ภาคที่ 26 ศาสตร์ลับประจำวัง ตอนที่ 2 ระเบียงอากาศ

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 2 ระเบียงอากาศ โดย Ink Stone_Fantasy

เนื่องจากตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นผู้ท่องอากาศ เมื่อเร่งเดินทางไปในอากาศอันสับสนอลหม่านจึงสบายกว่าเทพอากาศทั่วไปมากนัก ความยุ่งยากบางอย่างที่พบกันโดยทั่วไปนั้น เขาก็สามารถรับสัมผัสได้ตั้งแต่ไกลๆ แล้วหลบเลี่ยงได้อย่างง่ายดาย แต่ทว่าระหว่างทางก็รู้สึกเงียบเหงามากเป็นธรรมดา น้อยนักที่จะได้เห็นสิ่งมีชีวิตสักครั้ง

สิ่งมีชีวิตที่สามารถรับสัมผัสได้ตั้งแต่ไกลๆ นั้น โดยทั่วไปล้วนเป็น ‘สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศ’

สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศคือสิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้นกลางอากาศอันสับสนอลหม่านตามธรรมชาติ แต่ละตัวมีลักษณะแตกต่างกันไป ถึงขั้นมีสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศที่รูปร่างเหมือนมนุษย์ซึ่งพบเห็นได้ยากยิ่งนัก สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศสามารถถือกำเนิดขึ้นมาท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายเช่นนี้ได้ จึงแข็งแกร่งโดยกำเนิดอยู่แล้ว! โดยทั่วไปขอเพียงโตเต็มวัยแล้ว พลังก็ล้วนสามารถบรรลุถึง ‘ผู้ปกครองเทพแท้’ ได้ อีกทั้งร่างกายก็ยังเหมาะแก่การใช้ชีวิตในอากาศอันสับสนอลหม่านเป็นพิเศษ

แต่ทว่า เนื่องจากแข็งแกร่งอย่างยิ่งโดยกำเนิด ส่งผลให้พวกมันคิดจะยกระดับขึ้นไปก็ยากนัก เพราะถึงอย่างไรความแข็งแกร่งของพวกมันก็มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ส่วนมากพวกมันจึงไม่รู้จักการบำเพ็ญ ต่อให้ได้รับวิธีบำเพ็ญมา คิดจะยกระดับขึ้นไปก็ยากมากทีเดียว

อย่างเช่น ‘ร้อยกัณฐ์คำรน’ ที่ตนเคยต่อกรด้วยมาก่อนในสถานที่แรกเริ่ม เดิมทีก็เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศ หรืออย่าง ‘บรรพชนห้วงอากาศ’ ผู้บุกเบิกระบบผู้ท่องอากาศและผู้คิดค้นวิชาลับผู้ท่องขึ้นมานั้น ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้นมาท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่าน และเป็นสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศชนิดหนึ่ง ทว่าพรสวรรค์ของเขาก็แข็งแกร่งเย้ยฟ้ากว่ามากทีเดียว บัดนี้ยังเป็นหนึ่งในสามเทพจักรวาลแห่ง ‘โลกทิพย์กิเลนบูรพา’ ซึ่งเป็นหนึ่งในโลกทิพย์ทั้งห้าอีกด้วย หากพูดถึงพลังและสถานะแล้ว ก็ยังสูงกว่าบรรพชนเทียนอวี๋อยู่บ้างเล็กน้อย

“ฟิ้ววว…”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเร่งหลบหลีกไปในอากาศอันสับสนอลหม่านต่อไป ความคิดจิตใจส่วนใหญ่ยังคงรับรู้สิบสามกระบี่ผลาญโลกาอยู่

เนื่องจากเมื่อได้รับศาสตร์ลับประจำวังนี้มา เขาก็ออกเดินทางจากจักรวาลไปทันที ดังนั้นระหว่างที่เร่งเดินทางไป เขาจึงเริ่มรับสัมผัสอย่างแท้จริง เดิมทีเขาคิดว่า ด้วยการสั่งสมและการรับรู้ของตน ถึงอย่างไรหลังจากตนสำเร็จเป็นผู้ปกครองก็ได้บำเพ็ญมากว่าพันล้านปีแล้ว สั่งสมรากฐานมาอย่างแน่หนาถึงเพียงนี้ ตนก็มั่นใจในการรับรู้ของตัวเองมาก จะศึกษากระบี่ที่หนึ่งให้สำเร็จก็คงจะมิใช่เรื่องยากแต่อย่างใด

