“พระชายาฮวางแทจาเพคะ”
ฮเยจินต้อนรับกโยซึลด้วยรอมยิ้มสดใส นางอยู่ในท่ากึ่งนอนกึ่งนั่งบนฟูกที่ปูเอาไว้
“หม่อมฉันทราบว่าองค์เซจาได้ไปร้องขอพระชายาไว้ แต่ไม่คิดเลยว่าจะทรงเสด็จมาหาเร็วเช่นนี้ หม่อมฉันซาบซึ้งในน้ำพระทัยยิ่งเพคะ”
“หามิได้เพคะ หม่อมฉันกังวลเสียด้วยซ้ำว่าจะมาช้าเกินไป”
“ว่าแต่พระชายาทรงหายดีแล้วหรือเพคะ วันนั้นหลังจากทรงเสด็จกลับจากวังเหนือไป ได้ยินว่าทรงล้มป่วย หม่อมฉันรู้สึกผิดยิ่งนักเพคะ”
“เราเพียงบังเอิญป่วยในช่วงเวลานั้นพอดีเท่านั้น ดูเหมือนหม่อมฉันจะทำให้พระชายาเซจาทรงเป็นกังวลแล้ว ในตอนนี้หม่อมฉันหายดีแล้ว ทรงไม่ต้องเป็นกังวลแล้วเพคะ ที่จริงแล้วอาการไม่ได้ร้ายแรง จนถึงขั้นต้องเป็นกังวลเสียด้วยซ้ำ” กโยซึลจงใจพูดออกไปด้วยน้ำเสียงมีชีวิตชีวา
“ที่จริงหม่อมฉันอยากออกมาข้างนอกมากนัก แต่หมอหลวงก็ห้ามไว้อย่างเด็ดขาดว่าไม่ให้ออกไปนอกวังตะวันออก หม่อมฉันคิดว่าถ้าได้สูดอากาศบริสุทธิ์และต้องแสงแดดอุ่นๆ จะทำให้มีสุขภาพดีขึ้น แต่ดูเหมือนหมอหลวงจะเป็นกังวลมากเกิน”
ฮเยจินระเบิดเสียงหัวเราะจากการที่กโยซึลช่างพูดมากเกินไป เสียงหัวเราะของนางฟังดูก้องกังวานแจ่มใส ราวกับก้อนกรวดที่กระทบกันในสายน้ำ
“หม่อมฉันเข้าใจดีเลยเพคะ ตอนเริ่มตั้งครรภ์ หมอหลวงก็ดูกระสับกระส่าย พะว้าพะวงกับหม่อมฉันมากนัก หม่อมฉันเลยต้องยอมหยุดออกไปเดินเล่น และกักขังตัวเองไว้ในห้องเพียงอย่างเดียวเลย”
“ประมาณว่าพอโดนจู้จี้มากเข้า ก็เลยเลิกทำมันเสียดีกว่าใช่หรือไม่เพคะ”
“ตายจริง ”
ฮเยจินเบิกตากว้าง นางตกใจจนต้องใช้มือปิดปากเอาไว้ เพื่อห้ามไม่ให้ตัวเองหัวเราะออกมา ฮเยจินตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับกโยซึล พวกนางต่างไม่ชอบหมอหลวงที่ดุราวกับเสือ และมาวุ่นวาย ห้ามไม่ให้ออกไปเที่ยวข้างนอก ด้วยความรู้สึกอึดอัดใจและคิดว่ามันช่างไม่ยุติธรรม จึงทำให้ทั้งคู่เกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันขึ้นมา
“ถูกต้องเพคะ ทรงตรัสได้อย่างถูกต้องแม่นยำ และทรงใช้คำบรรยายได้น่าสนใจนักเพคะ”
“ไม่รู้ว่าที่หม่อมฉันพูดไป จะฟังดูไร้มารยาทเกินไปหรือไม่”
“ไม่เลยเพคะ หม่อมฉันคิดว่าต้องขอบพระทัยองค์เซจาแล้ว ที่ทรงไปขอร้องพระชายา”
“โล่งอกไปทีที่พระชายาเซจาพอพระทัยเพคะ”
กโยซึลตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่าแม้ว่านางจะฉีกยิ้มอย่างร่าเริงอยู่ ทว่ากโยซึลมักจะเหล่มองไปด้านข้างเสมอ ที่หางตาดูเหมือนจะมีเหงื่อไหลพรากออกมา แม้ตนจะพยายามจดจ่อไปที่ฮเยจินเท่าไร แต่สายตามันก็มักจะเหลือบมองออกไปด้านข้างอยู่ดี อาจเป็นเพราะเขาที่ตรงนี้ จึงทำให้ตนพูดยืดยาว หาสาระไม่ได้อยู่อย่างนี้
“ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ”
“อา เพคะ”
จะถูกจับได้หรือไม่ว่าที่จริงตนกำลังพยายามแสร้งทำเป็นไม่สนใจเขาอยู่ กโยซึลรู้สึกเจ็บแปลบที่อก แต่ก็พยายามไม่แสดงมันออกมา นางตอบกลับไปโดยที่ไม่ได้หันไปมองเขาเลย กโยซึลเค้นเสียงจากลำคอที่อุดตันออกมาอย่างยากลำบาก
“ว่าแต่องค์ฮวางเซจา ทรงมีธุระอันใดที่วังเหนือหรือเพคะ”
กโยซึลแสร้งถามถึงสาเหตุที่เขามาอยู่ที่นี่ พร้อมกับการตอบรับทักทาย ให้ดูเหมือนกับทำเพราะเป็นมารยาท รูแฮนั่งอยู่ด้านข้างโต๊ะเขียนหนังสือ ซึ่งอยู่ระหว่างฮเยจินและกโยซึลที่กำลังหันหน้าเข้าหากัน ที่จริงตอนที่กโยซึลกำลังขึ้นมาบนตำหนักบุกบีนั้น นางเห็นรองเท้าไม้คู่สีดำวางอยู่ตรงบันไดแล้ว แต่เหตุผลที่นางไม่ได้เอ่ยปากถามก็เพราะนางคิดว่ามันต้องเป็นของบินซองอย่างแน่นอน ทว่าคนที่อยู่กับฮเยจินนั้นกลับเป็นรูแฮ หาใช่บินซองไม่ รูแฮก้มหัวลงพร้อมตอบกลับอย่างสุภาพ
“กระหม่อมเป็นพ่อทูนหัวของพระราชนัดดาพ่ะย่ะค่ะ”
“ที่ว่าเป็นพ่อทูนหัวนั้น”
“กระหม่อมจะคอยอ่านหลักคำสอนพื้นฐานง่ายๆ และหนังสือที่มีเนื้อหาบันเทิงใจ เพื่อเป็นความรู้เบื้องต้นให้แก่พระราชนัดดาที่อยู่ในท้องฟังพ่ะย่ะค่ะ”
รูแฮหยิบหนังสือที่วางอยูบนโต๊ะในแนวขวางขึ้นมาให้กโยซึลดู ในตอนแรกกโยซึลเองก็สงสัยอยู่ว่าเหตุใดหนังสือจึงวางอยู่ในแนวนั้น แต่นั่นเป็นเพราะรูแฮเป็นคนอ่านมัน มิใช่ฮเยจินนั่นเอง
เหตุผลที่รูแฮมาอยู่ที่นี่ฟังดูเป็นเหตุเป็นผลพอ
ไม่ว่าจะตอนที่เขาไปหาตนที่ตำหนักดงบีหรือแม้กระทั่งตอนนี้ รูแฮนั้นนั่งอยู่ในตำแหน่งเดิมเลย กโยซึลรู้สึกกระอักกระอ่วนจากการที่มักจะต้องมาพบเจอกับรูแฮอยู่บ่อยๆ เช่นนี้
“พ่อทูนหัวนั้นเป็นหน้าที่ที่องค์ฮวางเซจาจะต้องทรงมาทำเองหรือเพคะ” กโยซึลถามออกไปโดยไม่ทันคิด จากนั้นนางก็รีบโบกมือไปมา
“หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจจะดูการเป็นพ่อทูนหัวนะเพคะ ทว่าโดยปกติองค์ฮวางเซจาทรงงานยุ่งมาก หม่อมฉันจึงถามด้วยความสงสัยอันบริสุทธิ์ใจ ว่าผู้ที่ยุ่งงานราชการเช่นนี้ จะทรงสามารถมารับผิดชอบการเป็นพ่อทูนหัวให้แก่พระราชนัดดาในท้องเพียงคนเดียวได้หรือ เท่านั้นเองเพคะ”
ทว่ามันอาจฟังดูเป็นการดูถูกลูกในท้องของฮเยจินด้วยก็เป็นได้ โชคดีที่ฮเยจินไม่ได้คิดมากและยังคงยิ้มอยู่เช่นเดิม รูแฮที่เห็นกโยซึลห่อเ**่ยวลง ก็ยิ้มออกมาเบาๆ
