เล่มที่ 17 เล่มที่ 17 ตอนที่ 483 บุรุษของข้าเอง

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

มู่หรงเฟิงในชุดสีม่วง รูปร่างผอมบางทว่าสูงศักดิ์ ค่อยๆ เดินเข้ามาทางกลุ่มขุนนางที่ยืนอยู่

ทุกคนที่นั่งอยู่ในสวนดอกไม้ต่างลุกขึ้นยืนอย่างพร้อมเพรียง และยกจอกสุราขึ้นมาต้อนรับ

แม้มู่หรงเฟิงจะเป็นที่เคารพของทุกคน ทว่าผู้ที่เดินตามมาด้านหลังกลับมีท่วงท่าสง่างามยิ่งกว่า เขาเดินมายืนด้านข้างมู่หรงเฟิง คนผู้นั้นอยู่ในชุดสีดำขลับลายมังกร บุคลิกสูงศักดิ์โดดเด่น ผมยาวพลิ้วไหว รูปร่างสูงใหญ่เย็นชา

เยี่ยโยวเหยา!!!

ใช่ เยี่ยโยวเหยาแน่นอน!!

ซูจิ่นซียืนยันอยู่ในใจหลายครั้ง มิหนำซ้ำยังเปิดความถี่ของอาคมกำไลปี่อั้นจนถึงระดับสูงสุด ทำให้นางสัมผัสถึงลมหายใจที่คุ้นเคย

เมื่อยืนยันว่าเป็นเยี่ยโยวเหยาอย่างไม่ต้องสงสัย ซูจิ่นซีก็โซเซจนแทบล้ม ไหสุราในมือสั่นไหว จอกสุราที่วางอยู่ขอบโต๊ะพลันตกลงไปบนพื้น

โชคดีที่มู่หรงฉีซึ่งยืนอยู่ด้านข้างเคลื่อนไหวอย่างว่องไว เขาใช้เท้ารับจอกสุรานั้นได้พอดี จอกสุราที่ตกลงบนพื้นจึงไม่แตกกระจาย และไม่เกิดเสียงดังทำให้เป็นจุดสนใจ

จากนั้นมู่หรงฉีก็ยื่นมือไปจับมือซูจิ่นซี พลางพูดแผ่วเบาเพื่อให้กำลังใจนาง

“จิ่นซี สุขุมไว้ ที่นี่คือพระราชวังแคว้นหนานหลี”

ซูจิ่นซีรู้ดีว่าที่นี่คือพระราชวังแคว้นหนานหลี

นางหันหน้าไปมองมู่หรงฉี พยายามกักเก็บอารมณ์ตื่นตระหนกที่อยู่ในใจ และค่อยๆ นั่งลงบนเก้าอี้ตามมู่หรงฉีอย่างสงบ

ในเวลานี้ เยี่ยโยวเหยาควรยุ่งอยู่กับการจัดเตรียมพิธีอภิเษกสมรสกับหนานกงลั่วอวิ๋นที่แคว้นจงหนิงหรือแคว้นซีอวิ๋นไม่ใช่หรือ?

เขามาปรากฏตัวที่นี่เพื่ออันใด?

เขามาที่แคว้นหนานหลี ต้องการจะทำอันใดกันแน่?

ภายในระยะเวลาอันสั้น ความคิดมากมายพลันปรากฏขึ้นในใจของนาง ทว่าความคิดเหล่านั้นกลับสลายกลายเป็นความว่างเปล่า เมื่อนางสบตากับเยี่ยโยวเหยาโดยบังเอิญ และพบว่าเขาใช้วิธีทักทายเหมือนเห็นคนแปลกหน้าทั่วไป

ดูเหมือนมู่หรงฉีจะเข้าใจความคิดของซูจิ่นซี เขากุมมือซูจิ่นซีแน่น และพูดแผ่วเบาข้างหูของนาง “อย่าเพิ่งเสียใจ เวลานี้เจ้าคือซูอวิ๋นคาย ต่อให้โยวอ๋องเห็นเจ้า ก็ไม่แน่ว่าเขาจะจำเจ้าได้”

