Sign in Buddha’s palm 308 (II) ทุกคนเดินทางมาถึง
ร่างในชุดดําเดินออกมาจากทางเข้าสู่โลกมนุษย์
ร่างนี้ดูเย็นชาอย่างยิ่ง แต่ก็มีลักษณะคล้ายกับซูฉิน ยกเว้นสภาวะอารมณ์ที่แตกต่างกันเล็กน้อย นอกนั้นก็แทบจะเหมือนซูฉินทุกประการ
นี่คือร่างจําแลงที่ซูฉินส่งไปลงชื่อเข้าใช้ภายในโลกปีศาจใต้พิภพ
สิ่งนี้เกิดจากทิพยอํานาจกายเนื้อกําเนิดใหม่ของซูฉิน ทั้งยังใช้จิตวิญญาณไปกว่าครึ่งหนึ่ง กว่าจะสร้างขึ้นมาได้อย่างยากลําบาก
ร่างจําแลงแบ่งปัน’จิตสํานึกร่วมกันกับซูฉิน กล่าวให้ชัดๆ ร่างจําแลงนี้ก็คือซูฉิน เพียงแต่ใช้ร่างกายที่ต่างกัน
และในตอนนี้ ซูฉันกําลังวางแผนที่จะปล่อยร่าง จําแลงไว้ป้องกันไม่ให้เขาถูกรบกวนขณะที่บุกทะลวงสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี อีกประการคือคอยดูแลเมืองฉางอันให้อยู่รอดจากตัวตนทรงอํานาจทั้งหลาย
“ความแข็งแกร่งนั้นด้อยกว่า”
ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อยและมองดูร่างจําแลงอย่างใกล้ชิด
หลายสิบปีภายในโลกถ้ําปีศาจ นอกเหนือจากการลงชื่อเข้าใช้ในทุกๆ วัน ร่างจําแลงนี้ยังปรับปรุงความแข็งแกร่งของตนเองตลอดและได้แปลงจิตวิญญาณแรกกําเนิดเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี
ความแข็งแกร่งเช่นนี้ เมื่ออยู่บนโลกก็ย่อมเป็นขุมพลังชั้นยอด หากไม่มีเซียนเทพปฐพี่ปรากฏย่อมอยู่ยงคงกระพัน แม้แต่ในโลกถ้ําปีศาจที่มีตัวตนทรงพลังนับไม่ถ้วนก็ยังเหนือกว่าเผ่าปีศาจทั้งหลาย เทียบเคียงได้กับจ้าวดินแดนโม่ฮวา สามารถมองข้ามตัวตนทั้งหลายภายในดินแดน ทั้งยังมีโอกาสเข้าพบเทพเจ้าปีศาจด้วย
แต่เมื่อซูฉินพูดออกมา มันกลับเป็นคําว่า”ด้อย
กว่า…”
ถ้าความคิดของซูฉินถูกนําไปเล่าต่อ เกรงว่ากลุ่มผู้อาวุโสคงต้องอาเจียนเป็นเลือดแน่ ถ้าครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพียังถูกมองว่าอ่อนแอ แล้วพวกมันจะนับเป็นตัวอะไร? ไม่ใช่ว่าเป็นกลุ่มคนที่ไม่มีคุณสมบัติแม้แต่จะเป็นผู้อ่อนแอหรอกหรือ?
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าโลกภายนอกจะคิดเห็นอย่างไร ในสายตาของซูฉิน ครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ก็อ่อนแอมากจริงๆ
หลังจากควบแน่นร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําขึ้นมาได้แล้ว ถึงซูฉินจะไม่ใช่เซียนเทพปฐพี แต่พลังต่อสู้และกลยุทธ์ต่างๆไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเซียนเทพปฐพี่ที่แท้จริงเลย มีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะประเมินว่าครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีนั้นอ่อนแอ
“สาเหตุหลักนั้นมาจากวิชาภาพดวงตะวันขนาดมหึมา….”
