ตอนที่ 346 ผ่านการสัมภาษณ์งานอย่างราบรื่น / ตอนที่ 347 จิ้นหยวนจะแต่งงานกับลูกเมื่อไหร่?

เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย

ตอนที่ 346 ผ่านการสัมภาษณ์งานอย่างราบรื่น

 

 

           แล้วตอนนี้ควรทำอย่างไรดี?

 

 

           เขาใคร่ครวญไปมาอยู่ครึ่งค่อนวันแต่ก็คิดอะไรไม่ออก รู้สึกว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่จัดการยากยิ่งกว่าการทำโครงการนับล้านของบริษัทเสียอีก

 

 

           เฉียวซือมู่เดินออกมาจากห้องน้ำ เธอเดินไปหยุดยืนข้างกายเขาแล้วเอ่ยถาม “กำลังคิดอะไรอยู่คะ?” ใบหน้าของเขาที่ชักหัวคิ้วชนกันแน่นดูเหมือนกำลังกลุ้มใจมาก

 

 

           เขาดึงสติกลับมาแล้วยิ้มน้อยๆ “ไม่มีอะไร”

 

 

           เขาจูงมือเธอ “ไป เราไปทานข้าวกันเถอะ”

 

 

           “ค่ะ” เธออิงแอบแนบชิดอยู่ข้างกายเขาพลางเอ่ยตอบอย่างว่าง่าย

 

 

           วันรุ่งขึ้น จิ้นหยวนตื่นแต่เช้า มองดูเฉียวซือมู่ที่ยังคงนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงแล้วจูบหน้าผากเธอเบาๆ จากนั้นหมุนตัวเดินออกจากห้อง

 

 

           เฉียวซือมู่ตื่นมาตอนเที่ยง เธอรับประทานอาหารเที่ยงแสนอร่อยเสร็จเรียบร้อย จากนั้นรับสายจากจิ้นหยวน เสียงทุ้มลึกเสนาะหูของเขาลอยวนอยู่ข้างหูเธอ ทำให้เธอหน้าแดงซ่านอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้

 

 

           สองหนุ่มสาวคุยโทรศัพท์กันกะหนุงกะหนิงเป็นครึ่งชั่วโมง หลังจากเขาวางสายไปแล้ว ใบหน้าเธอก็แดงเป็นลูกตำลึงเพราะมีความสุขมาก

 

 

           ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เธอยังคงต้องออกไปทำธุระอยู่ดี เพียงแต่อาจจะต้องเปลี่ยนแผนนิดหน่อย ระหว่างทางไปหาคุณแม่ จู่ๆ เธอก็ได้รับแจ้งให้เข้าไปสัมภาษณ์งานโดยไม่คาดคิดจนตกใจยกใหญ่

 

 

           นี่เป็นหนึ่งในหลายบริษัทที่เธอเพิ่งส่งใบสมัครงานไปเมื่อวานนี้ ที่นี่เป็นบริษัทนิตยสารเล็กๆ เท่านั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่บริษัทเล็กแบบนี้สามารถยืนหยัดอยู่ในภาวะการณ์ที่ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ค่อยๆ ถดถอยลงไปเรื่อยๆ เช่นนี้  

 

 

           และดูเหมือนว่าจะเป็นบริษัทที่เพิ่งเปิดใหม่ไม่นานเสียด้วย อย่างน้อยเธอก็ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน

 

 

           เธอครุ่นคิดชั่วครู่แล้วตอบกลับไปว่าเธอสามารถเข้าไปสัมภาษณ์งานในทันที

 

 

           เธอคิดว่าต้องรีบฉวยโอกาสที่จิ้นหยวนไม่อยู่ รีบจัดการเรื่องทุกอย่างให้เรียบร้อย ถ้าเขากลับมาแล้วพบว่าทุกอย่างสายเกินแก้แล้ว บางทีเขาอาจจะปล่อยเลยตามเลยและรับปากเธอก็ได้

 

 

           หลังจากได้รับคำตอบรับจากบริษัทนั้นเรียบร้อยแล้ว เธอวาดหวังทุกอย่างอย่างสวยงาม จากนั้นเรียกรถแท็กซี่เพื่อไปยังที่นัดหมาย

 

 

           รถแท็กซี่ถูกขับไปจอดลงตรงหน้าอาคารแห่งหนึ่ง เธอก้าวลงจากรถ เดินไปขึ้นลิฟท์เพื่อไปยังชั้นสิบเก้าตามที่ได้รับแจ้ง

 

 

           เธอเห็นป้าย “ซื่อเจี้ยโจวคัน” ตรงหน้าออฟฟิศแล้วเริ่มรู้สึกแปลกๆ เธอยกมือขึ้นเคาะประตู

 

 

           หญิงสวมชุดสูทเป็นคนเปิดประตูให้เธอ หลังจากเธอแจ้งจุดประสงค์ที่มาที่นี่ให้หญิงคนนั้นทราบแล้ว หญิงคนดังกล่าวจึงเชื้อเชิญเธอให้เข้าไปในออฟฟิศ

 

 

