บทที่ 1892+1893

ลำนำบุปผาพิษ

ตอนที่ 1892 บังเอิญพบ 4 

 

วันนี้เขาสวมชุดสีขาวเงินยวง บนเสื้อคลุมวาดภาพก่อไผ่สีหมึกจางๆ เอาไว้ บนเสื้อคลุมตัวน้อยยังคงไม่มีรอยยับสักนิดเช่นเดิม ดูมีชีวิตชีวา 

 

ส่วนคนที่เขาขี่คออยู่ผู้นั้นก็ดูเรียบร้อยยิ่งนัก เรือนผมถูกหวีจนเรียบแปล้ สาบเสื้อทบซ้อนกันอย่างแน่นตึง เหมือนขนมปิ่งที่เพิ่งออกจากเตามาสดๆ ร้อนๆ สะอาดเอี่ยมอ่อง อาภรณ์ที่สวมก็เป็นสีขาวซีดเช่นกัน และเรียบกริบไร้รอยยับ เพียงสีหน้าของคนผู้นี้ดูบูดบึ้งโศกหมองอยู่บ้าง สีหน้าราวกับอยู่มิสู้ตาย… 

 

ถึงอย่างไรหลงซือเย่ก็มีวาสนาได้พบหน้าเด็กชายตัวน้อยมาก่อน ย่อมจดจำเขาได้ ค้อมกายทำความเคารพเขา “ฝ่าบาท!” 

 

เสินเนี่ยนโม่เป็นบุตรชายของมหาเทพ ฐานะสูงศักดิ์ สูงส่งกว่าจักรพรรดิเซียนหลายเท่า 

 

อย่าว่าแต่หลงซือเย่ที่เป็นขุนนางขั้นห้าเลย ต่อให้เขาเป็นขุนนางขั้นหนึ่งแห่งสภาสวรรค์ เมื่อพบราชโอรสตัวน้อยก็ต้องทำความเคารพอย่างเต็มพิธี! 

 

หยวนเสินจวินผู้นั้นไม่มีคุณสมบัติพอได้เข้าร่วมพิธีสมรสของมหาเทพกับจอมมาร ย่อมไม่เคยเห็นเสินเนี่ยนโม่มาก่อน 

 

วาจาเมื่อครู่ของเสินเนี่ยนโม่ ทำให้นางค่อนข้างขุ่นเคือง เมื่อเห็นหลงซือเย่ทำความเคาระ นางก็ผงะไป “เด็กคนนี้เป็นฝ่าบาทจากที่ใดกัน?” 

 

ขณะที่หลงซือเย่กำลังจะเปิดปากอธิบาย เสินเนี่ยนโม่ก็เอ่ยวาจาแล้ว “ข้าเป็นฝ่าบาทจากที่ใดแล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้ากัน?” น้ำเสียงกระจ่างชัด 

 

หยวนเสินจวินถูกเขาตอกหน้า จึงชะงักไปครู่หนึ่ง “ข้าผู้เป็นเสินจวินเพียงแค่ถามเท่านั้น” นางหน้าตึงแล้ว ใบหน้าสะสวยเย็นชาเล็กน้อย “ข้าผู้เป็นเสินจวินไม่สนใจว่าเจ้าจะเป็นฝ่าบาทจากที่ใด แต่เด็กน้อยอย่างเจ้าพูดจาปากไม่มีหูรูดเช่นนี้ช่างไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนโดยแท้ บุพการีของเจ้าไม่ได้สอนหรือว่าต้องพูดกับผู้อื่นอย่างไร?” 

 

ในใจของหยวนเสินจวินผู้นี้ได้คาดคำนวณไว้เล็กน้อยแล้ว 

 

โดยทั่วไปแล้วเมื่อเรียกขานว่าฝ่าบาทล้วนเป็นคนของราชวงศ์ทั้งสิ้น แต่ยุคสมัยของสกุลอวิ๋นถูกผลัดเปลี่ยนแล้ว ยามนี้ผู้ที่เป็นจักรพรรดิคือเย่เทียนหลี 

 

