี้ เมื่อเทียบกับร่องปราการธรรมชาติสองเส้นระหว่างขอบเขตห้าและหก กับขอบเขตสิบและสิบเอ็ดของผู้ฝึกลมปราณทั่วไปก็ยิ่งยากจะจินตนาการได้มากกว่า

ขนาดเจิ้งต้าเฟิงที่คิดว่าจิตใจตัวเองสูงส่งยิ่งกว่าฟ้าก็ยังไม่กล้าเพ้อฝันถึงขอบเขตเทพแห่งการต่อสู้ที่เลื่อนลอยไร้ความหวัง

ทางหัวขาด เหตุใดถึงเรียกว่าหัวขาด?

อยู่กับหยางเหล่าโถว ‘เสินจวิน’ แห่งถ้ำสวรรค์หลีจูที่ไม่ว่าอริยะรุ่นใดล้วนต้องมาเยี่ยมเยือนทักทายมานานหลายปีขนาดนี้ เจิ้งต้าเฟิงก็พอจะรู้เรื่องราวภายในบางอย่าง

เทพหยินแซ่จ้าวอารมณ์ผ่อนคลายอย่างถึงที่สุด ยังคงต้องเป็นเฉินผิงอันที่เป็นผู้ถ่ายทอดมหามรรคาของเจิ้งต้าเฟิงที่ถึงจะทำให้เจิ้งต้าเฟิงลำบากใจได้

เฉินผิงอันมองไปทางเทพหยินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ถามว่า “ตามคำบอกของท่านผู้อาวุโส ร้านยาฮุยเฉินแห่งนี้มีความลี้ลับ?”

เทพหยินพูดด้วยรอยยิ้ม “แน่นอน เสินจวินบอกให้ข้าเลือกที่แห่งนี้เป็นสถานที่ลงหลักปักฐาน หาใช่สถานที่ธรรมดาที่เจิ้งต้าเฟิงขอมาจากตระกูลฟ่านไม่ หากเปิดใช้ค่ายกล ข้าที่อยู่ที่นี่สามารถใช้ตบะขอบเขตหยกดิบได้”

เจิ้งต้าเฟิงถอนหายใจ “แต่นั่นก็เป็นวิธีชั้นล่างที่ต้องสูญเสียบุญกุศลในโลกมืดที่สะสมไว้เพื่อแลกมาด้วยตบะที่เพิ่มขึ้น ประคับประคองตนได้ไม่นาน”

เทพหยินสีหน้าเป็นปกติ “คิดจริงๆ หรือว่าข้าติดตามเจ้ามาอยู่ที่นครมังกรเฒ่าแห่งนี้ ทุกวันเอาแต่อาบแดด ชมจันทร์ รอให้วันใดมีเทพธิดาทะยานลมผ่านเหนือศีรษะไปจริงๆ ขอแค่ผ่านหนึ่งเดือนนี้ไปได้ บางทีสถานการณ์อาจมีการเปลี่ยนแปลง”

“เข้าใจแล้ว”

เฉินผิงอันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ก็มาเริ่มคำนวณศักยภาพของทางฝั่งพวกเรากันบ้าง”

เจิ้งต้าเฟิงกินถั่วลิสงโรยเกลือพลางกล่าวว่า “เจ้าหมายถึงใครบ้าง? ก็ไม่ได้อยู่ในห้องนี้ทั้งหมดแล้วหรือ?”

เผยเฉียนชี้ไปที่ตัวเอง ยิ้มพูดอย่างอารมณ์ดี “ข้าก็นับด้วยหรือ? แต่ข้ายังอยู่ห่างจากเวทกระบี่ล้ำโลกอีกหนึ่ง ‘พรุ่งนี้’ นะ”

เด็กหญิงที่ผิวดำเกรียมราวกับถ่านรู้สึกลำบากใจอย่างที่หาได้อย่าง

เจิ้งต้าเฟิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “จอมยุทธ์หญิงน้อยเผย อันที่จริงเจ้าต่างหากที่เป็นเสาคาน เป็นหัวใจหลักของพวกเรา จะดูถูกตัวเองไม่ได้!”