ซูจิ่นซีหันไปส่งยิ้มให้มู่หรงฉี รอยยิ้มนี้เผยให้เห็นความมุ่งมั่น ทว่าทำให้ผู้ที่พบเห็นเจ็บปวดใจ

จากท่าทางของเยี่ยโยวเหยาในตอนนี้ หมุดกร่อนรักในร่างกายของเขาคงถูกกำจัดออกไปจนหมดสิ้นแล้วกระมัง?

แม้นางจะไม่ใช่ซูอวิ๋นคาย เยี่ยโยวเหยาในเวลานี้ก็ไม่มีทางจดจำนางได้เช่นกัน

ซูจิ่นซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พลางยิ้มเยาะให้ตนเอง จากนั้นจึงยกจอกสุราขึ้นมาและหันไปทางมู่หรงฉี “ฉีอ๋อง เมื่อครู่หม่อมฉันไร้มารยาท ในวันนี้ เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการตามหาดอกไม้ปีศาจให้อู๋จุน เรื่องอื่น… เป็นเพียงเมฆที่ลอยผ่านไปเท่านั้น”

ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ท่าทีของซูจิ่นซีก็ดูผ่อนคลายมากขึ้น ทว่ามู่หรงฉีเข้าใจเป็นอย่างดี ภายในใจของนางไม่ได้ผ่อนคลายดั่งที่แสดงให้เห็นบนใบหน้า

ทว่ายามนี้ นางจำเป็นต้องควบคุมอารมณ์ของตนให้สงบนิ่ง

อย่างไรเสีย คืนนี้ยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ

มู่หรงฉียกจอกสุราขึ้นชนกับจอกสุราของซูจิ่นซี จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นดื่ม

ยามที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น ทว่าความผิดปกติทั้งหมดของพวกเขา ล้วนอยู่ในสายตาของหลิงเซียวจวิ้นจู่

แม้ข้างกายของนางจะมีสตรีชั้นสูงรายล้อมจำนวนมาก ทว่านางไม่อาจละสายตาจากซูจิ่นซีกับมู่หรงฉีแม้แต่วินาทีเดียว

แววตาของนางดั่งไฟสุม ขณะที่มองมู่หรงฉีจับมือซูจิ่นซี มือของนางก็กำแน่นภายใต้แขนเสื้อกว้าง พลางกัดฟันกรอดจนเกิดเป็นเสียงฟันกระทบกัน

บรรดาสตรีสูงศักดิ์ข้างกายไม่รู้ว่าหลิงเซียวจวิ้นจู่เป็นอันใด

“จวิ้นจู่ พระองค์เป็นอันใด? ไม่สบายที่ใดหรือเพคะ? ”

“ใช่ พระพักตร์จวิ้นจู่ดูซีดขาว จวิ้นจู่ไม่สบายหรือเพคะ? ให้หม่อมฉันเรียกหมอหลวงหรือไม่? ”

หลิงเซียวจวิ้นจู่กลับมาได้สติ นางเพิ่งรู้ว่าเมื่อครู่ตนเองสนใจแต่มู่หรงฉีกับซูจิ่นซี จนลืมผู้อื่นที่อยู่ข้างกาย นางจึงแสร้งทำเป็นไม่สบายและเอนกายพิงพนักเก้าอี้ พลางใช้มือนวดไปที่หน้าผาก “ไม่เป็นไร ข้าพักผ่อนสักครู่ก็ดีขึ้น”

นางกำนัลข้างกายเข้าใจในทันที และพูดด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า “ฮูหยินและคุณหนูทุกท่าน จวิ้นจู่ของเราดื่มสุราได้ไม่มากนัก อีกทั้งหลายวันก่อน พระองค์ทรงประชวรด้วยไข้หวัด จึงดื่มสุรามากไม่ได้ ฮูหยินและคุณหนูทุกท่านโปรดให้อภัย”

