บทที่ 392 เกิดหายนะขึ้นอีก

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

“คนคนนี้คือหมอชื่อดังคนไหนอีกล่ะ? พวกนายมีใครรู้จักมั้ย?”

“เหมือนว่าเขาจะไม่ใช่หมอนะ เมื่อกี้เขามากับประธานเฉินแห่งบริษัทแซ่เฉิน ดูแล้วหน้าคุ้นมาก แต่คิดไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน”

“พอนายพูดแบบนี้ฉันก็นึกออกแล้ว เขาคือสามีของประธานเฉินไง! ช่วงก่อนได้ขึ้นหนังสือพิมพ์ด้วย”

คนที่มุงดูอยู่คุยกันเสียงเบา เย่เทียนไม่สนเรื่องพวกนั้นหรอก เขาหยิบเข็มเงินของ พานเหลียงผิงมา เดินคัมภีร์หวงเรียบๆ ชี่ทิพย์วนเวียนอยู่ที่เข็มเงิน ปลายเข็มสั่นไหวขึ้นมาในบัดดล

พานเหลียงผิงเห็นแล้วตาโตทันที เขาอุทานเสียงหลงตามจิตใต้สำนึก “ควบคุมเข็มด้วยพลังชี่?”

“ถือว่าคุณพอมีความรู้อยู่บ้าง” เย่เทียนกวาดตามองเขานิ่งๆ

กับคำพูดที่ไม่รู้ว่าชมหรือด่าของเย่เทียน พานเหลียงผิงหน้าแดงขึ้นมาด้วยความกระอักกระอ่วน

เย่เทียนไม่สนหรอกว่า พานเหลียงผิงคิดยังไง เขาตั้งสมาธิ ก่อนจะขยับตัวฉับพลัน ฝังเข็มเงินเก้าเล่มลงบนตัวคุณลุงด้วยความเร็วดั่งสายฟ้าฟาด

ทว่า ถึงแม้ท่าทางสง่างาม น่าดูชมสุดๆ แต่คุณลุงยังคงไม่มีปฏิกิริยาใดๆ

พานเหลียงผิงไม่พอใจเย่เทียนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงฉวยโอกาสแดกดันเขา

“ผมก็นึกว่าคุณจะเก่งสักแค่ไหน ควบคุมเข็มด้วยพลังชี่เป็นแล้วยังไง ก็ไม่มีประโยชน์เลยสักนิด”

เย่เทียนไม่สนใจเจ้าตัวตลกคนนี้แม้แต่น้อย คุณลุงที่สลบอยู่ตรงหน้าโดนพิษไปเยอะแล้ว หากไม่รีบรีดพิษออกมา เกรงว่าไม่เกินหนึ่งชั่วโมงได้ไปขอเขาคืนจากยมบาลแน่!

ใช่แล้ว คุณลุงคนนี้ถูกพิษร้ายแรง เย่เทียนตั้งใจจะฝืนเค้นพิษออกมาด้วยชี่ทิพย์

คิดมาถึงตรงนี้ เย่เทียนไม่ยอมเสียเวลาอีกต่อไป ชี่ทิพย์มหาศาลถาโถมเข้าไปในตัวของคุณลุง

นาทีต่อมา คุณลุงส่งเสียงร้องทุ้มต่ำ และก็เห็นเข็มเงินเก้าเล่มนั้นค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นสีดำ และมีเลือดสีดำหลั่งไหลออกมา

เป็นเวลาห้านาทีเต็ม คุณลุงถึงค่อยๆฟื้นขึ้นมาและมองไปรอบๆด้วยสีหน้ามึนงง

“ฟื้นแล้ว! ฟื้นแล้วจริงๆด้วย!”