“บินซองเป็นคนขอร้องให้กระหม่อมมาช่วยพ่ะย่ะค่ะ พระชายาฮวางแทจาเองก็ทรงได้รับการร้องขอให้มาเป็นเพื่อนคุยกับชายาเซจามิใช่หรือ กระหม่อมเองก็เช่นกัน”
“อย่างนี้นี่เอง”
รูแฮอธิบายโดยเปรียบเทียบสถานะตนกับกโยซึลไปด้วย การที่รูแฮตอบกลับอย่างฉับไวช่วยให้กโยซึลอับอายน้อยลงได้ ในระหว่างที่กโยซึลรู้สึกเบาใจขึ้น รูแฮก็ได้เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปที่ฮเยจินแทน
“บินซองที่คิดถึงชายาของตนเช่นนี้ช่างน่าชื่นชมยิ่งนักขอรับ ทั้งขอให้กระหม่อมมาเป็นพ่อทูนหัวให้ ทั้งไปขอร้ององค์ชายาฮวางแทจาให้ เพียงเพราะได้ฟังคำที่ชายาเซจาทรงเอ่ยให้ฟัง หากไม่ใช่เพราะความรักแล้ว เห็นทีจะทำเช่นนี้ไม่ได้เลย”
“หม่อมฉันอายนักเพคะ”
“ดูเหมาะสมกันนักขอรับ”
ทันทีที่บทสนทนาของรูแฮกับฮเยจินดำเนินไป กโยซึลก็ชำเลืองมองรูแฮ นางกลัวฮเยจินจะจับได้ จึงค่อยๆ ขยับเพียงลูกตาทีละนิด แม้สายตาจะดูเหมือนมองไปที่ฮเยจินเพียงเท่านั้น ทว่าทิศทางที่นางมองไปจริงๆ แล้วนั้นคือรูแฮ
เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย
ใบหน้าขาวเกลี้ยงเกลา ผมหน้าม้าที่ปล่อยลงมาปิดหน้าผากเพียงครึ่ง พร้อมกับผมที่เกล้าด้วยซังทูกวันอย่างเรียบร้อย สายตาที่มองอย่างแน่วแน่ รอยยิ้มที่อ่อนโยนเสมอ อีกทั้งน้ำเสียงที่ทั้งใจดีและสุภาพ เมื่อมองไปที่รูปลักษณ์ที่ไม่เปลี่ยนแปลงของเขา ใจของกโยซึลก็พลันสับสนวุ่นวายใจโดยไม่รู้สาเหตุ ความรู้สึกว่างเปล่าถาโถม จนรู้สึกโศกเศร้าขึ้นมา
กโยซึลรู้สึกได้ถึงสัมผัสของนิ้วเรียวยาวที่ตอนนี้ถูกวางไว้บนหนังสืออย่างอ่อนโยน ราวกับว่ามันกำลังสัมผัสริมฝีปาก และติ่งหูของตนเบาๆ เขาผู้เคยบอกกับตนว่าจะพิสูจน์ความรักของนางที่มีต่อเขาให้ได้นั้น กลับนั่งอยู่อย่างนอบน้อม และเอ่ยแต่คำที่ถูกต้องตามมารยาท ไร้ซึ่งร่องรอยของเขาคนนั้นในตอนนี้เลย
กโยซึลรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด เขาผู้ซึ่งทำให้ตนใจสั่น และคอยคิดถึงเขาอยู่เช่นนี้ ในตอนนี้กลับทำเหมือนกับว่ามีแค่นางที่รู้สึกอยู่ฝ่ายเดียว กโยซึลที่มองดูรูแฮ ผู้ซึ่งรักษาความสงบนิ่งไว้อย่างใจเย็น พลันคิดขึ้นว่าก่อนหน้านี้ ไม่ใช่ว่าเขาเพียงแค่ล้อเล่นกับใจตนหรืออย่างไร เขาเข้าหาตนก่อนด้วยความจริงใจ ทว่าดูเหมือนมีเพียงแค่ตนเท่านั้น ที่ยังคงนึกย้อนถึงวันวานด้วยหัวใจเช่นเดียวกัน ริมฝีปากของกโยซึลสั่นระริก ริมฝีปากที่เม้มเน้นพองลมขึ้นมาจนแก้มป่อง
ใจของเราช่างแปลกนัก
เหตุใดถึงได้รู้สึกเช่นนี้กัน กโยซึลฝืนไม่ให้ริมฝีปากสั่นอย่างยากลำบาก
“เป็นครั้งแรกเลยเพคะ”
“ว่าอย่างไรนะเพคะ”