แต่เย่เทียนหลีไม่มีบิดามารดา และไม่มีเครือญาติ ถึงขั้นที่ยังไม่ได้แต่งงานด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ฝ่าบาทน้อยผู้นี้จะเป็นเครือญาติของจักรพรรดิเซียนองค์ใหม่ เช่นนั้นก็เหลือเพียงเครือญาติของจักรพรรดิเซียนองค์เก่าแล้ว… 

 

เย่เทียนหลียังคงปฏิบัติต่อเครือญาติของจักรพรรดิเซียนองค์เก่าเป็นอย่างดี ยังคงรักษาบรรดาศักดิ์ของพวกเขาไว้ 

 

เสินเนี่ยนโม่ที่อยู่เบื้องหน้ามีกลิ่นอายความสูงศักดิ์แผ่ออกมาตามธรรมชาติ กลิ่นอายเช่นนี้มีเพียงลูกหลานของชนชั้นสูงเท่านั้นถึงจะมีได้ 

 

ดังนั้นนางจึงคาดเดาอยู่ในใจ คิดว่ามีความเป็นไปได้แปดส่วนที่เสีนเนี่ยนโม่จะเป็นคนในราชวงศ์ก่อน 

 

พญาหงส์ตกสู่พงหญ้ามิสู้วิหคสามัญ คนของราชวงศ์ก่อนต่อให้ยังคงบรรดาศักดิ์ไว้ก็เป็นคำเรียกขานเท่านั้น ไม่ได้มีสิทธิอำนาจอันใด บางคนถึงขั้นที่ถูกข้ารับใช้ในบ้านข่มเหงเอาคืน 

 

ในอดีตยามอยู่ต่อหน้าเชื้อพระวงศ์หยวนเสินจวินไม่อาจเงยหน้าขึ้นได้เลย พบเจอก็ต้องคุกเข่าให้แต่ไกลแล้ว ไม่มีแม้แต่คุณสมบัติจะได้เงยหน้าขึ้น 

 

ยามนี้ราชวงศ์ก่อนตกต่ำแล้ว หยวนเสินจวินจึงคิดจะขว้างหินซ้ำเติม 

 

ฝ่าบาทน้อยเสินเนี่ยนโม่ที่อยู่เบื้องหน้า นางไม่เห็นอยู่ในสายตาเลยสักนิด จึงออกปากสั่งสอน 

 

เดิมทีกู้ซีจิ่วต้องการจะลงมือสั่งสอนหยวนเสินจวินที่ใช้ ‘ตาสุนัขมองคน’ ผู้นี้ ยามนี้เมื่อเห็นนางพุ่งเป้าไปที่เสินเนี่ยนโม่ เธอจึงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย สองแขนกอดอก ชมอยู่ด้านข้างเสียเลย 

 

เจ้าเด็กน้อยผู้นี้เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก เกรงว่าครั้งนี้หยวนเสินจวินผู้นี้จะโชคร้ายเสียแล้ว! 

 

เท้าน้อยๆ ของเสินเนี่ยนโม่แกว่งไกวอยู่ด้านหน้าของคนใต้ร่าง มือน้อยๆ ข้างหนึ่งเท้าคาง นัยน์ตากลมโตกะพริบปริบๆ แย้มยิ้ม ปรากฏลักยิ้มขึ้นสองข้างแก้ม “เจ้าใจกล้าไม่เบาเลยนี่ กล้าพูดจากับเราเช่นนี้!” 

 

หยวนเสินจวินร้องเชอะคราหนึ่ง “พูดจากับเจ้าเช่นนี้แล้วอย่างไรเล่า? เจ้ายังว่ายังเป็นเช่นแต่ก่อนอยู่หรือ? เป็นแค่ฝ่าบาทตกอับผู้หนึ่งยังกล้าทำตัวเป็นจิ้งจอกห่มหนังพยัคฆ์เช่นนี้อีก เห็นทีว่าเจ้าจะขาดคนอบรบสั่งสอนจริงๆ! เฮอะ เห็นว่าเจ้าเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งหรอก ข้าผู้เป็นเสินจวินคร้านจะถือสาหาความเจ้า จากวาจาไม่กี่ประโยคเมื่อครู่ของเจ้า แม้แต่บิดามารดาที่ไม่รู้ความของเจ้าข้าผู้เป็นเสินจวินก็สามารถสั่งสอนได้!” 

