ตอนที่ 570 โม่จิ่นโดนยำ

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

สีหน้าหัวหน้าหอชิงลั่วพลันเปลี่ยนกลายเป็นแข็งทื่อเสียยิ่งกว่าท่อนเหล็ก เดิมทีเขาอยากทำให้ทั้งตำหนักโม่อวี่ต้องขายขี้หน้า แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่าฝ่ายที่ต้องมาขายขี้หน้านั้นจะเป็นพวกเขาหอชิงลั่วเสียเอง

“ทุกท่าน ใครยังมีอะไรที่อยากถามอีกหรือไม่ ?” มู่เฉียนซีถามขึ้น

เจ้าตำหนักโม่ “ไม่ พวกเราไม่มีสิ่งใดจำเป็นต้องถามแล้ว”

มู่เฉียนซีพยักหน้าก่อนจะกล่าวว่า “อืม เช่นนั้นข้าจะถอนการสะกดจิตเลยก็แล้วกัน”

— เพี๊ยะ! —

มู่เฉียนซีตีเข้าไปหนึ่งครา ฉืออีอีตื่นขึ้นมาจากอาการมึนงงที่ดูไร้ชีวิตชีวาในทันใด “เข้ามา! นำตัวนางสารเลวนี่ไปขังคุกดินรอการตัดสินโทษ”

ฉืออีอี เมื่อนางตื่นขึ้นมาจากภวังค์ก็ได้ยินเสียงเจ้าตำหนักโม่กล่าวอย่างโกรธกริ้ว

คุกดิน! เขาจะส่งนางเข้าไปในคุกดินที่ส กปรกเช่นนั้นได้อย่างไร ?

“ท่านเจ้าตำหนัก ทำไมต้องส่งข้าเข้าไปในคุกดินด้วย ข้าทำอะไรผิดกันแน่ ? …ท่านเจ้าตำหนัก โปรดฟังข้าอธิบายก่อนนะเจ้าคะ” ฉืออีอีมึนงงอย่างยิ่งยวด สิ่งที่นางพูดออกมาในตอนถูกสะกดจิตนั้น นางจำอะไรไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นแล้ว เรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้างนางย่อมไม่รู้ ทุกคนในที่แห่งนั้นล้วนแต่นึกรังเกียจเหยียดหยามนางไปหมดแล้ว  ทำชั่วทำเลวแบบนั้น แต่ยังกล้าที่จะมาร้องหาความยุติธรรม ฉืออีอีช่างเป็นสตรีหน้าไม่อายเสียจริง

“เอาตัวออกไป!” เจ้าตำหนักโม่อวี่โบกมือส่งสัญญาณ  สำหรับเขา สตรีนางนี้น่ารังเกียจจนถึงขั้นสุดไปแล้ว

“เอาตัวผู้อาวุโสสามไปด้วย” สำหรับผู้ที่มีการติดต่อกับสตรีนางนี้และให้ร้ายโม่จิ่น แน่นอนว่าเจ้าตำหนักโม่จะไม่ปล่อยพวกนั้นไปอย่างเด็ดขาด

เสร็จสิ้นไปสองเรื่องแล้ว ยังเหลืออีกเรื่องหนึ่ง

ชิงฮุ้ยกรีดร้อง “ม่ายยยย!… ข้าเปล่า!  ข้าเปล่านะ!  นางพูดจาเหลวใหล นางพูดจาเหลวใหลอย่างแน่นอน”

“น้องรอง!” ชิงหนิงเองก็มองชิงฮุ้ยด้วยความช้ำใจ ถึงต่อให้นางจะไร้เดียงสามากกว่านี้ แต่ก็สามารถรู้ได้ว่าการที่ชิงฮุ้ยลงมืออย่างโหดเหี้ยมเมื่อครู่นี้มิได้เป็นอะไรที่พลั้งเผลอไป

“หัวหน้าหอชิงลั่ว ท่านต้องการให้ข้าสะกดจิตลูกสาวสุดที่รักของท่านหรือไม่ ? เพื่อจะได้ถามอะไรให้ชัดเจนขึ้นมาบ้าง” มู่เฉียนซีถามขึ้น

หัวหน้าหอชิงลั่วรีบตอบโต้ “มิจำเป็น! ลูกสาวของข้าข้าจะสั่งสอนนางให้ดีเอง ไม่ต้องให้ผู้อื่นมายุ่มย่ามจัดการ”