“สมกับเป็นผู้ชายที่ประธานเฉินชอบ ช่างเป็นยอดคนเหนือคนจริงๆ”

“แม้แต่หมอพานน้อยชื่อดังแห่งโรงยาฝูจือยังรักษาไม่ได้ เขากลับรักษาได้ วิชาแพทย์ของเขานี่เลิศล้ำเหลือเกิน”

ขณะเดียวกัน เฉินหวั่นชิงก้าวฉับไวเช้ามาเพื่อตรวจดูอาการ

พานเหลียงผิงมีสีหน้าตะลึง ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น

เขาโอหังและถือตัวอยู่หน่อยๆก็จริง แต่ก็ไม่ใช่คนโง่เขลา

เมื่อเห็นว่าเย่เทียนช่วยให้คุณลุงคนนี้ฟื้นขึ้นมาแล้วจริงๆ จะไม่รู้ได้ยังไงว่าวิชาแพทย์ของเจ้านี่อยู่เหนือกว่าตัวเอง อดเกิดความคิดบางอย่างขึ้นในใจไม่ได้

แต่ ในขณะที่ทุกคนกำลังยินดีปรีดากันนั้น เสียงหนึ่งที่ไม่เข้ากับสถานการณ์ดังขึ้น

“ฟื้นแล้วยังไง? ยังไงซะหากจะเท้าความถึงต้นเหตุ พี่ชายคนนี้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นก็เพราะใช้เซรั่มปลูกผมของพวกคุณ!”

“ไม่ว่ายังไงบริษัทแซ่เฉินของพวกคุณก็ยากจะผลักภาระนี้ออกไปได้!”

ทุกคนมองไปตามเสียง ก็เห็นผู้ชายในชุดสูทแขวนป้ายนักข่าวที่หน้าอกค่อยๆเดินออกมาจากฝูงชน

“แย่แล้ว เขาเป็นนักข่าวปากกล้าจากหนังสือพิมพ์อรุณแห่งเจียงหนัน ฉีหลินชิ่ง!”

เมื่อเห็นใบหน้าของคนมาอย่างชัดเจนแล้ว ใบหน้างดงามของกู้กวนชีเปลี่ยนไปเล็กน้อย และอุทานออกมาอย่างอดไม่ได้

ฉีหลินชิ่งอายุประมาณสามสิบ ตัวสูงผอม ปากคอเราะร้าย ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนที่แหยมด้วยได้

เขาได้ยินเสียงอุทานของกู้กวนชีอย่างชัดเจน แต่เขาไม่ได้คิดว่ามันน่าอับอาย ในทางตรงกันข้าม ใบหน้าของเขาฉายแววเย่อหยิ่ง

“อื้อหือ คิดไม่ถึงเลยว่าระดับบริษัทแซ่เฉินจะเป็นนักธุรกิจขี้โกงไร้คุณธรรมแบบนี้”

“เซรั่มปลูกผมอะไรนั่นเพิ่มสารเคมีที่ทำให้หนังศีรษะมนุษย์เน่าเปื่อยอย่างไร้มนุษยธรรม!”

เมื่อเขาพูดแบบนี้ออกมา กลุ่มฝูงชนก็ได้สติจากวิชาแพทย์ของเย่เทียน และส่งเสียงซุบซิบอย่างอดไม่ได้

“ตาฉีพูดถูก ถ้าไม่ใช่เพราะใช้เซรั่มปลูกผมที่ผลิตโดยบริษัทแซ่เฉิน ผู้ชายคนนี้จะกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง”

“ก็ใช่น่ะสิ เซรั่มปลูกผมนี้น่ากลัวเหลือเกิน ดูที่หัวหน้าของพี่ชายคนนั้นสิ อย่าว่าแต่ปลูกผมเลย นั่นแทบจะเรียกว่าเสียโฉมแล้ว!”

“ว่ากันว่านักธุรกิจขี้โกงกันทั้งนั้น คิดไม่ถึงว่าธุรกิจขนาดใหญ่อย่างบริษัทแซ่เฉินจะไร้คุณธรรมถึงเพียงนี้!”

เย่เทียนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย กวาดสายตามองผู้คนที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์ และค่อยๆยืนขึ้น

“ข้าวน่ะกินมั่วๆได้ แต่คำพูดจะพูดมั่วๆไม่ได้!”

“ถึงแม้คุณลุงคนนี้จะถูกพิษ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นเพราะเขาเซรั่มปลูกผมถึงได้กลายเป็นแบบนี้?”