เผยเฉียนยิ้มรับอย่างชอบใจ ยื่นมือไปผลักจานที่ว่างเปล่า “เอาเมล็ดแตงมาเพิ่มอีก”

เจิ้งต้าเฟิงลุกขึ้นเดินไปหยิบเมล็ดแตงกำใหญ่จากห้องด้านข้างมาใส่ในจานใบเล็กเบื้องหน้าเผยเฉียนจริงๆ เนื่องด้วยจานใบไม่ใหญ่ จึงทำให้ปริมาณของเมล็ดแตงกำนั้นเปี่ยมล้นมากพอ ดูแล้วจริงใจยิ่ง

เผยเฉียนมองเจ้าหมอนี่แล้วรู้สึกถูกชะตามากขึ้นอีกนิด

ในที่สุดเฉินผิงอันก็ดื่มเหล้าคำแรก พอวางน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงแล้ว กระบี่บินสืออู่ก็พุ่งออกมา จากนั้นเฉินผิงอันก็หยิบแผ่นหยกวัตถุจื่อชื่อที่เจิ้งต้าเฟิงมอบให้ออกมา ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “คนของนครมังกรเฒ่าหลายคนรู้สึกว่ามีเงินก็ร้ายกาจมากแล้วไม่ใช่หรือ? ตอนนี้ข้ามีเงินเหลือไม่เท่าไหร่แล้ว แต่อย่างน้อยข้าก็มีทรัพย์สินที่เก็บสะสมเอาไว้ ชุดคลุมอาคมบนร่างตัวนี้มีชื่อว่าจินหลี่ คือของตกทอดจากเซียนบรรพกาลท่านหนึ่ง เจิ้งต้าเฟิง เจ้าสวมได้หรือไม่? และยังมีเชือกพันธนาการปีศาจที่ทำมาจากหนวดเจียวหลงเฒ่าขอบเขตก่อกำเนิดในร่องเจียวหลง เจ้าใช้ได้หรือไม่?”

เจิ้งต้าเฟิงส่ายหน้า “รอจนเจ้าเลื่อนสู่ขอบเขตสามหลอมดวงจิตของวิถีวรยุทธ์ก็จะรู้เองว่าวัตถุนอกกายของตระกูลเซียนเหล่านี้มีแต่จะยิ่งรัดมือรัดเท้า เจ้าสวมไว้สามารถรักษาชีวิตได้ แต่ข้าสวมไว้ มีแต่จะยิ่งเร่งให้ตายเร็วขึ้น”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ หยิบยันต์ปึกใหญ่ที่วาดเสร็จเรียบร้อยแล้วออกมา “ยันต์ปราณหยางส่องไฟน่าจะเอามาใช้ไม่ได้ ในเมื่อแท่นมังกรถูกตระกูลฝูสร้างให้เป็นดั่งถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะไม่มีโอกาสได้ใช้ยันต์ทำลายคาถาอำพรางตา และยังมียันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจ…ยันต์ตัดโซ่ สร้างขึ้นเพื่อพวกเจียวหลงโดยเฉพาะ ส่วนยันต์สยบกระบี่แผ่นนี้ที่เพื่อนข้าเขียนด้วยมือของตัวเอง มีระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุด แม้แต่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดก็ยังสยบไว้ได้ครู่หนึ่ง…”

เพียงแค่เฉินผิงอันหยิบเอายันต์ปึกนั้นออกมา เทพหยินแซ่จ้าวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็รู้สึกกดดันบีบคั้นขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว โดยเฉพาะยันต์สยบกระบี่ที่เขียนลงบนกระดาษสีเขียวแผ่นนั้น ถึงแม้จะบอกว่าเอาไว้ใช้เล่นงานผู้ฝึกกระบี่เซียนดินโดยเฉพาะ แต่ก็ยังทำให้มันรู้สึกเสียวสันหลังวาบอยู่ดี

เจิ้งต้าเฟิงกล่าวอย่างตื่นตะลึง “เฉินผิงอัน คราวนี้เจ้าเดินทางไปภูเขาห้อยหัว วันๆ มัวแต่ยุ่งอยู่กับการปล้นทรัพย์หรือไร?”

เฉินผิงอันไม่ได้สนใจเจิ้งต้าเฟิง ยังคงหยิบของชิ้นแล้วชิ้นเล่าออกมา และหยิบขวดกระเบื้องออกมาสามขวดติด “โอสถทองที่ยังไม่สุกงอมเต็มที่ของปีศาจลำคลองหมายเหอแห่งใบถงทวีปตนหนึ่ง โอสถทองก่อกำเนิดของเจียวเฒ่าแห่งร่องเจียวหลง และยังมี…โอสถทองของปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสองอีกหนึ่งเม็ด!”

เจิ้งต้าเฟิงหันหน้าไปมองเทพหยินแซ่จ้าว ชี้ไปยังขวดกระเบื้องใบใหญ่สูงครึ่งแขนใบสุดท้ายนั้น “เจ้าเชื่อไหม?”