“ข้าเองก็ไม่อยากไปยุ่มย่ามหรือยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในครอบครัวของท่านนักหรอก แต่ท่านหัวหน้าหอชิงลั่วอย่าลืมเรื่องที่สัญญาเดิมพันเอาไว้ล่ะ” กล่าวจบ มู่เฉียนซีก็ปล่อยหัวหน้าหอชิงลั่วไปอย่างใจกว้าง ทว่าเจ้าตำหนักโม่ไม่คิดทำเช่นนั้น “หัวหน้าหอชิง เรื่องนี้เจ้าพยายามหาความผิดให้แก่ตำหนักโม่อวี่ของข้า ซ้ำร้ายยังนำเอาเรื่องนี้ไปทำให้ตำหนักโม่อวี่ของข้าเสียหายไม่เป็นท่า แต่สุดท้ายแล้วมันกลับเป็นเรื่องที่ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าก่อขึ้นมา เจ้าจะจัดการเช่นไร ?”

ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวสำทับ “ใช่ เสี่ยวจิ่นเป็นถึงอัจฉริยะของตำหนักโม่อวี่เรา แต่เป็นเพราะพวกเจ้า เจ้าตำหนักโม่อวี่จึงส่งเขาไปที่เกาะวิญญาณมรณะ พวกเจ้าต้องให้คำอธิบายในเรื่องนี้กับพวกเราด้วย”

“เอ่อ… ข้า…”

ตำหนักโม่อวี่ถูกกดดันมายาวนาน บัดนี้พวกเขาต้องถือเอาโอกาสอันหอมหวานนี้เล่นงานหอชิงลั่วเสียหน่อย

แม้หอชิงลั่วจะไม่อยากยอมรับก็ต้องยอมรับ  หากปล่อยให้เรื่องราวใหญ่โตขึ้นมา มันจะไม่เป็นผลดีต่อใครทั้งนั้น มู่เฉียนซีเหล่มองไปทางโม่จิ่น นางกล่าว “โม่จิ่น พวกเราไปพักผ่อนเถอะ”

เรื่องนี้เป็นเรื่องของตำหนักโม่อวี่ มันไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาแล้ว  ขณะที่มู่เฉียนซีกำลังจะเดินออกไปนั้น สีหน้าชิงฮุ้ยที่อยู่ด้านข้างพลันหม่นคล้ำ นางจ้องมองมู่เฉียนซีอย่างเอาเป็นเอาตาย แววตาอาฆาตแค้นไม่ปล่อยวาง

ทั้งหมดเป็นเพราะนางผู้หญิงเลว ๆ ที่โผล่มาจากไหนไม่รู้นี่แท้ ๆ  นางมิเพียงแต่ทำให้ชิงหนิงฟื้นตื่นขึ้นมาเท่านั้น กลับยังทำให้เรื่องถูกเปิดเผยอีกด้วย เกรงว่าเมื่อถึงตอนนั้น บิดานางคงจะกล่าวโทษนางเป็นแน่

โม่จิ่นเดินออกประตูไปแล้วถามขึ้น “ถึงแม้ชิงฮุ้ยจะกระทำความผิดเอาไว้เช่นนี้ แต่ด้วยความสามารถและพรสวรรค์ที่ซุกซ่อนอยู่ของนาง ข้าคาดว่าหัวหน้าหอชิงลั่วคงจะไม่ถึงขั้นฆ่าแกงกันให้สิ้นไปกระมัง แต่นั่นจะต้องเป็นการเลี้ยงไข้ไว้เป็นภัยภายหลังแน่นอน ข้าเกรงว่า…” มู่เฉียนซีกล่าวแทรกอย่างเฉยเมย “อย่าไปใสใจมากนัก นางเป็นแค่ตัวตลกกระโดดโลดเต้นก็เท่านั้น หากว่านางยังกล้าที่จะมากระโดดโลดเต้นอีก ข้าจะฆ่าจะบีบเค้นนางให้ตายเลยคอยดูสิ”

โม่จิ่นกล่าว “นั่นก็ใช่ นางเพียงแค่มดมีพิษตัวหนึ่งเท่านั้น แต่เมื่อต้องมาเจอกับเจ้าที่มีหมื่นพิษ นางมิอาจทำอะไรได้ ไม่ต้องระแวดระวังนางเลยก็ยังได้”

มู่เฉียนซี “เอาเถอะ ๆ  ดูเรื่องสนุกมาทั้งวันแล้ว และยังได้คืนความบริสุทธิ์ให้แก่เจ้าด้วย นี่ก็ถึงเวลาทำงาน เจ้าไปทำงานได้แล้วไป!”

ได้ยินคำว่า ‘งาน’ สีหน้าโม่จิ่นยู่ยี่เสมือนโลกนี้แตกสลายลง เขาถอนหายใจยาว “เฮ้อ… วันนี้เป็นวันพิเศษ นายท่านจะให้ข้าหยุดพักสักวันหนึ่งไม่ได้เลยรึ ?”