แต่อันที่จริงแล้ว…

“ห้าร้อยกว่าล้านปี ข้ายังศึกษาไม่สำเร็จอีกหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้าอย่างจนใจ “แม้จะรับรู้กว่าครึ่งแล้ว แต่ก็ยังมีส่วนสำคัญบางอย่างที่ข้ายังไม่กระจ่าง หากมีคู่ต่อสู้มาห้ำหั่นกับข้า แล้วทำการต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ ก็อาจจะสามารถพบความเร้นลับของศาสตร์กระบี่ได้รวดเร็วขึ้นก็เป็นได้”

แม้จะเป็นศาสตร์กระบี่ แต่วิถีก็คล้ายคลึงกันทั้งสิ้น! เมื่อศึกษากระบี่ที่หนึ่งสำเร็จแล้ว ตนจะทำให้มันกลายเป็นวิถีหอกก็ง่ายขึ้นมากทีเดียว

“ทว่ามันมีส่วนช่วยในการรับรู้วิถีเข่นฆ่าของข้ามากโดยแท้” ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงยินดีปรีดา แม้เขาจะยังมิได้รับรู้กระบี่ที่หนึ่งของสิบสามกระบี่ผลาญโลกาทั้งหมด แต่กลับทำให้เขาเข้าใจวิถีเข่นฆ่าได้อย่างถ่องแท้มากขึ้น รากฐานก็มั่นคงขึ้นด้วย

……

ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังเร่งเดินทางไปและรับรู้ศาสตร์ลับประจำวัง ทันใดนั้นอากาศอันสับสนอลหม่านที่กว้างใหญ่ไพศาลตรงหน้าเขาก็พลันบิดเบี้ยวไป

“ไม่ดีแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าเปลี่ยนแปรครั้งใหญ่ เขาหมายจะหลบหลีกในอากาศหนีไปทันที แต่พละกำลังของอากาศรอบด้านบิดเบี้ยวและส่งผลต่อกันไปหมดจนเขามิอาจควบคุมได้อีกต่อไปแล้ว ยามนี้เขาเหมือนกับตั๊กแตนตัวหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางน้ำวนขนาดมหึมา จะดิ้นรนอย่างไรก็ไร้ประโยชน์

ส่วนการบินไปน่ะหรือ พละกำลังของอากาศโดยรอบบิดเบี้ยวไปหมด ทำให้ตนเคลื่อนไหวได้ยากมาก

“เห็นทีจะพบปัญหายุ่งยากเข้าเสียแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้แตกตื่น ก็เหมือนกับมหาสมุทรที่อาจจะมีน้ำขึ้นน้ำลง มีคลื่นน้ำวนหรืออื่นๆ ท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านก็อาจจะมีสถานการณ์ผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นได้ ทว่าด้วยความสามารถในการเอาชีวิตรอดของผู้ท่องอากาศ โดยทั่วไปก็ล้วนสามารถเอาตัวรอดได้ เพียงแต่อาจจะมีบางครั้งที่ตกที่นั่งลำบากบ้างก็เท่านั้น

เช่นถูกดูดกลืนเข้าไปในอากาศที่ปิดผนึกบางแห่งน่ะหรือ เรื่องนี้ก็มีความเป็นไปได้มากทีเดียว

อากาศอันสับสนอลหม่านซึ่งกว้างขวางเสียจนสามารถนำจักรวาลนับล้านแห่งรอบด้านมาใส่ลงไปได้นั้นบิดเบี้ยวไป ทั้งหมดกำลังยุบถล่มเข้าหาศูนย์กลาง ส่วนที่ยุบลงไปมีวงแสงหลากสีปรากฏขึ้น

“นั่นอะไรน่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถูกโอบล้อมและเข้าใกล้ศูนย์กลางมากขึ้นตามการยุบถล่มของอากาศอันสับสนอลหม่านด้วย

ยิ่งเข้าใกล้ เขาก็ยิ่งมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น

ณ ศูนย์กลาง…

มีรอยพับมิติหลากสีชั้นแล้วชั้นเล่า ราวกับมิติที่แตกต่างกันถูกพับซ้อนและเชื่อมต่อกันอยู่ที่นี่

“ระเบียงอากาศหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงนึกขึ้นได้

ระเบียงอากาศ

คือการที่บริเวณต่างๆ ของอากาศอันสับสนอลหม่านอันกว้างใหญ่ไพศาลสะท้อนซึ่งกันและกันแล้วเริ่มยุบถล่มลงก่อนจะเชื่อมต่อซึ่งกันและกัน บริเวณต่างๆ ซึ่งอาจจะอยู่ห่างกันไกลลิบก็อาจจะเชื่อมต่อกันได้ในขณะนี้เอง