เทพหยินแซ่จ้าวส่ายหน้า แต่แล้วก็ผงกศีรษะ “หากเป็นคนอื่น ข้าคงไม่เชื่อ แต่หากเป็นเฉินผิงอัน ข้าก็เชื่อ…ครึ่งหนึ่งแล้วกัน”

เฉินผิงอันถาม “มีของสิ่งใดที่สามารถเอามาใช้ในยามฉุกเฉินเช่นนี้ได้บ้าง?”

เจิ้งต้าเฟิงพูดประโยคหนึ่งว่า “ขอข้าสงบสติอารมณ์ก่อน” จากนั้นก็จมสู่ภวังค์ความคิด

เทพหยินแซ่จ้าวถาม “หากรู้ว่าเจ้ามีทรัพย์สินเยอะอย่างนี้ตั้งแต่แรก ก็ไม่ควรให้เจ้าเฉินผิงอันเข้ามาในห้องนี้แล้ว เพื่ออะไรกัน?”

เทพหยินพูดซ้ำอีกรอบ “เพื่ออะไรกัน?!”

สีหน้าของเฉินผิงอันสงบนิ่ง “เจ้าสามารถมองมันเป็นการค้าครั้งใหญ่ที่ข้าทำกับเสินจวินหยางในร้านยาที่หากไม่แพ้หมดตัว ก็ต้องได้กำไรจนอิ่มท้องเกือบแตก”

เทพหยินเพียงแค่ส่ายหน้าไม่พูดไม่จา เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อคำพูดนี้ของเขา

เฉินผิงอันหันหน้าไปพูดถามความเห็น “พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร?”

เว่ยเซี่ยนเอ่ยอย่างเฉยเมย “ช่วยไม่ได้ ยังจะทำอย่างไรได้อีกเล่า”

สุยโย่วเปียนวางกระบี่พาดไว้บนหัวเข่า สายตาฉายประกายเจิดจ้า “นอกจากยานั่งลืมตนของตำหนักพยัคฆ์เขียวหนึ่งเม็ดแล้ว ข้ายังต้องการยามังกรเพลิงและยาโปรยพิรุณอีกคู่หนึ่งด้วย”

จูเหลี่ยนหัวเราะหึหึ “สังหารพวกเทพเซียนบนภูเขา สาแก่ใจเสียจริง”

“หากคำพูดของข้ามีน้ำหนัก แน่นอนว่าข้าหวังให้ออกไปจากนครมังกรเฒ่าโดยทันที เพียงแต่ว่าในเมื่อตอนนี้ตัดสินใจอยู่ต่อแล้ว”

หลูป๋ายเซี่ยงคือคนที่เป็นการเป็นงานที่สุด “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอยามังกรเพลิงและยาโปรยพิรุณสองเม็ด หลังจากได้แผนที่ของนครมังกรเฒ่ามาแล้ว ข้าสามารถช่วยวางแผนเส้นทางอย่างละเอียดได้”

เฉินผิงอันกุมหมัดให้คนทั้งสี่ “ขอบคุณมาก!”

แล้วจึงหันหน้ามาถามเจิ้งต้าเฟิง “นอกจากกินยาลงไปแล้ว เจ้าคิดว่าในระยะเวลาสั้นๆ นี้ขอบเขตวิถีวรยุทธ์ของพวกเขาสี่คนจะยังเพิ่มขึ้นอีกได้ไหม?”

เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้ารับ “ขอบเขตเจ็ดโอสถทองหนึ่งคน ขอบเขตหกขั้นสูงสุดสามคน แต่ละคนต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวตามความหมายที่แท้จริง ขนาดข้ายังไม่รู้ว่าเจ้าไปสมัครรวมคนพวกนี้มาจากไหน เรื่องที่จะทำให้ขอบเขตโอสถทองมั่นคงนั้นไม่ยาก แต่อีกสามคนที่เหลือ หากคิดจะฝ่าทะลุขอบเขตภายในเวลาไม่กี่วันนี้ นับว่ายากมาก แต่มาลองคิดดูแล้ว ต้องสามารถยกระดับขอบเขตหกขั้นสูงสุดให้เพิ่มขึ้นไปอีกขั้นได้แน่นอน ขอแค่ครั้งนี้พวกเขามีชีวิตรอดไปได้ สำหรับการฝึกตนบนวิถีวรยุทธ์ในวันหน้าก็จะได้รับผลประโยชน์มหาศาล ถึงอย่างไรยอดเขาสูงสุดก็เป็นแค่คำว่า ‘ไร้ตำหนิ’ เท่านั้น ยังห่างจากการช่วงชิงคำว่าแข็งแกร่งที่สุดมาครอบครองอีกไกลโขนัก สองวันนี้ข้าสามารถป้อนหมัดให้พวกเขาสี่คน ปณิธานหมัดของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าของข้านี้ พวกเขากินเข้าท้องไปได้มากน้อยแค่ไหนก็อยู่ที่ความสามารถของพวกเขาเองแล้ว”

