ตอนที่ 477 ถูกบังคับ / ตอนที่ 478 กล่าวหาลอยๆ

ลิขิตฟ้าชะตารัก

ตอนที่ 477 ถูกบังคับ 

 

 

 

 

 

ฉู่เกอรอจนอดรนทนไม่ได้ จึงเอ่ยปากออกมาว่า “ฝ่าบาท พระองค์สั่งให้จับตัวพวกหม่อมฉันมาแต่จะไม่ตรัสอะไรสักคำเลยหรือเพคะ” 

 

 

คนที่อยู่ในที่แห่งนั้นต่างพากันตกใจ ในใจคิดว่าท่านหญิงนางนี้ช่างกล้าหาญอะไรถึงเพียงนี้ หากเป็นคนอื่น ฝ่าบาทสั่งให้ยืนทั้งวันทั้งคืนก็คงไม่กล้าปริปาก 

 

 

“เกอเอ๋อร์ อย่าเสียมารยาทต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท” ฉู่ป๋ายหันมาเอ่ยวาจาต่อว่า แม้ว่าจะดุ แต่ท่าทีและเสียงที่พูดกลับฟังดูเรียบเรื่อยสบายๆ นี่เขาตั้งใจจะดุว่าน้องสาวจริงหรือไม่? 

 

 

“อ้อ” ฉู่เกอก้มหน้าลง แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีหวาดกลัวอะไร 

 

 

มุมปากของอวี้อาเหรายังคงเบ้ออกอย่างจนใจอยู่บ้าง สองพี่น้องคู่นี้ก็ช่างเหิมเกริมไม่กลัวตาย แม้แต่ต่อหน้าฝ่าบาทก็ยังไม่มีท่าทีเกรงกลัวแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมีความกล้ามากเกินไปหรือไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตากันแน่ 

 

 

“หืม? ท่านหญิงน้อยกลับมาแล้วหรือ” ในที่สุดฮ่องเต้ก็เงยพระพักตร์ขึ้น พระขนงหนาเข้มเลิกขึ้นน้อยๆ “ทว่าเรายังไม่ได้สั่งให้เจ้ากลับมาเสียหน่อย” 

 

 

“ก็เพราะฝ่าบาทไม่ได้มีรับสั่งให้หม่อมฉันกลับมาอย่างไรเพคะ ดังนั้นหม่อมฉันจึงกลับมาเองเสียเลย” ฉู่เกอยิ้มตอบ 

 

 

“ช่างบังอาจยิ่งนัก นายน้อยสามแห่งจวนหลิงอ๋องยังอยู่ที่นั่นแท้ๆ แต่เจ้าดันกลับมาเองโดยพลการ” ฮ่องเต้หัวเราะ เพราะเสียงหัวเราะที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นเช่นนี้ทำเอาทุกคนกังวล บนใบหน้าของฮ่องเต้ รอยยิ้มของฮ่องเต้ไม่ได้หมายถึงรอยยิ้มจริงๆ แต่อารมณ์ไม่ดีก็คืออารมณ์ไม่ดีจริงๆ 

 

 

ฉู่เกอว่าขึ้นมา “เป็นฝ่าบาทโยนเขาไปที่นั่น แต่หม่อมฉันของหม่อมฉันเอง จะเหมือนกันได้อย่างไร?” 

 

 

“อย่างนั้นหรือ” ฮ่องเต้พยักหน้าแฝงไปด้วยนัยยะ จากนั้นก็ทอดสายตามอง น้ำเสียงค่อยๆ ดุดันขึ้น ค่อยๆ ดังเข้าไปในหูของกลุ่มคนที่นิ่งฟังอยู่ “แต่ค่ายทหารแห่งซานซีของเรากลายเป็นสถานที่ที่เจ้าจะไปจะมาตอนไหนก็ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” 

 

 

ฉู่เกอไม่พูดอะไรอีก เงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้อย่างไม่เชื่อสายตา เมื่อเห็นสีหน้าโกรธเคืองของเขา นางก็ชะงัก 

 

 

ในชั่ววินาทีนั้น ภายในตำหนักใหญ่ก็เงียบผิดปกติ 

 

 

เงียบรากับถูกแช่แข็ง ในตอนนั้น ฉู่ป๋ายจึงค่อยเงยหน้าขึ้นเพื่อคุยกับฮ่องเต้ “เกอเอ๋อร์ถูกเลี้ยงดูในค่ายทหารตั้งแต่เล็กจึงมีนิสัยห่ามไปบ้าง พูดเรื่องไม่สมควรพูดจนทำให้ฝ่าบาทพิโรธ ขอให้ฝ่าบาททรงอภัยให้นางด้วย” 

 

 

“ให้อภัยหรือ?” ฮ่องเต้เลิกคิ้วขึ้นแล้วมองกลุ่มคน จากนั้นจึงค่อยหันกลับมามองฉู่ป๋าย 

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ อภัยให้นาง” ฉู่ป๋ายพยักหน้า ก้มหน้าลงมองพื้น 

 

 

ฮ่องเต้มองมาทางฉู่เกอ แล้วถามขึ้นอีกว่า “เมื่อครู่นี้ได้ยินมาว่าพวกเจ้านำปลาร้อนที่เราเลี้ยงเอาไว้ไปย่างกินหรือ?” 