“ไม่ได้ เวลามีค่ามาก เรื่องกิจการค้าขายข้ามอบให้เจ้าดูแล ข้าต้องไปฝึกบำเพ็ญต่อ”

โม่จิ่นนั้นรู้สึกได้ว่าการที่มู่เฉียนซีรีบร้อนเช่นนี้ นางคงมีเรื่องรีบเร่งต้องไปทำจริง ๆ อย่างแน่นอน โดยปกติแล้วนี่ไม่ใช่นิสัยของนางเลย  เขากล่าว “นายท่านวางใจได้ ข้าจะทำอย่างสุดความสามารถ หอหมอปีศาจเราต้องพัฒนาไปได้ดีในทวีปเสียโจวแน่”

มู่เฉียนซีพยักหน้า “อืม ดีมาก  ว่าแต่ที่ทวีปเสียโจวมีสถานที่ใดช่วยให้คนเราเพิ่มขั้นพลังความสามารถได้บ้างล่ะ ?”

เก็บตัวฝึกบำเพ็ญ วิธีการนี้เชื่องช้าเกินไป มันไม่ได้ดั่งใจมู่เฉียนซีเลย

โม่จิ่น “หากถามว่าที่ทวีปเสียโจวแห่งนี้ ที่ไหนสามารถฝึกบำเพ็ญได้ไวที่สุด เรื่องนี้ต้องยกให้สำนักศึกษาซวนเสีย  ที่นั่นเป็นสำนักนิกายระดับสองเพียงหนึ่งเดียวของทวีปเสียโจว ในสำนักศึกษานั้นมีค่ายกลวิญญาณที่พวกเราสำนักนิกายระดับหนึ่งไม่มี  ข้าได้ยินมาว่าหากอยู่ฝึกบำเพ็ญในนั้น เพียงหนึ่งวันของการฝึก สามารถเทียบได้กับการฝึกบำเพ็ญข้างนอกสิบวัน ข้าเองก็เป็นศิษย์มีผลการเรียนดีที่จบการฝึกฝนมาจากที่นั่น” “สำนักซวนเสียงั้นรึ ? ข้าได้ยินมาว่านอกจากจวนชางไห่ สถานที่ที่เก็บรักษาพวกตำราไว้มากมายคือสำนักศึกษาซวนเสีย” มู่เฉียนซีกล่าวเสียงฉงน

“อืม เป็นจริงตามนั้น” โม่จิ่นพยักหน้า

มู่เฉียนซีลูบคางพลางกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ดูเหมือนว่าสำนักศึกษาซวนเสียเป็นสถานที่ที่ข้าจำเป็นต้องไปเสียแล้ว”

โม่จิ่น “อีกไม่นานนัก อาคงก็ต้องไปรายงานตัวที่สำนักศึกษาหนานเฟิง เมื่อถึงตอนนั้น นายท่านก็ตามเขาไปด้วยกันสิ ไปเป็นเด็กใหม่แทรกเข้าชั้นเรียน ท่านคิดว่าดีไหมล่ะ ?”

“หืม ? เจ้าหมายถึงสำนักศึกษาหนานเฟิง มิใช่ไปสำนักศึกษาซวนเสียหรอกหรือ ?” มู่เฉียนซีงงงัน โม่จิ่น “สำนักศึกษาหนานเฟิงเป็นหนึ่งในสิบสำนักนิกายระดับหนึ่ง พวกเราผู้เป็นบุคคลของทั้งสิบแปดกลุ่มกองกำลังใหญ่ไม่สามารถเข้าไปยังสำนักศึกษาซวนเสียอย่างโต้ง ๆ ได้ แต่จะต้องเข้าไปยังหนึ่งในสิบสำนักใหญ่ที่เป็นสำนักนิกายระดับหนึ่งเสียก่อน เมื่อสอบผ่านแล้วถึงจะเข้าไปที่สำนักศึกษาซวนเสียได้”

“สำนักนิกายระดับสองมิใช่สถานที่ขี้ ๆ ที่ปล่อยให้ใครก็ได้เข้าไปง่าย ๆ  ผู้ที่เข้าไปในสถานศึกษาซวนเสียได้ ล้วนแต่เป็นผู้มีพรสรรค์ขั้นสูงของทวีปเสียโจวทั้งสิ้น”

มู่เฉียนซีพยักหน้ารับรู้ “อืม ข้าเข้าใจแล้ว”

