ตอนที่ 34-2 คำขอร้อง

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

บินซองมองรูแฮด้วยสายตาแห่งความซาบซึ้งใจ เขาไม่ได้ปิดบังหรือแสร้งแสดงความรู้สึกใด ส่วนรูแฮก็ลูบท้ายทอยของบินซองอย่างเป็นธรรมชาติ ดูแล้วราบกับว่าเป็นการแสดงออกที่คุ้นเคยกันระหว่างพี่ชายน้องชาย

 

 

“ช่วงนี้ท่านพี่ฮวางเซจาช่วยเหลือกระหม่อมอยู่มากเลยทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ วันนี้ท่านพี่ก็มาที่วังเหนือเพื่อช่วยกระหม่อม พอดีกับที่กระหม่อมบอกว่าจะมาเยี่ยมเยียนพระชายาฮวางแทจาพอดี ท่านพี่ก็เลยมาด้วยกันพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“เป็นเช่นนี้นี่เอง” กโยซึลนึกถึงตอนที่บังเอิญพบกับรูแฮที่วังเหนือขึ้นมา ถ้าเช่นนั้นหรือวันนั้นเองเขาก็อยู่ที่วังเหนือด้วยเหมือนกัน

 

 

“ที่ว่าช่วยเซจาอยู่นั้น…?”

 

 

“กระหม่อมอยากตั้งชื่อลูกของกระหม่อมที่กำลังจะเกิดมาพ่ะย่ะค่ะ เลยขอร้องให้ท่านพี่ช่วย”

 

 

“ทรงจะตั้งชื่อเองหรือเพคะ น่าชื่นชมนักเพคะ”

 

 

“กระหม่อมอยากได้ชื่อดีๆ ที่จะนำพาโชคดีมากมายมาให้ลูกของกระหม่อม ตอนนี้จึงกำลังคิดไตร่ตรองดูอยู่หลายชื่อเลยพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

พอนึกถึงลูกน้อยในท้องของฮเยจินขึ้นมา ใบหน้าของบินซองก็เต็มไปด้วยความสุข ถ้าถามว่าใครที่มีความสุขที่สุดในพระราชวังแห่งนี้ ไม่สิ…ในอาณาจักรมกกุกล่ะก็ ก็ต้องตอบว่าเป็นบินซองอย่างแน่นอน ความตื่นเต้นของบินซองพลุ่งพล่าน เขาจึงเริ่มพูดจ้อต่อไปว่า

 

 

“ทรงรู้หรือไม่ว่าท่านพี่รูแฮเป็นคนที่เก่งมากพ่ะย่ะค่ะ ถือว่าเป็นนักประพันธ์ที่เก่งที่สุดในมกกุกเลยก็ว่าได้ ว่ากันว่าท่านพี่อ่านหนังสือออกตั้งแต่อายุห้าขวบใช่หรือไม่ วิชาการก็ว่าเก่งแล้ว แต่ในเรื่องวรรณกรรมก็ชำนาญมากเช่นกัน”

 

 

อยู่ๆ บินซองก็พูดสาธยายอวดสรรพคุณของรูแฮขึ้นมาเสียอย่างนั้น เขาไม่ได้พูดมากแค่เรื่องเกี่ยวกับฮเยจินเท่านั้น

 

 

“นอกจากนี้ ท่านพี่มีความสามารถมากเพียงใด ก็สามารถดูได้จากการที่เขาจัดการได้ทั้งงานฝ่ายตุลาการและฝ่ายพิธีการ กระหม่อมเพียงแค่ดูแลงานฝ่ายโยธาก็แทบจะเกินกำลังแล้ว พรสวรรค์ของท่านพี่ไม่ธรรมดาเลยพ่ะย่ะค่ะ แม้ท่านพี่ฮวางเซจาจะต้องเหน็ดเหนื่อยจากการงานมากมายนี้ แต่หากทำเพื่อมกกุกแล้วนั้น ย่อมเป็นเรื่องที่น่ายินดีใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“อา ใช่แล้วเพคะ เป็นเช่นนี้นี่เอง”

 

 

กโยซึลพยักหน้าตามโดยง่าย อันที่จริงเรื่องที่บินซองเอ่ยเยินยอรูแฮนั้น นางรู้มาก่อนหน้านี้แล้ว นางได้ยินมาโดยละเอียดตั้งแต่ตอนที่ยังไม่รู้ว่าตัวจริงของรูแฮคือใคร ในตอนที่ยังไปมาหาสู่กันที่วังฝ่ายนอก การที่ต้องมาพยักหน้าและแสร้งว่าเพิ่งเคยได้ฟังเรื่องที่รู้อยู่แล้วเป็นครั้งแรกนั้น เป็นอะไรที่น่าลำบากใจอยู่มากเลยทีเดียว นางต้องพยายามไม่เสริมเรื่องที่ตนได้ยินเกี่ยวกับเรื่องงานราชการแผ่นดินด้วย