 

 

“เพคะ” ฉู่เกอไม่แม้แต่จะลังเล ทันใดนั้นก็ชี้ไปทางฉู่ป๋ายและอวี้อาเหรา แล้วพูดกับฮ่องเต้ด้วยความใส่ซื่อ “แต่ว่า แม้ว่าหม่อมฉันจะกิน แต่เป็นเพราะพวกเขาทั้งสองบังคับหม่อมฉัน เรื่องนี้ไม่ควรโทษหม่อมฉัน พระองค์ว่าถูกต้องหรือไม่?” 

 

 

บังคับให้นางกินหรือ? อวี้อาเหรากัดฟันกรอด แล้วเมื่อครู่นี้ใครกันเล่าที่กินเสียน่าเอร็ดอร่อย  

 

 

ฮ่องเต้ชะงัก แล้วจึงพยักหน้า “ในเมื่อเจ้าถูกบังคับ ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับเจ้า ถอยไปอีกด้านแล้วคอยดูเถิดไป” 

 

 

“…” นี่มันจะง่ายเกินไปหน่อยหรือเปล่า? ทำไมจึงปล่อยฉู่เกอไปง่ายๆ เช่นนี้? 

 

 

อวี้อาเหรารู้สึกว่าช่างไร้ซึ่งความยุติธรรมนัก ในสมองเกิดแล่นปราบขึ้นมา ทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้น “ฝ่าบาท จริงๆ แล้วหม่อมฉันก็ถูกบังคับเช่นเดียวกัน หากไม่ใช่ว่าเซิ่นซื่อจื่อบังคับหม่อมฉัน ไหนเลยหม่อมฉันจะกล้ากินปลาร้อนที่พระองค์ทรงเลี้ยงเอาไว้? แม้มีสิบหัวก็คงไม่พอ!” 

 

 

“เจ้าเองก็ถูกบังคับหรือ?” ฮ่องเต้สงสัย แต่ก็มองไม่ออกว่าเชื่อนางหรือไม่ 

 

 

“ใช่แล้ว” อวี้อาเหราพยักหน้ารับเหมือนนกแก้ว “เป็นเพราะถูกบังคับ วันนี้หม่อมฉันไม่ได้นำป้ายพระราชทานของจวนหลิงอ๋องมา ไหนเลยจะเข้าไปข้างในได้” 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 478 กล่าวหาลอยๆ 

 

 

 

 

 

“ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล แล้วเจ้าเข้าไปได้อย่างไรในเมื่อไม่มีป้ายพระราชทาน” ฝ่าบาทสงสัยขึ้นมา แล้วเอ่ยถามขึ้นอย่างไร้อารมณ์ 

 

 

“เขาให้หม่อมฉันเข้าไปด้วยเพคะ” อวี้อาเหราจ้องมองฉู่ป๋าย 

 

 

“เซิ่นซื่อจื่อน่ะหรือ” ฮ่องเต้ชะงัก 

 

 

“เพคะ!” อวี้อาเหรากะพริบตาปริบๆ อย่างผู้บริสุทธิ์ มองดูแล้วราวกับฉู่ป๋ายบังคับให้นางทำเสียทุกเรื่อง 

 

 

ฉู่ป๋ายเงยหน้าขึ้น มองไปที่นาง “ข้าไปบังคับเจ้าตอนไหนกัน? เจ้าเป็นธิดาเอกแห่งจวนหลิงอ๋อง หากต้องการเข้าไปสู่พระแท่นวายุจันทรา ใครจะห้ามเจ้าได้ อีกอย่างเจ้าบอกว่าข้าบังคับเจ้า เช่นนั้นก็เอาหลักฐานออกมาเสียสิ อย่าเอาแต่พูดกล่าวหาข้าลอยๆ เช่นนี้” 

 

 

ฝ่าบาทพยักพระพักตร์รับ “เซิ่นซื่อจื่อเองก็กล่าวได้ไม่เลว เจ้าเอาหลักฐานออกมาสิ มิเช่นนั้นก็เป็นเพียงลมปากเท่านั้น” 

 

 

อวี้อาเหราปวดหัว ในใจคิดว่าฉู่ป๋ายนั้นเป็นยอดในเรื่องวาจายิ่งนัก พูดเพียงไม่กี่คำก็ทำให้นางตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว นางจึงทำได้แต่เพียงก้มหน้าลงคิดอย่างขมขื่น จากนั้นก็คิดขึ้นมาได้ รีบเงยหน้าขึ้นมาทันที “ฝ่าบาท หม่อมฉันมีหลักฐานก็คือองครักษ์ที่เฝ้าอยู่ที่ปากประตูของพระแท่นวายุจันทรา พระองค์ทรงลองเรียกพวกเขามาสอบถามดูเถิดเพคะ ก็จะทรงทราบว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร” 