ผู้บำเพ็ญที่แข็งแกร่งบางคนก็สามารถรับสัมผัสการสะท้อนนี้ได้แม้จะอยู่ห่างไปไกลลิบ แล้วสามารถทะลุผ่านจุดนี้ไปยังที่อีกแห่งหนึ่งได้โดยตรง! ต่อให้โลกทิพย์สองแห่งจะอยู่ห่างกันไกลลิบ พวกเขาก็ล้วนสามารถไปถึงได้ในพริบตา

ทว่าการจะทำให้ถึงขั้นนี้ได้นั้น ก็มีเงื่อนไขทางด้านพลังและระบบการบำเพ็ญที่จำกัดเป็นอย่างมาก อย่างระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์หรือระบบลัทธิจอมมารดา ต่อให้บรรลุถึงขีดสุด ก็ไม่มีทางทำได้ถึงขั้นนี้!

แต่ละระบบล้วนมีเอกลักษณ์พิเศษของตนเอง มีเพียงระบบการบำเพ็ญพิเศษและต้องแข็งแกร่งอย่างยิ่งเท่านั้นจึงจะสามารถทำถึงขั้นนี้ได้ แต่บัดนี้ จู่ๆ อากาศอันสับสนอลหม่านกลับมีปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเสียนี่

“ข้ายอมให้มันไม่เกิดขึ้นเสียดีกว่า” แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะรู้สึกตื่นตาตื่นใจอยู่บ้าง แต่กลับรู้สึกจนใจและไม่เป็นสุขอยู่บ้าง

ระเบียงอากาศ

อาจจะช่วยส่งตนให้ไปถึงพรมแดนโลกทิพย์ แต่ในขณะเดียวกันก็อาจจะทำให้ตนตกสู่สถานการณ์ลำบากก็เป็นได้ หรืออาจถึงขั้นส่งตนเข้าไปสู่สถานที่ที่น่าหวาดหวั่นมากก็เป็นได้

ขึ้นอยู่กับโชคชะตาแล้วจริงๆ!

“หวังว่าจะไม่โชคร้ายจนเกินไปนะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหยิบป้ายอักขระอันหนึ่งขึ้นมาไว้ในมือ ในฐานะศิษย์อาภรณ์ทอง เขามีป้ายอักขระรักษาชีวิตอยู่สามอันด้วยกัน วังทวีสูญให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของศิษย์อาภรณ์ทองเป็นอันมาก เมื่อพบสถานการณ์ลำบากที่มิอาจต้านทานได้จริงๆ ป้ายอักขระรักษาชีวิตก็ช่วยทำให้โอกาสรอดชีวิตเพิ่มสูงขึ้นมากทีเดียว

ฟิ้ว

อากาศที่บิดเบี้ยวและยุบถล่มลงได้พาตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งเล็กจิ๋วหาใดเปรียบเมื่ออยู่กลางอากาศบิดเบี้ยวและยุบถล่มเข้าไปในระเบียงอากาศหลากสีสันนั้นด้วยเช่นเดียวกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกเพียงว่ามิติรอบด้านถูกบีบอัดและดึงรั้งอย่างไม่หยุดหย่อน การเคลื่อนของเวลาก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หยุดหย่อนอย่างน่าประหลาด รอบด้านเต็มไปด้วยสีสันต่างๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงทำได้เพียงตามน้ำไปอย่างมิอาจควบคุมตนเองได้ เขาลอบตั้งตารอคอย “คงจะไม่โชคร้ายถึงเพียงนั้นกระมัง ตามปกติแล้วควรจะไปถึงที่อีกแห่งหนึ่ง โอกาสที่จะตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายน่าจะต่ำมาก” เขาปลอบประโลมตนเอง

……

ในที่สุดระเบียงอากาศที่บิดเบี้ยวและไม่เสถียรมาโดยตลอดก็พังทลายลง

ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งติดอยู่ที่บริเวณหนึ่งในนั้นก็กลับมาสู่อากาศอันสับสนอลหม่านตามปกติ ตามรอยพับอากาศแห่งหนึ่งที่พังทลายลง อากาศรอบด้านก็ค่อยๆ คืนสู่สภาพปกติ อากาศอันสับสนอลหม่านซึ่งเดิมทีบิดเบี้ยวก็ค่อยๆ ราบเรียบลงแล้วกลับคืนสู่ความสงบ

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปรอบด้านด้วยความตกตะลึงอยู่บ้าง

ว่างเปล่าไปหมด

จักรวาลซึ่งพอมองเห็นได้รางๆ ทางทิศหนึ่งในตอนแรกนั้นไม่อยู่แล้ว

“ข้ามิได้อยู่ตรงตำแหน่งก่อนหน้านี้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่แปลกใจเลย หากทะลุผ่านระเบียงอากาศแล้วยังกลับมาที่เดิม นั่นจึงจะเป็นเรื่องมหัศจรรย์!

“สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือต้องรู้ให้ชัดว่าตอนนี้ข้าอยู่ที่ใดกันแน่!” ตงป๋อเสวี่ยอิงครุ่นคิด แม้จะสามารถวิเคราะห์ทิศทางของ ‘โลกทิพย์โบราณ’ ได้ แต่เพียงแค่รู้ทิศทางหนึ่งนั้นไร้ประโยชน์ จะต้องหาสิ่งอ้างอิงให้ได้ “เคราะห์ดีที่ท่านอาจารย์กู่ฉีของข้าได้ทิ้ง ‘แผนที่อากาศ’ ซึ่งสมบูรณ์มากเอาไว้ให้ โลกทิพย์ทั้งห้าแต่ละแห่งล้วนระบุไว้อย่างละเอียดนัก”

“เริ่มดีกว่า”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเลือกทิศหนึ่งตามอำเภอใจ แล้วเริ่มเคลื่อนที่ในอากาศมุ่งหน้าต่อไป

ตอนที่เขาจากบ้านเกิดไปนั้น เขาก็วางแผนเอาไว้แล้ว เพราะถึงอย่างไรเดิมทีระหว่างทางก็อาจจะมีจุดพลิกผันเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่ ทั้งหมดก็ถือว่าดีแล้ว

“เอ๊ะ”

ไม่นานนัก

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็พบว่าไกลออกไปในอากาศอันสับสนอลหม่านมีผืนดินอันมหึมาอยู่แห่งหนึ่ง เขาอดนัยน์ตาเป็นประกายขึ้นมามิได้ “แผ่นดินอลหม่านหรือ”

โลกทิพย์โบราณเริ่มแรกสุดนั้นได้ระเบิดไปเพราะศึกใหญ่ในตอนนั้น เศษเสี้ยวของมันได้แปรเปลี่ยนเป็นจักรวาล และมีบางส่วนที่เปลี่ยนเป็นแผ่นดินอลหม่านขนาดเล็ก! แน่นอนว่าสิ่งมีชีวิตอย่าง ‘เทพอากาศขั้นอลวน’ก็มีพลังพอที่จะสร้างแผ่นดินอลหม่านแห่งหนึ่งขึ้นมาได้ แผ่นดินอลหม่านก็เพียงพอให้สิ่งมีชีวิตภายในนั้นเกิดการวิวัฒน์และใช้ชีวิตต่อไปได้ ทว่าเมื่อเทียบกันแล้วการปกป้องของมันก็ค่อนข้างอ่อนแอ

จักรวาลนั้นห้ามมิให้เทพอากาศภายนอกทั้งหมดเข้าไปโดยเด็ดขาด

แต่แผ่นดินอลหม่านกลับมิได้ห้ามแต่อย่างใด

เนื่องจากโดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่ท่องไปในอากาศอันสับสนอลหม่านอย่างน้อยก็ต้องเป็นเทพอากาศ อย่างเรือบินอลวนของกู่กานหลัวหรือตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นล้วนแต่พบเห็นได้ยากยิ่ง บรรดาเทพอากาศก็ยังเข้าไปในจักรวาลมิได้…จักรวาลต่างๆ ในอากาศอันสับสนอลหม่านที่กว้างใหญ่ เมื่อมองอย่างผิวเผินแล้วก็ไม่เห็นความแตกต่าง  ดังนั้นจึงไม่มีชื่อที่กำหนดขึ้นมาเป็นพิเศษแต่อย่างใด

ส่วนแผ่นดินอลหม่าน เนื่องจากสามารถเข้าไปได้ โดยทั่วไปจึงมีชื่อระบุไว้

“ไปดูหน่อยสิว่าแผ่นดินอลหม่านนั้นมีชื่อว่าอะไร เมื่อรู้ชื่อของมันแล้ว ก็จะรู้ตำแหน่งที่ข้าอยู่ในตอนนี้ และสามารถกำหนดได้ว่าต่อไปข้าจะไปยังที่ใดแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงร่อนลงไปยังที่นั้นอย่างรวดเร็ว ทว่าด้วยความระมัดระวัง เขาก็ได้สำแดงสามพันร่างแปรเพื่อแบ่งร่างแปรร่างหนึ่งออกไปด้วย ร่างแปรมุ่งหน้าต่อไป…ส่วนร่างจริงก็แอบตามไปอยู่ห่างๆ

……………………………………..