“ในเมื่อจวิ้นจู่ทรงประชวรก็อย่าดื่มสุรามากเกินไป เช่นนั้นพวกเราขอทูลลา รอจนพระพลานามัยของจวิ้นจู่ดีขึ้นแล้ว พวกเราจะไปคำนับท่านถึงจวน ถึงเวลานั้น จวิ้นจู่ต้องให้เกียรติดื่มกับพวกเรานะเพคะ”

สตรีสูงศักดิ์ต่างรีบลุกขึ้นและแยกย้ายกันไปยังที่นั่งของตน

หลิงเซียวจวิ้นจู่แสร้งยกมือขึ้นด้วยท่าทางอ่อนแรง“แน่นอน แน่นอน!”

รอจนทุกคนเดินจากไปหมดแล้ว นางกำนัลจึงรีบเข้ามายืนข้างกายหลิงเซียวจวิ้นด้วยท่าทีนอบน้อม “จวิ้นจู่ พระองค์อย่าได้มีโทสะ หากโมโหจะเป็นการทำร้ายพระวรกายของพระองค์เอง ไม่คุ้มค่าเพคะ”

หลิงเซียวจวิ้นจู่กัดฟันกรอด “หึ ให้นางแพศยาแซ่ซูผู้นั้นลำพองใจไปก่อนเถิด อย่างไรเสีย นางคงมีวันเวลาดีๆ เช่นนี้อีกไม่นานนัก”

นางกำนัลผู้นั้นชำเลืองมองไปทางเยี่ยโยวเหยาที่ยืนอยู่ในระยะไกล แววตาของนางพลันเปล่งประกาย นางเอียงตัวมากระซิบข้างหูหลิงเซียวจวิ้นจู่ว่า “จวิ้นจู่… บ่าวรู้สึกว่า นางแพศยาแซ่ซูผู้นั้นต้องมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับโยวอ๋องแห่งแคว้นจงหนิงแน่นอนเพคะ! ”

“เจ้าเองก็ยังมองออก” หลิงเซียวจวิ้นจู่กัดฟันกรอด พลางเงยหน้ายกสุราขึ้นดื่ม นางบีบจอกสุราแน่นจนข้อนิ้วเป็นสีขาว “จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ นางต้องเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ เห็นผู้ใดก็ยั่วยวนไปเสียหมด นาง… ไม่เหมาะสมกับพี่ฉี ไม่รู้ว่าพี่ฉีคิดอันใดอยู่”

นางกำนัลลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “จวิ้นจู่ บ่าวรู้สึกว่า ท่าทางเมื่อครู่ของนางแพศยาแซ่ซูผู้นั้น ไม่เหมือนเป็นการยั่วยวนโยวอ๋องแห่งแคว้นจงหนิงนะเพคะ ทว่าเหมือน… ” นางกำนัลผู้นั้นพูดพลางยื่นหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูหลิงเซียวจวิ้นจู่ “บ่าวรู้สึกว่า นางแพศยาแซ่ซูผู้นั้น ต้องรู้จักโยวอ๋องมาก่อนแน่นอนเพคะ”

หลิงเซียวจวิ้นจู่มองนางกำนัลผู้นั้นด้วยแววตาครุ่นคิด

นางกำนัลผู้นั้นพยักหน้าอย่างมั่นใจให้หลิงเซียวจวิ้นจู่

“หึ! ”

หลิงเซียวจวิ้นจู่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย นางเงยหน้าดื่มสุราอีกจอก ก่อนจะหันไปมองซูจิ่นซี แววตาเผยให้เห็นเล่ห์กลบางอย่าง

“ดูแล้ว การแสดงฉากเด็ดในวันนี้ ยิ่งน่าสนุกมากขึ้นทุกที” หลิงเซียวจวิ้นจู่หมุนจอกสุราในมือ พลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “หากข้าจำไม่ผิด ซูอวิ๋นคาย คนผู้นี้มาจากแคว้นจงหนิง”