ไม่ว่ายังไงวันนี้ก็เป็นงานแถลงข่าวเปิดตัวสินค้าใหม่ของบริษัทแซ่เฉิน มีคนถูกพิษพอดียังไม่เท่าไหร่ ดันมีคนออกมาปลุกระดมด้วย เห็นชัดๆเลยว่ามีอะไรในกอไผ่

ฉีหลินชิ่งฟังแล้วกลับไม่รู้สึกรู้สาอะไร เพียงแต่หัวเราะเย็นๆ

“ทุกคนเห็นกันเต็มตาว่าพี่ชายคนนั้นกลายเป็นแบบนี้เพราะใช้เซรั่มปลูกผม ถ้าไม่ใช่ว่าเซรั่มปลูกผมของพวกคุณมีปัญหา จะมีสาเหตุอะไรอีก?”

เขาพูดเหมือนมีหลักฐาน ถึงแม้ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าเขามีชื่อเสียงด้านปากกล้า แต่ก็ยังโดนชักจูงความคิดเอาได้ และออกเสียงประณามบริษัทแซ่เฉิน

“คนของบริษัทแซ่เฉินหน้ามืดตามัว กล้าเล่นสกปรกได้ทุกอย่างเพียงเพื่อเงิน”

“พวกนักธุรกิจไร้คุณธรรมของบริษัทแซ่เฉินนี่ หลังจากนี้ฉันจะไม่ซื้อสินค้าของบริษัทพวกเขาอีกแล้ว”

ฉีหลินชิ่งรู้สึกได้ใจ เขายืนกอดอก สายตาที่มองเย่เทียนฉายแววแผนร้ายสำเร็จอยู่แวบหนึ่งอย่างอดไม่ได้

เย่เทียนแสยะยิ้มเย็นที่มุมปาก ขี้เกียจจะเถียงกับเจ้านี่

“หวั่นชิง เรียกยามมาสักสี่ห้าคนแล้วไล่เจ้าคนที่ยุแหย่ผู้คนออกไปซะ!”

กู้กวนชีก็รู้ว่าสถานการณ์ฉุกเฉิน จึงโบกมือด้วยสีหน้าเคร่งขรึม สั่งให้ยามสี่ห้าคนเดินเข้ามา

ทีแรกฉีหลินชิ่งยังอยากจะต่อสู้ แต่เขาใช่คู่มือของยามซะที่ไหน เพียงครู่เดียวก็โดนยามสี่ห้าคนหามขึ้นมา

“พวก พวกนายจะทำอะไร ฉันมีบัตรนักข่าวนะ พวกนายจะบังคับให้ฉันไปไม่ได้”

“ทุกคนดูให้ดีนะ บริษัทแซ่เฉินกลัวความแตกชัดๆ”

“พวกนายยังไม่รีบปล่อยฉันลงอีก เชื่อมั้ยว่าเดี๋ยวฉันกลับไปจะเปิดเผยเรื่องนี้ในวงกว้าง ถึงตอนนั้นฉันล่ะอยากจะเห็นว่าบริษัทแซ่เฉินของพวกนายจะมีจุดจบยังไง”

เขาดิ้นรนอย่างไม่ยอม แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเหล่ายามที่มากพละกำลังทุกอย่างก็สูญเปล่า เขาทำได้เพียงตะโกนอย่างทำอะไรไม่ได้

กู้กวนชีได้ยินดังนั้นก็อดโมโหไม่ได้

ถ้าบริษัทแซ่เฉินเกิดปัญหาอะไรขึ้นจริงๆเธอต้องเสียงานนี้ไปเป็นแน่ เจ้านี่คิดจะทำลายอู่ข้าวอู่น้ำของเธอ ใครจะทนไหว!

“เจ้าคนแซ่ฉี! นายคิดว่าพวกเราไม่กล้าทำอะไรนายจริงๆใช่มั้ย?”

“คือ…..”

สีหน้าฉีหลินชิ่งลังเลขึ้นมาทันควัน ไม่กล้าพูดอะไรอีก

แต่ฝูงชนยังคงกราดเกรี้ยวอยู่มาก เริ่มส่งเสียงประณามบริษัทแซ่เฉิน บรรดานักข่าวและสื่อต่างๆยิ่งรัวชัตเตอร์เก็บภาพสถานการณ์ตรงหน้า

ชั่วขณะนั้น สถานที่แห่งนี้ชุลมุนไปหมด ทุกอย่างโกลาหล…