หากเปรียบสำนักศึกษาซวนเสียเป็นมหาวิทยาลัยปักกิ่งหรือมหาวิทยาลัยชิงหัวในโลกปัจจุบัน เช่นนั้นสำนักใหญ่ทั้งสิบแห่งก็เปรียบเหมือนกับโรงเรียนมัธยมปลาย นางจึงต้องไปเรียนมัธยมปลายเสียก่อน

“เรื่องนี้ให้ข้าจัดการเองเถอะ ข้าจัดการได้แน่” โม่จิ่นกล่าวอย่างมุ่งมั่น “อีกอย่าง สำนักศึกษาใหญ่ของทวีปเสียโจวจะรับเพียงแค่ผู้อัจฉริยะที่อายุไม่เกินยี่สิบห้าปี  แต่ท่าน… อายุของท่านไม่ได้เกินกว่าที่มาตราฐานกำหนดใช่หรือไม่ ?”

“เจ้าไสหัวไปเลยไป!” มู่เฉียนซีเดือดดาลอย่างฉับพลัน นางถีบโม่จิ่นเต็มแรง “ในสายตาเจ้าข้าแก่ขนาดนั้นเลยรึ ? ข้าเพิ่งผ่านพ้นภาวะเติบโตเป็นผู้ใหญ่มาไม่นานด้วยซ้ำ”

ถูกหาว่าแก่ มู่เฉียนซีโกรธเกรี้ยวเสียแล้ว

“หะ… ห๊ะ!!! ไม่กระมัง” โม่จิ่นอ้าปากค้าง “ถึงแม้ว่าผิวหน้าของเจ้าจะดูอ่อนเยาว์อย่างมากก็ตาม แต่ทักษะวิธีการปรุงยาที่ท้าทายสวรรค์เช่นนั้นของเจ้า มันทำให้ข้านึกว่าเจ้าเป็นผู้เฒ่าประหลาดอายุพันปี…” โมจิ่นกล่าวยังไม่ทันจบคำ  เสียงเยือกเย็นพลันดังขึ้นขัด “ผนึกมังกรวารี!”

“อ๊าก!” โม่จิ่นร้องเสียงหลง รีบร้อนปัดป้องมือเป็นระวิง

“แน่จริงเจ้าห้ามป้องกันสิ” มู่เฉียนซีกล่าวขึ้นด้วยเสียงเย็นชาเต็มที่ “เจ้าบังอาจมาบอกเองว่าข้าแก่เฒ่า เอานี่ไปกินซะ มังกรวารีพิฆาต!”

“บุปผาหลั่งสายฝน!” “มังกรวารีสะท้านสวรรค์!”

เขาเห็นเด็กสาวผู้นี้เป็นผู้เฒ่าประหลาดพันปี  รนหาที่ตายโดยแท้  มู่เฉียนซีจึงมิได้เกรงใจต่อโม่จิ่นเลย

เจ้าหมอนี่มันอยากหาเรื่องเอง!

“อ๊าก! ไว้ชีวิตข้าด้วย ข้ารู้ผิดแล้ว…”

“อ๊าก! พอแล้ว พอเถอะ!” ที่ห้องโถงใหญ่กำลังสนทนากันอย่างตึงเครียด แต่พวกเขากลับสู้กันเองเสียแล้ว และได้ทำให้ผู้อาวุโสที่สามมีสภาพซีดขาวราวไก่ต้ม อีกทั้งบนใบหน้าของเขายังมีวงสีเขียวระคนม่วงเสียด้วย

มู่เฉียนซีข่มขู่ “ต่อจากนี้ไป ทางที่ดีเจ้าอย่าได้ว่ากล่าวอะไรมั่วซั่ว มิเช่นนั้นข้าจะปรุงยาเร่งสภาพร่างกายให้แก่ชราและตาย เอามายัดปากเจ้า”

โม่จิ่นแทบอยากร้องไห้ “ข้าน้อยมิกล้าแล้ว ข้าน้อยมิกล้าที่จะล้อเล่นแบบนี้อีกแล้ว ไว้ชีวิตข้าด้วยเถิดนะนายท่านนะ”

“ฮ่า ๆ เอาล่ะ ๆ เจ้าไปทำงานได้แล้ว”

เพราะที่แห่งนี้เป็นเขตแดนของตำหนักโม่อวี่ เรื่องทั้งหมดจึงจัดการไปได้อย่างราบรื่น

โม่ซางคงมาหามู่เฉียนซีเองถึงที่  เขากล่าวขึ้น “สวัสดีแม่นาง เวลานี้อาจิ่นเริ่มออกเดินทางไปยังเมืองชิงแล้ว เขาไหว้วานให้ข้าพาเจ้าไปรายงานตัวที่สำนักศึกษาหนานเฟิง เจ้าพร้อมหรือยัง”