 

————————————————————————————- 

 

ตอนที่ 1893 แย้มยิ้มปานหนูน้อยว่าง่าย 

 

แล้วมองคนที่เสินเนี่ยนโม่ขี่คออยู่อีกแวบหนึ่ง เอ่ยอย่างหวังจะติเพื่อก่อ “ดูจากชุดเจ้าแล้วก็เป็นเสินจวินคนหนึ่งมิใช่หรือ? ไม่น่าเชื่อว่าจะปล่อยให้เด็กน้อยคนหนึ่งขี่อยู่บนหัวเจ้าได้! นิสัยขี้ข้าไม่อาจแก้ได้โดยแท้! ข้าจะบอกเจ้าไว้นะ สกุลอวิ๋นล่มจมแล้ว! ฝ่าบาทแห่งสกุลอวิ๋นเหล่านี้ไม่มีค่าอะไรอีกแล้ว เจ้าติดตามพวกเขาก็ไม่มีผลดี…” 

 

สีหน้าของคนผู้นั้นแดงก่ำ อ้าปากน้อยๆ ทว่ามีความลำบากใจที่ไม่อาจเอ่ยออกมาได้ 

 

เสินเนี่ยนโม่กลับไม่ทุกข์ไม่ร้อน ลักยิ้มบนดวงหน้าน้อยๆ กดลึกยิ่งขึ้น “ที่แท้เจ้าก็เห็นนายน้อยเช่นข้าเป็นคนสกุลอวิ๋นไปเสียแล้ว…มิน่าเล่าถึงได้กล้าจองหองเช่นนี้ ที่แท้ก็มิใช่สายตามืดบอดเท่านั้น แม้แต่ใจก็มืดบอดด้วย” 

 

หยวนเสินจวินผงะไป “เจ้ามิใช่คนสกุลอวิ๋นรึ? เช่นนั้นเจ้าคือคนสกุลใด?” 

 

เสินเนี่ยนโม่ยิ้มใสซื่อ “เจ้าเดาสิ?” 

 

หยวนเสินจวินมองไปที่หลงซือเย่ หลงซือเย่เม้มปากนิดๆ ยืนอยู่กับกู้ซีจิ่ว ไม่เอ่ยวาจา 

 

หยวนเสินจวินมองเสินเนี่ยนโม่อีกครั้ง คล้ายว่าจะตระหนักอะไรขึ้นมาได้แล้ว ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง สีหน้าลังเลไม่แน่ใจ 

 

เสินเนี่ยนโม่มองกู้ซีจิ่วกับหลงซือเย่ ริมฝีปากจิ้มลิ้มเม้มนิดๆ กระดิกนิ้วไปทางหยวนเสินจวิน “วันนี้นายน้อยอย่างข้าจะไม่นำฐานะมาข่มเจ้า เจ้าไม่ต้องสนใจว่านายน้อยเช่นข้าคือผู้ใด หากเจ้าเอาชนะข้าผู้เป็นนายน้อยได้ ข้าจะไม่เอาโทษอันใดกับเจ้า แล้วจะให้หลงซือเย่เดิมดูโคมเป็นเพื่อนเจ้าทั้งคืนด้วย ผู้ใดก็รบกวนไม่ได้ทั้งสิ้น” 

 

หลงซือเย่นึกไม่ถึงเลยว่าจู่ๆ เคราะห์จะตกใส่หัวตน กลายเป็นเบี้ยต่อรองของราชโอรสองค์น้อยผู้นี้ “ฝ่าบาท!” 

 

เสินเนี่ยนโม่ทาบนิ้วหนึ่งลงบนริมฝีปาก เป็นสัญญาณไม่ให้เขาพูด 

 

ฐานะของหลงซือเย่ต่ำต้อยกว่าเขามากนัก ทำได้เพียงหุบปากไปเสีย 

 

“ว่าอย่างไร? เจ้าตกลงหรือไม่?” นัยน์ตากลมโตของเสินเนี่ยนโม่จับจ้องหยวนเสินจวิน 

 

ใบหน้าสะสวยของหยวนเสินจวินแดงเรื่อเล็กน้อย นางชมชอบหลงซือเย่อยู่จริงๆ และต้องการให้หลงซือเย่ชมโคมเป็นเพื่อนนางยิ่งนัก แต่หลงซือเย่ไม่ได้คิดอะไรกับนาง มักจะบอกปัดความปรารถนาดีของนางอยู่เสมอ… 

 

นางมองกู้ซีจิ่วที่อยู่ข้างกายหลงซือเย่แวบหนึ่ง สองคนนั้นยืนเคียงข้างกันอยู่ตรงนั้น ขัดนัยน์ตาอย่างยิ่ง! 