 

 

“แม้ท่านพี่จะงานยุ่งมากเพียงใด แต่ก็ยังตอบรับการร้องขอของกระหม่อมด้วยความยินดี ช่างเป็นคนอ่อนโยนเสียจริง ตัวกระหม่อมนั้นรู้สึกขอบคุณน้ำใจของท่านพี่อยู่ทุกวันเลยพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย”

 

 

“เซจาเองก็ทรงอ่อนโยนมากเพคะ” เนื่องจากหัวข้อการสนทนามีแต่เรื่องของรูแฮ กโยซึลจึงเปลี่ยนหัวข้อมาอยู่ที่บินซองเสีย “ทรงเสด็จมาเยี่ยมไข้หม่อมฉันแล้ว ตอนนี้ก็ยังทรงเสด็จมาเยี่ยมกันอีก ขอบพระทัยที่ทรงห่วงใยหม่อมฉันถึงเพียงนี้เพคะ”

 

 

“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ ที่ข้ามาในวันนี้ส่วนหนึ่งก็เพื่อมาดูว่าพระชายาทรงหายดีแล้วหรือไม่ และส่วนหนึ่ง กระหม่อมก็มีเรื่องมาขอร้องด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“ขอร้องหม่อมฉันหรือเพคะ” กโยซึลถามกลับเพราะคาดไม่ถึง บินซองผงกหัวด้วยสีหน้าเคอะเขิน

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมัวแต่เพลิดเพลินไปกับการพูดคุยนั่นนี่จนเกือบลืมไปเลย หากไม่เป็นการเสียมารยาทต่อพระชายาที่ทรงเพิ่งฟื้นจากอาการไข้  กระหม่อมจะขอถวายการขอร้องได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

บินซองถามอย่างมีมารยาทและระมัดระวัง

 

 

“เพิ่งฟื้นอะไรกันเพคะ ตอนนี้หม่อมฉันหายดีแล้ว” สายตาของกโยซึลมักจะเผลอเหลือบมองไปทางรูแฮอยู่ตลอด และนางก็สัมผัสได้ว่ารูแฮก็กำลังจ้องมองมาที่ตนเช่นกัน แต่กโยซึลก็มองแต่เพียงบินซองพลางพูดต่อไปว่า “หม่อมฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรองค์เซจาได้บ้าง แต่ขอให้เอ่ยมาเถิดเพคะ”

 

 

“ขอทรงรับเป็นเพื่อนคุยให้ชายาของกระหม่อมได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” บินซองช่างร้องขอได้ตรงไปตรงมาเสียจริง กโยซึลตกใจที่เขาตอบกลับมาอย่างทันควัน นางจึงถามกลับไปว่า

 

 

“เพื่อนคุยหรือเพคะ”

 

 

“หลังจากที่พระชายาไปหานาง นางก็พูดถึงพระชายาอยู่บ่อยๆ พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“พระชายาเซจาน่ะหรือเพคะ”

 

 

นางเคยไปหาฮเยจินมาก็จริง แต่ก็ไม่ได้พูดคุยเรื่องอะไรเป็นพิเศษ เพียงแค่นำของขวัญทำมือจาก

 

 

ฮวากุกไปให้เพียงเท่านั้น แต่กลับมีเรื่องของตนให้คุยกับบินซองหรือ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบินซองอ่านความสงสัยของกโยซึลออก หรือเพราะเขาเป็นคนพูดมากกันแน่ บินซองจึงอธิบายเพิ่มว่า

 

 

“เพราะพระชายาเองก็ทรงมาจากต่างแดนเข่นกัน นางเลยคงจะรู้สึกว่าทรงเป็นคนหัวอกเดียวกันพ่ะย่ะค่ะ ชายาของกระหม่อมเดิมทีเป็นคนกระตือรือร้น นางพยายามไปทำความรู้จักกับสมาชิกราชวงศ์ทั้งจากงานเลี้ยงน้ำชาหรือที่สวนหลังวังแล้ว ทว่าสุดท้ายก็ลงเอยที่การขลุกอยู่ที่ตำหนักเพียงลำพัง การผูกมิตรกับคนอื่น น่าจะเป็นเรื่องยากไม่น้อยเลย”

 

 

น้ำเสียงของบินซองเต็มไปด้วยความรู้สึกเสียดาย ดูเหมือนเขาจะรู้สึกผิดที่ทำให้ฮเยจินต้องมาผูกติดอยู่กับราชสำนัก แต่นางหาได้สบายใจกับการใช้ชีวิตในราชสำนักไม่

 

 

“หากแต่อยู่ๆ ชายาของกระหม่อมก็เอ่ยถามถึงเรื่องของผู้อื่นเป็นครั้งแรก ซึ่งคนผู้นั้นก็คือพระชายากโยซึลพ่ะย่ะค่ะ แล้วนางก็พูดเรื่องที่พระชายาไปหาหลายต่อหลายครั้ง แถมยังอวดของขวัญที่พระชายาให้นางไว้ด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“โอ้…”