“ใช่แล้วเพคะ จวิ้นจู่! ” นางกำนัลรีบเอ่ยสำทับ

“ข้าขอคิดให้รอบคอบอีกสักนิด… ” ท่าทางของหลิงเซียวจวิ้นจู่ยิ่งดูมีเลศนัย ครู่หนึ่งนางจึงยกมือขึ้น นางกำนัลรีบเอียงศีรษะเข้าไปใกล้ๆ

“เจ้าฟังข้าพูดให้ดี … หากสบโอกาส พวกเราก็ลงมือทันที… รออีกสักครู่… ”

ในเมื่อหลิงเซียวจวิ้นจู่สังเกตเห็นซูจิ่นซีกับมู่หรงฉี ผู้อื่นย่อมจับสังเกตได้เช่นกัน

แท้จริงแล้ว หลังจากที่มู่หรงเฟิงเดินเข้ามาในสวนดอกไม้ สายตาของเขาก็จับจ้องมาที่ซูจิ่นซีกับมู่หรงฉีนานแล้ว แม้เขาจะไม่เห็นท่าทางของซูจิ่นซีตอนที่พบกับเยี่ยโยวเหยา ทว่าภาพที่มู่หรงฉีกุมมือซูจิ่นซีเพื่อให้กำลังใจนั้น มู่หรงเฟิงเห็นชัดเต็มสองตา

มู่หรงเฟิงเดินทักทายเหล่าขุนนางในงานพิธี จากนั้นจึงพูดกับมู่หรงฉีว่า “ฉีเอ๋อร์ หลายวันมานี้ ลุงได้ยินว่าเจ้าได้ของรักของหวงใหม่แล้ว เดิมทีลุงไม่เชื่อเท่าไรนัก ทว่าวันนี้ได้มาเห็นกับตา เจ้าไม่ธรรมดาจริงๆ เจ้าทำให้ลุงต้องมองเจ้าใหม่แล้ว”

มีข่าวลือว่ามู่หรงฉีมีรสนิยมตัดแขนเสื้อ [1] เขาไม่สนใจสตรี สนใจแต่บุรุษ ในจวนยังเลี้ยงบุรุษไว้คนหนึ่ง

บุคคลที่ทุกคนร่ำลือกันก็คือซูจิ่นซี

คำพูดของมู่หรงเฟิงเป็นการเข้าใจผิดต่อมู่หรงฉีและซูจิ่นซี

ทว่าคำพูดเช่นนี้ เหตุใดเขาจึงพูดออกมายามอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมาย? ทั้งในเวลานี้ยังมีเยี่ยโยวเหยาอีกคน!

ซูจิ่นซีหันไปมองเยี่ยโยวเหยาด้วยความระมัดระวัง

……

เชิงอรรถ

[1] ตัดแขนเสื้อหรือลุ่มหลงจนต้องตัดแขนเสื้อ เป็นสำนวนใช้เรียกชายรักชาย เรื่องมีอยู่ว่า จักรพรรดิฮั่นอายตี้ หรือชื่อเดิมคือ หลิวซิน เป็นจักรพรรดิในยุคปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันตก พระองค์เป็นพวกรักร่วมเพศและมีชายที่รักมากคนหนึ่งนามว่าต่งเสียน ฮั่นอายตี้จะร่วมหลับนอนกับต่งเสียนทุกวันเป็นธรรมดา วันหนึ่งหลังจากตื่นบรรทมช่วงกลางวันแล้ว พระองค์จะลุกก็ไม่กล้า เพราะชายที่รักนอนทับแขนเสื้ออยู่ ฮั่นอายตี้ไม่อาจหักใจดึงชายเสื้อตนเองออก เพราะกลัวจะทำให้ต่งเสียนตื่น จึงตัดสินใจเอามีดมาตัดแขนเสื้อตนเอง