 

ถึงแม้นางจะไม่ทราบฐานะของเสินเนี่ยนโม่ แต่วรยุทธ์ของเด็กน้อยวัยสี่ห้าขวบคนหนึ่งจะแข็งแกร่งใดสักเพียงใดกัน? 

 

ขอเพียงเขาไม่ใช้ฐานะมาข่มตน นางก็มั่นใจว่าจะสามารถทุบตีเจ้าเด็กคนนี้ให้น่วมได้แน่นอน! ทำให้เขาไม่กล้าออกมาอวดดีอีกเลย! 

 

นางก็เป็นขุนศึกหญิงเลื่องชื่อคนหนึ่ง! ทัดเทียมได้กับหลงซือเย่… 

 

นางเชิดหน้า ยิ้มบางๆ “ถ้าเจ้าไม่รักษาคำพูดเล่า?” 

 

“นายน้อยอย่างข้าพูดคำไหนคำนั้นเสมอมา!” เสินเนี่ยนโม่ตัดบทนาง “เพียงแต่ ถ้าเจ้าแพ้จะต้องโขกศีรษะให้แม่นางผู้นี้สามครั้ง คลานบนพื้นสามรอบ ด่าตัวเองว่าใช้ตาสุนัขมองคน” นิ้วน้อยๆ ของเขาชี้ไปที่กู้ซีจิ่ว 

 

กู้ซีจิ่วเลิกคิ้วแวบหนึ่ง เจ้าเด็กนี่ออกหน้าแทนเธออยู่หรือ? 

 

เขาน่าจะจำตนไม่ได้กระมัง? น่าจะไม่รู้ว่าเธอก็คือคนผู้นั้นที่โยนช่อดอกไม้กระแทกใส่หัวเขา… 

 

เนื่องจากหยวนเสินจวินมั่นใจเต็มที่ว่าจะชนะ ดังนั้นนางตอบรับเงื่อนไขของเสินเนี่ยนโม่ เพื่อแสดงความใจกว้าง นางจึงหัวเราะหยันคราหนึ่ง “เดิมทีข้าผู้เป็นเสินจวินก็ไม่อยากจะประมือกับเด็กน้อยอย่างเจ้าเลย เป็นการลดตัวเปล่าๆ แต่เจ้าจองหองเกินไปแล้วจริงๆ ดังนั้นข้าจึงต้องสั่งสอนเจ้าแทนบิดามารดาของเจ้าสักครา ให้เจ้ารู้จักที่ต่ำที่สูง…เพื่อความยุติธรรม ข้าต่อให้เจ้าสามกระบวนท่า” 

 

จู่ๆ คล้ายจะนึกอะไรขึ้นได้ “คงมิใช่ว่าเจ้าจะให้ข้ารับใช้ของเจ้ามาต่อสู้แทนตัวเองกระมัง?! หรือเจ้าคิดจะลงมือพร้อมกับเขา?” 

 

เสินเนี่ยนโม่แย้มยิ้มปานหนูน้อยว่าง่าย “จะเป็นไปได้ยังไง? นายน้อยเช่นข้าจะต่อสู้กับเจ้าตามลำพัง ไม่เรียกหาผู้ช่วยหน้าไหนทั้งนั้น!” 

 

มือน้อยๆ ของเขาตบลงบนร่างคนที่ขี่อยู่ผู้นี้ “ไปยืนรอข้าอยู่ตรงนั้นดีๆ ถ้ากล้าหนีล่ะก็ นายน้อยอย่างข้าจะทำให้เจ้าอยู่มิสู้ตาย!” 

 

คนผู้นั้นพยักหน้ารัวๆ “มิกล้า! มิกล้า!” 

 

—————————————-