 

 

บินซองถอยไปข้างหลังอย่างเก้ๆ กังๆ แล้วก้มหัวลงก่อนที่จะคุกเข่า ราวกับกำลังขอร้องกโยซึลอยู่

 

 

“ขอทรงเป็นเพื่อนคุยให้ชายากระหม่อม ผู้ที่ตั้งแต่ตั้งครรภ์มาก็เอาแต่หมกตัวอยู่ที่วังเหนือด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมร้องขอด้วยความตั้งใจจริงพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“เซจา เงยหน้าขึ้นมาเถิดเพคะ ทรงไม่จำเป็นต้องทำถึงเพียงนี้ก็ได้” กโยซึลรู้สึกตกใจ จึงยื่นมือข้ามโต๊ะเขียนหนังสือไป บินซองยังคงก้มหมอบต่ำอยู่ เขาเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย พลางมองไปที่กโยซึล

 

 

“ที่ว่าไม่ต้องทำถึงเพียงนี้ หมายความว่าทรงยอมรับคำร้องขอของกระหม่อมใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ท่าทางอันมุมานะในการคะยั้นคะยอขอคำตอบของบินซอง ทำให้กโยซึลถึงกับหัวเราะออกมา

 

 

“หม่อมฉันเองก็เคยต้องรู้สึกเหงาจากการที่ต้องเข้ามาอยู่กับสมาชิกราชวงศ์ที่ไม่คุ้นเคย หากพระชายาเซจาทรงมาเป็นสหายกับหม่อมฉันก็ถือว่าดีเลยทีเดียว หม่อมฉันจะไปหาพระองค์ที่วังเหนือในไม่ช้านี้แน่เพคะ”

 

 

แม้ว่ากโยซึลจะยอมรับคำขอของบินซองแล้ว แต่เขาก็ยังส่งสายตาราวกับว่าต่อให้ตนหมอบลงไปที่พื้นก็ยังไม่อาจทดแทนได้ สายตาอ้อนวอนที่มองมาอย่างจริงใจ บวกกับการที่บินซองยังคงทำเพียงเงยหน้าขึ้นมานั้น ทำให้กโยซึลพูดย้ำไปอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว

 

 

“เราจะไปหาพระองค์บ่อยๆ”

 

 

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

ในตอนนั้นเองบินซองก็ได้ลุกขึ้น พลางตะโกนด้วยเสียงดังกังวาน ในน้ำเสียงที่เปล่งออกมาด้วยความดีใจของเขานั้น กโยซึลรู้สึกได้ถึงความรักที่บินซองมีต่อฮเยจินอย่างสุดหัวใจ ท่าทางของเขาทั้งดูน่าเอ็นดูและมีความสุขนัก กโยซึลถึงกับหัวเราะตามบินซองออกมา และเสียงหัวเราะยังส่งไปถึงรูแฮอีกด้วย ณ ห้องบรรทมที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะนี้ สายตาของกโยซึลและรูแฮที่กำลังหัวเราะอย่างเบิกบานก็สบประสานกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ

 

 

พึ่บ ราวกับว่ามีประกายไฟลุกไหม้ขึ้นมา กโยซึลเบือนหน้าหนีโดยทันที แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะมีบินซองอยู่ด้วย จึงไม่อาจมีใครสามารถมาซุบซิบนินทาเกี่ยวกับการพบกันของตนกับรูแฮได้ แต่กโยซึลก็ยังรู้สึกว่ามันอันตรายสำหรับนางที่จะสบตาเขาบ่อยๆ

 

 

หลังเสร็จธุระของตนแล้ว บินซองก็ลุกจากไป และโชคดีที่รูแฮก็ลุกตามออกไปเช่นเดียวกัน เมื่อเหลือตัวนางอยู่เพียงลำพังในห้องบรรทมแล้ว กโยซึลจึงสามารถหายใจได้ตามปกติเสียที

 

 

“ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอกันแบบนี้”

 

 

แม้กโยซึลจะมึนงงเพราะคาดไม่ถึง ทว่านางก็รู้สึกเสียดายอยู่ด้วย อีกทั้งยังมาพบเจอกันพร้อมกับผู้อื่น จึงเหมือนกับว่าตนต้องคอยพยายามเก็บความลับเอาไว้ ทำให้กโยซึลตื่นเต้นจนตัวสั่นไปหมด

 

 

“ทว่าในอนาคตคงไม่มีเรื่องให้ได้พบกันแบบนี้อีกแล้ว แม้จะมี ก็คงจะอีกนานแสนนาน”

 

 

ทว่าการพยายามที่จะมองโลกในแง่ดีของกโยซึลนั้น ได้พังทลายลงตั้งแต่วันแรกที่นางไปเยือนวังเหนือแล้ว