 

 

“หวังเซิ่งเต๋อ รีบไปนำตัวองครักษ์เหล่านั้นมา” ฮ่องเต้หันไปมององครักษ์หญิงที่ด้านหลัง จากนั้นก็หันไปสั่งหวังเซิ่งเต๋อ 

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ!” หวังเซิ่งเต๋อไม่กล้าชักช้า รีบไปในทันที 

 

 

อวี้อาเหราจ้องมองใบหน้านิ่งขรึมของฉู่ป๋าย ในใจของนางก็นึกกระหยิ่ม รอให้องครักษ์ผู้นั้นมาก่อนเถิด นางก็จะพ้นผิด ยังดีที่วันนี้ไม่ได้นำป้ายพระราชทานมาด้วย หากไม่ใช่ฉู่ป๋ายพานางไปด้วย แน่นอนว่านางคงไม่อาจเข้าไปสู่พระแท่นวายุจันทราได้ แน่นอนว่าตัวต้นเหตุจะต้องเป็นฉู่ป๋ายแน่ 

 

 

ในยามที่นางกำลังนึกยินดีในชัยชนะของตัวเอง จวินเสวียนจีและจวินไหวซ่งก็เดินเข้ามาในพระตำหนักใหญ่พอดี 

 

 

ฮ่องเต้มองคนทั้งสองด้วยสายตาสงสัย “พวกเจ้าเข้ามาทำไมกัน” 

 

 

“พวกเราทั้งสองและน้องไหวโหรวบังเอิญไปเที่ยวเล่นที่พระแท่นวายุจันทราตอนที่เกิดเรื่องพอดี ได้พบกับพวกของเซิ่นซื่อจื่อ ได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้น ดังนั้นจึงตั้งใจมาดูเพคะ” จวินเสวียนจีตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม 

 

 

ฮ่องเต้ตกพระทัย “พวกเจ้าก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วยหรือ” 

 

 

“พบกันโดยบังเอิญเท่านั้น แต่เกิดอะไรขึ้นนั้นลูกไม่ทราบ หลังจากนั้นเมื่อจะกลับแล้วก็พบกับเซิ่นซื่อจื่ออีกครั้ง ก็ได้ยินจากองครักษ์ว่าปลาร้อนของเสด็จพ่อถูก…ถูกกินไปเสียแล้ว…” กว่าจวินเสวียนจีจะพูดประโยคนี้ขึ้นมาก็เห็นได้ชัดว่านางลังเลอยู่นาน 

 

 

“อืม เจ้าได้ยินไม่ผิด” สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ดูไม่ค่อยสู้ดีนัก จากนั้นก็หันไปทางอวี้อาเหรา “พวกเจ้ากินไปกี่ตัว” 

 

 

“เพียง…เพียงนกไม่กี่ตัว และปลาร้อนไม่กี่ตัวเท่านั้น” อวี้อาเหราตอบขึ้นอย่างอึกๆ อักๆ  

 

 

“กี่ตัวกันแน่ เจ้าอย่าทำให้เราโมโห รีบบอกมา!” เมื่อฮ่องเต้เห็นว่านางไม่กล้าพูด ในใจก็เข้าใจขึ้นมาในทันที แน่นอนว่าคงกินไปเยอะ แต่ไม่กล้าพูดออกมา 

 

 

“แค่เก้าตัว…” ในที่สุดน้ำเสียงสั่นๆ ของอวี้อาเหราค่อยๆ พูดขึ้นมาจนจบประโยค 

 

 

ฮ่องเต้พลันทรงพระกรรสะขึ้นมาทันที “เจ้า…เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเท่าไหร่นะ?” 

 

 

“เก้าตัว” อวี้อาเหราก้มหน้าลง เม้มริมฝีปาก ทำไมถึงถามนางแต่เพียงคนเดียว ถามฉู่ป๋ายหรือคนอื่นๆ ก็ได้นี่นา อย่างนี้ก็เท่ากับว่านางเป็นตัวต้นเหตุมิใช่หรืออย่างไร 

 

 

ฮ่องเต้โกรธเสียจนพูดยังติดขัด รีบหันไปออกคำสั่งกับองครักษ์หญิงที่อยู่ข้างหลัง “รีบไปที่จวนหลิงอ๋องเพื่อเชิญหลิงอ๋องมาพบเราเดี๋ยวนี้!” 

 

 

“หลิงอ๋องหรือเพคะ” องครักษ์หญิงชะงัก ที่ฮ่องเต้ให้ไปเชิญหลิงอ๋องเข่นนี้ แน่นอนว่าคงจะต้องโกรธมากเป็นแน่ 

 

 

“รีบไปเสียสิ” ฮ่องเต้พยักหน้าอย่างหนักแน่น ยามที่มองอวี้อาเหราอีกรอบ ใบหน้าก็แสดงให้เห็นถึงความเจ็บปวดใจ