ซูฉินถอนหายใจเบาๆ คิดอยู่ภายในใจเงียบๆ
ภาพดวงตะวันขนาดมหึมาไม่ใช่ทิพยอํานาจ แต่เป็นเคล็ดบ่มเพาะชั้นสูง ในการฝึกฝนภาพดวงตะวันฯ จําเป็นจะต้องมีทรัพยากรธาตุไฟมากมายเป็นภูเขาเลากา
ดังนั้นแม้ร่างจําแลงจะเชี่ยวชาญในภาพดวงตะวันขนาดมหึมา แต่ก็ไม่มีทรัพยากรเพียงพอ ทําให้การบ่มเพาะภาพดวงตะวันยังไม่ถึงจุดเริ่มต้นเสียด้วยซ้ํา
“อย่างไรก็ตาม มันสามารถเพิ่มขอบเขตของภาพดวงตะวันฯ ชั่วคราวได้ด้วยพลังจากแก่นเลือด”
เพียงแค่คิด ร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําก็เผยออกมาทันที รัศมีที่น่าสะพรึงกลัวแทรกซึมไปทั่วโถง พระราชวังสูงตระหง่านสีดํา ราวกับมีอีกาทองคํา สามขาตัวจริงขู่คํารามอยู่
ในตอนนั้นเอง
ซูฉินก็ยกมือขวาขึ้น เลือดสีแดงเข้มสองสามหยดถูกกลั่นออกมา ลอยอยู่เบื้องหน้าของซูฉิน
เลือดไม่กี่หยดตรงหน้านี้เป็นเลือดศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําที่ซูฉินนําออกมาจากสภาวะร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคํา ด้วยแก่นเลือดเหล่านี้ จะสามารถยกระดับร่างกายของร่างจําแลงให้เข้าใกล้กับร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําได้ในช่วงเวลาสั้นๆ
แน่นอน เหตุผลที่ร่างจําแลงสามารถทําเช่นนี้ได้ ก็เพราะแต่เดิมร่างจําแลงนั้นก็มาจากเลือดเนื้อของซูฉิน นอกจากนี้ยังมีการแบ่งปันจิตสํานึกและความคุ้นเคยเกี่ยวกับร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคํา ทําให้พอจะบรรลุผลลัพธ์นี้ได้
ไม่เช่นนั้น หากเปลี่ยนเป็นตัวตนทรงพลังอื่น เลือดศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําจะต้องระเบิดออกอย่างแน่นอน และจิตวิญญาณแรกกําเนิดจะต้องถูกทําลายด้วยไอพลังที่น่าสะพรึงกลัวภายในหยดเลือด
ขณะที่ซูฉันกําลังจะปิดด่านฝึกตนเตรียมทะลวงขอบเขตเซียนเทพปฐพี
เมืองฉางอันก็เต็มไปด้วยความคึกคัก มีตํานานยุทธจากต่างแดนพากันหลั่งไหลเข้ามา มากันด้วยท่าทางเคารพหวั่นเกรงอย่างที่สุด สอดส่ายสายตามองไปทั่วเมืองฉางอัน
เนื่องจากซูฉินสังหารครึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ถึงเจ็ดคน ทําให้โลกยุทธภพต่างแดนตกตะลึงสุดขีด และตํานานยุทธจากต่างแดนจํานวนมากก็เดินทางเข้ามาในเมืองฉางอันอย่างอ่อนน้อม ราวกับพวกเขาเป็นผู้จาริกแสวง
บุญวังหลวง
ขุนนางทั้งหลายต่างกําลังปวดเศียรเวียนเกล้า
จู่ๆ เมืองฉางอันก็มีตํานานยุทธจํานวนมากเข้ามาปะปนในช่วงเวลาสั้นๆ และถึงขนาดที่มีตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่สี่กับชั้นที่ห้าเข้ามาแล้วด้วย จะไม่ให้ขุนนางเหล่านี้ปวดหัวได้อย่างไร?
รู้หรือไม่ หากพูดกันเมื่อยี่สิบสามสิบปีก่อน นับประสาอะไรกับตํานานยุทธ แม้จะเป็นยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดก็ไม่ได้มีมากนัก แต่ตอนนี้ภายในเมืองฉางอันกลับปรากฏตํานานยุทธขึ้นมากมาย หากมีข้อพิพาทเกิดขึ้น ผลที่ตามมาก็ไม่อาจจะ คาดเดา
รู้หรือไม่ว่าทุกครั้งที่ตํานานยุทธมีปฏิสัมพันธ์หรีอมีการเคลื่อนไหว สิ่งที่น่ากลัวจะตามมาเป็นเงาตามตัว แค่ตํานานยุทธกลุ่มหนึ่งก็เพียงพอแล้วที่จะทําลายพื้นที่เมืองฉางอันส่วนใหญ่ในเวลาอันสั้น
“ทุกคนอย่าได้ตื่นตระหนกไป มีพี่สามอยู่ที่นี่ ตํานานยุทธทั้งหลายจะไม่กล้าสร้างปัญหา” จักรพรรดิถังดูไม่กังวลเลย
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”
ยังมีขุนนางบางคนที่ทําใจผ่อนคลายไม่ได้
ฉับพลัน
ในตอนนั้นเอง
แม่ทัพแห่งวังหลวงก็รีบเข้ามาภายในโถงไท่จี้
“ฝ่าบาท”
แม่ทัพแห่งวังหลวงรีบรายงาน “เจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะ ผู้นํานิกายเทพเจ้าสายฟ้า เจ้าสํานักเทพโอสถ ผู้นํานิกายเฮยหยวน เจ้าสํานักผู้วิเศษ…ได้รออยู่ภายนอกแล้ว…”
ทันทีที่แม่ทัพแห่งวังหลวงรายงาน ขุนนางทั้งหลายในท้องพระโรงก็เปลี่ยนสีหน้าไปทันที
ไม่ว่าจะเป็นตําหนักเทพเจ้าหิมะ นิกายเทพเจ้าสายฟ้า หรือสํานักผู้วิเศษ ทั้งหมดต่างก็เป็นนิกายใหญ่ เมื่อผู้นํานิกายจํานวนมากมารวมตัวกัน ไม่ว่าจะเรื่องดีหรือเรื่องร้ายก็มิอาจคาดเดา…..
“พวกเขามาทําอะไรที่เมืองฉางอัน?”
จักรพรรดิถังสงบใจลง มองไปที่แม่ทัพแห่งวังหลวงพร้อมกับถามคําถาม
“จุดประสงค์ในการมาของพวกเขาคือ….” แม่ทัพแห่งวังหลวงเหลือบมองจักรพรรดิถังอย่างระมัดระวัง กลืนน้ําลายลงคอก่อนจะกล่าวว่า “มาขออภัยโทษจากพระมาตุลาแห่งอาณาจักรพ่ะย่ะค่ะ….”