           การสัมภาษณ์งานผ่านไปอย่างราบรื่น ดูเหมือนว่าประสบการณ์การทำงานนานหลายปีจะช่วยเพิ่มคะแนนให้เธอไม่น้อย ผู้สัมภาษณ์งานรับเธออย่างไม่ลังเล แจ้งให้เธอไปทำงานในวันรุ่งขึ้นได้เลย

 

 

           กระบวนการสัมภาษณ์งานผ่านไปอย่างราบรื่นมากจนเธอชักรู้สึกแปลกๆ เธอกวาดสายตามองทั่วบริษัท และความรู้สึกแปลกๆ พุ่งถึงขีดสุด

 

 

           เธอมองหน้าคุณหวังซึ่งเป็นหญิงที่มาเปิดประตูให้เธอและยังเป็นผู้สัมภาษณ์งานเธอด้วย “ขอโทษนะคะ ทำไมทั้งบริษัทถึงมีพนักงานแค่นี้ล่ะคะ?”

 

 

           ใช่แล้ว พื้นที่ของบริษัทนี้กว้างใหญ่มาก กะด้วยสายตาแล้วน่าจะจุคนได้ประมาณห้าสิบคนขึ้นไป แต่คนที่นั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศมีไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ และสองคนในจำนวนนั้นดูเหมือนจะเป็นพนักงานทำความสะอาดอีกต่างหาก

 

 

           คุณหวังเอ่ยตอบสีหน้าเรียบเฉย “เพราะเราเพิ่งเปิดบริษัท คนก็เลยไม่พอ แต่ก็มีคนมาสัมภาษณ์เยอะมากเหมือนกัน เดี๋ยวอีกสิบนาทีก็จะมีคนมาสัมภาษณ์อีกสองคน เพราะฉะนั้น คุณเฉียวไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะคะ”

 

 

           เฉียวซือมู่พยักหน้าอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จากนั้นหมุนตัวเดินจากไป

 

 

           ขณะที่เธอกำลังยืนรอลิฟท์เพื่อลงไปชั้นล่างอยู่นั้น เธอเห็นคนที่เดินออกมาจากลิฟท์พอดี ท่าทางเหมือนจะมาสัมภาษณ์งานเหมือนเธอ เธอจึงเชื่อในสิ่งที่คุณหวังเพิ่งบอก

 

 

           หลังเดินออกมาจากอาคารแล้ว เธอดูเวลาเห็นว่ายังมีเวลาอีกเยอะ จึงตัดสินใจไปเยี่ยมคุณแม่ดีกว่า เธอขลุกอยู่ที่บ้านคุณแม่นานมาก เธอหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็งทันทีที่เห็นฝีมือการวาดภาพไม่ได้เรื่องของท่าน จนกระทั่งเวินเยวี่ยฉิงโมโหจนต้องออกปากว่าขืนยังไม่หยุดหัวเราะจะไล่เธอกลับบ้านนั่นแหละเธอถึงยอมหยุด

 

 

 

 

ตอนที่ 347 จิ้นหยวนจะแต่งงานกับลูกเมื่อไหร่?

 

 

           ในที่สุดเวินเยวี่ยฉิงก็วาดรูปเสร็จเสียที เธอเปลี่ยนเรื่องคุยทันที “มู่มู่ แม่ถามหน่อยสิ นี่ลูกคิดจะแต่งงานกับจิ้นหยวนเมื่อไหร่?”

 

 

           “แต่งงาน?” เธออุทานด้วยความงุนงงเพราะไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน “ทำไมอยู่ดีๆ คุณแม่ถึงถามแบบนี้ล่ะคะ?”

 

 

           “อยู่ดีๆ อะไรกัน นี่แม่ร้อนใจแทนลูกอยู่นะ ลูกคบกับเขานานขนาดนี้แล้ว ทำไมเขาถึงยังไม่ยอมแต่งงานกับลูกสักที”

 

 

           เวินเยวี่ยฉิงเอ่ยอย่างไม่เกรงใจ

 

 

           เธอลังเลชั่วครู่ แต่งงานอย่างนั้นเหรอ ผู้หญิงทุกคนต้องเคยจินตนาการถึงภาพตนเองในชุดเจ้าสาวแสนสวยอยู่แล้ว แต่จิ้นหยวนไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้เลย แม้กระทั่งวันที่เธอแย่งช่อดอกไม้เจ้าสาวมาได้เขาก็ไม่ได้พูดอะไรสักคำ พอถูกคุณแม่ถามแบบนี้ เธอจึงไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี

 

 

           เธอลังเลใจอยู่อย่างนั้น เวินเยวี่ยฉิงใช้นิ้วจิ้มหน้าผากเธออย่างไม่ได้ดั่งใจ “ลูกนี่นะ โง่อะไรอย่างนี้ เขาไม่พูดเราก็พูดเองเลยสิ”

 

 

           “ไม่ได้หรอกค่ะ ขายหน้าจะตาย” เธอส่ายศีรษะดิกๆ

 

 