คนในภาพวาดทั้งสี่สีหน้าไร้อารมณ์

เจิ้งต้าเฟิงเลิกคิ้ว ผู้ติดตามสี่คนข้างกายเฉินผิงอันวางท่าใหญ่โตไม่เบาเลยจริงๆ

แต่ว่าลักษณะพลังและความห้าวหาญของคนทั้งสี่ก็ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวล้วนมีวิธีที่บริสุทธ์เต็มตัวในแบบของใครของมัน

เว่ยเซี่ยนคือหมื่นศัตรูมิอาจต้านในสนามรบ เมื่อตกอยู่ในวงล้อมของศัตรู สี่ด้านแปดทิศมีแต่เกราะเหล็ก ก็แค่ต้องทะลวงขบวนทัพออกมาเท่านั้น

หลูป๋ายเซี่ยงคือผู้มีพรสวรรค์เลิศล้ำ นอกจากวิถีวรยุทธ์แล้ว พิณ หมากล้อม อักษร ภาพวาด ไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าของพื้นที่มงคลดอกบัว

สุยโย่วเปียนแสวงหาจุดสูงสุดของวิถีกระบี่ เพื่อจะสร้างวีรกรรมบินทะยานที่ไม่เคยมีมานานเป็นพันปีในประวัติศาสตร์

เบื้องใต้โฉมหน้าที่ยิ้มแย้มอารมณ์ดีเป็นนิจของจูเหลี่ยนซุกซ่อนคนบ้าคลั่งวรยุทธ์ที่แท้จริงคนหนึ่งเอาไว้ ผู้ฝึกยุทธ์ในใต้หล้าอย่างพวกเจ้าจะมารวมกันมากเท่าไหร่ ก็ยังมิอาจต้านทานสองหมัดของข้าจูเหลี่ยนได้

เจิ้งต้าเฟิงจึงรู้สึกรอคอยการป้อนหมัดของตนหลังจากนี้อยู่มาก

สีหน้าของเฉินผิงอันเคร่งเครียดขึ้นมา เขาถามว่า “ข้าอยากจะหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่ง ตอนนี้ที่ร้านยาฮุยเฉินหาคนซื้อวัตถุดิบให้ได้ไหม? อีกทั้งยังต้องรับประกันด้วยว่าจะไม่เล่นตุกติกกับวัตถุวิเศษที่หามา หากหลอมสำเร็จก็เท่ากับว่าข้าจะมีชีวิตเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งชีวิต”

เทพหยินแซ่จ้าวหันหน้าไปมองเจิ้งต้าเฟิง

เจิ้งต้าเฟิงครุ่นคิด “ข้าต้องถามคนคนหนึ่งก่อน หากนางยอมอนุญาตก็หาให้ได้”

เจิ้งต้าเฟิงพลันถามด้วยรอยยิ้ม “ข้าเชื่อนาง เจ้าเชื่อข้าไหม?”

เฉินผิงอันตอบกลับมาหนึ่งประโยค “ข้าเชื่ออาจารย์ของเจ้า”

เจิ้งต้าเฟิงสะอึกอึ้งไปอีกครั้ง

เทพหยินลุกขึ้นยืน เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะไปหาภาพแผนที่มาสักหลายๆ แผ่นหน่อย”

เฉินผิงอันหันหน้าไปพูดกับเผยเฉียน “เจ้านอนห้องเดียวกับสุยโย่วเปียน จูเหลี่ยนสามคนเบียดกันหน่อย ข้าสามารถปูผ้านอนบนพื้นของร้านยาด้านหน้าได้ แต่หากสามารถรวบรวมวัตถุดิบได้ครบถ้วนแล้ว…”

ไม่รอให้เฉินผิงอันเอ่ยจบ เผยเฉียนก็เอ่ยขึ้นอย่างองอาจว่า “ถ้าอย่างนั้นข้ากับพี่หญิงเทพเซียนจะไปปูผ้านอนบนพื้นเอง!”

พวกสุ่ยโย่วเปียนสี่คนไม่มีความเห็นต่าง

ในขณะที่ศึกใหญ่กำลังจะเปิดฉาก เรื่องหยุมหยิมเหล่านี้สุดท้ายแล้วก็เป็นแค่เรื่องเล็กที่ไม่สลักสำคัญใดๆ

—–