           “นี่มันยุคไหนแล้ว ลูกมัวแต่คิดอะไรอยู่ หรือว่าลูกหัวโบราณกว่าแม่อีก?” นอกจากเวลาที่อยู่กับเฉียวจื่อจี้แล้ว เวลาอื่นๆ เวินเยวี่ยฉิงเป็นคนที่เปิดกว้างมาก “ไม่คิดบ้างหรือไงว่าตัวเองอายุเท่าไหร่แล้ว หรือว่าลูกอยากจะเสียเวลาอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ? แม่จะบอกอะไรให้นะ ท้องตอนอายุเยอะน่ะมันลำบากมากเลยนะ ลูกจะมัวแต่เสียเวลาอยู่อย่างนี้ไม่ได้แล้วนะ”

 

 

           “จริงเหรอคะ? แต่เขาไม่พูดแล้วหนูจะพูดได้ยังไงกันคะ” เรื่องนี้ทำให้เฉียวซือมู่ทำอะไรไม่ถูก

 

 

           เวินเยวี่ยฉิงกระทืบเท้าด้วยความขัดใจ “ทำไมถึงมีลูกไม่ได้เรื่องแบบนี้นะ?”

 

 

           เธอรีบถ่ายทอดประสบการณ์ของตนเองให้เฉียวซือมู่ทันที ตบท้ายด้วยการจิ้มหน้าผากเธอเบาๆ พลางเอ่ยอย่างไม่เกรงใจ “กลับไปทำตามที่สอนเลยนะ เข้าใจหรือยัง?”

 

 

           “ตอนนี้เขาไม่อยู่บ้าน แล้วคุณแม่จะให้หนูพูดกับใครล่ะคะ” เธอถูกคุณแม่ที่ทั้งใจร้อนทั้งเฉียบขาดกดดันจนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

 

 

           “ไม่อยู่บ้าน? ดีเลย ลูกจะได้ฝึกบ่อยๆ รอเขากลับมาจะได้ลงมืออย่างมั่นใจ” เวินเยวี่ยฉิงโบกมือไปมาอย่างไม่ใส่ใจนัก

 

 

           เฉียวซือมู่จนคำพูดทันที ได้แต่มองหน้าเวินเยวี่ยฉิงตาละห้อย “ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้มั้งคะ…”

 

 

           “เหนือดวงจันทรา ใจฉันโบยบิน…”

 

 

           ทันใดนั้น เสียงเพลงแสนคุ้นเคยดังลอยมาจากบนโต๊ะ เสียงเพลงนั้นดังขัดจังหวะบทสนทนาของพวกเธอพอดี

 

 

           “โทรศัพท์ของคุณแม่ค่ะ” เฉียวซือมู่ถอนหายใจโล่งอก ในที่สุดก็ไม่ต้องฟังคำเทศนาของคุณแม่แล้ว ไม่ว่าคนที่โทรศัพท์มาจะเป็นใครก็ตาม เธอรู้สึกขอบคุณเขามาก!”

 

 

           เวินเยวี่ยฉิงยื่นมือหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู เธอชะงักเล็กน้อย ไม่เพียงไม่รับสาย แต่ยังกดตัดสายทิ้งอีกต่างหาก

 

 

           “ทำไมไม่รับสายล่ะคะ ใครโทรมาเหรอคะ?” เธอเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ

 

 

           เวินเยวี่ยฉิงมองหน้าลูกสาวแวบหนึ่ง “เป็นเบอร์ที่ไม่รู้จักน่ะ คงโทรผิดล่ะมั้ง”

 

 

           “อ้อ”

 

 

           ยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดอะไรอีก จู่ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นอีกครั้ง

 

 

           เวินเยวี่ยฉิงดูหน้าจอโทรศัพท์แล้วสีหน้าแปลกๆ เธอยังคงกดตัดสายทิ้งเหมือนเดิม

 

 

           เฉียวซือมู่สังเกตเห็นสีหน้าผิดปกติของคุณแม่ อย่าบอกนะว่าคุณพ่อโทรมา

 

 

           หลังจากเวินเยวี่ยฉิงกดตัดสายเป็นครั้งที่สาม เธอจึงเอ่ยถามหยั่งเชิง “คุณพ่อโทรมาใช่ไหมคะ?”

 

 

           เวินเยวี่ยฉิงถลึงตาใส่เฉียวซือมู่ “นี่ลูกคิดไปถึงไหนแล้ว ไม่ใช่เขา แค่คนโทรผิดเท่านั้น!”

 

 

           “เหรอคะ? แต่คุณแม่ยังไม่ทันคุยกับเขาด้วยซ้ำ แล้วรู้ได้ยังไงคะว่าเขาโทรผิด?” เฉียวซือมู่อยากรู้เหลือเกินว่าใครเป็นคนโทรศัพท์หาคุณแม่กันแน่

 

 

           หลังจากเสียงโทรศัพท์มือถึงดังขึ้นเป็นครั้งที่ห้า ในที่สุดเวินเยวี่ยฉิงก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอกดรับสาย สีหน้าเธอไม่เหมือนเดิมทันทีที่เอาโทรศัพท์แนบหู จากนั้นลุกขึ้นเดินไปยังระเบียงห้อง