บทที่ 1896+1897

ลำนำบุปผาพิษ

ตอนที่ 1896 ท่านไปส่งข้ากลับบ้านได้หรือไม่? 

 

ในหมู่ฝูงชนในที่สุดก็มีคนจำโจรลักพาตัวคนนี้ได้ “เขาคือเฟิงหลางจวิน!” 

 

เฟิงหลางจวิน เป็นโจรลักพาตัวชื่อกระฉ่อนของแดนพ้นโศก เชี่ยวชาญการลักพาตัวเด็กๆ ชาวเซียนไปขาย 

 

เคยถูกแดนพ้นโศกวาดภาพเหมือนประกาศจับ เพียงแต่คนผู้นี้เจ้าเล่ห์เกินไป เปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์อยู่เสมอ ทำให้คนมองเขาไม่ออก หลบหนีการจับกุมของทางการได้นับครั้งไม่ถ้วน… 

 

มีเพียงอย่างเดียวที่เขาไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ก็คือเสียง เสียงพูดหวีดหวิวปานลมพัด ดังนั้นเขาจึงไม่เปิดปากพูดง่ายๆ ทำตัวราวกับเป็นใบ้ 

 

เห็นได้ชัดว่าเขาเสียเปรียบครั้งใหญ่ด้วยน้ำมือของเสินเนี่ยนโม่ ไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะหลบหนี ยามนี้ไม่น่าเชื่อว่าจะยอมสารภาพฐานะของตน 

 

เรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว ย่อมไม่มีผู้ใดเรียกร้องความเป็นธรรมให้ ‘เฟิงหลางจวิน’ ผู้นี้อีก สายตานับไม่ถ้วนร่อนลงบนร่างเสินเนี่ยนโม่ พากันคาดเดาฐานะและฝีมือของเขาอยู่ในใจ… 

 

เด็กน้อยคนนี้เป็นใครกันแน่ สามารถทำให้เฟิงหลางจวินจอมกลับกลอกผู้นี้ไม่กล้าแม้แต่จะหลบหนีได้? ต้องทราบก่อนว่าปกติแล้วคนผู้นี้ลื่นยิ่งกว่าปลาไหลเสียอีก! 

 

หยวนเสินจวินก็แข็งค้างไปแล้ว นางถอยหลังไปสองห้าว “เอาล่ะ เป็นเสินจวินอย่างข้าที่มองคนผู้นี้ไม่ออกเอง ทวงความยุติธรรมให้ผิดคนเสียแล้ว…เพียงแต่ เสินจวินอย่างข้าก็แค่ยืนอยู่ในมุมของผู้ผดุงความเป็นธรรม…” 

 

นางมองกู้ซีจิ่วอีกแวบหนึ่ง “ถึงแม้ข้าผู้เป็นเสินจวินจะมีความผิด แต่จ่ายค่าชดเชยให้เสี่ยวเซียนผู้นี้ก็จบแล้วนี่…หากว่าโขกศีรษะ เกรงว่านางจะไม่มีวาสนาพอน่ะสิ จะรับไม่ไหวเอา…” 

 

ปกติแล้วกู้ซีจิ่วไม่ชอบพูดมากเท่าไหร่ ดังนั้นตอนนี้ก็ไม่คิดจะพูดให้มากความเช่นกัน เพียงเลิกคิ้วขึ้นนิดๆ “พูดจากลับกลอก ก็เรียกว่าเสินจวินได้หรือ? เปิ่นจุนหาได้ประสงค์การโขกศีรษะจากคนอย่างเจ้าไม่…และเจ้าก็ไม่มีคุณสมบัติด้วย!” 

 

เมื่อพูดคำสุดท้ายออกมา เธอพลันสะบัดแขนเสื้อ ลำแสงสีรุ้งสายหนึ่งพุ่งวาบออกมา ครอบหยวนเสินจวินเอาไว้ด้านในปานสุ่มไก่… 

 

หยวนเสินจวินหวีดร้องเสียงแหลม สุ่มแสงนั้นลากนางขึ้นสู่ฟากฟ้า พุ่งตรงไปยังขอบฟ้าปานดาวหางสายหนึ่ง 

 

ฝูงชนตกตะลึง 

 

แทบทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนหน้าเปลี่ยนสีกันหมดแล้ว! 

 

นี่มิใช่วรยุทธ์ที่เสี่ยวเซียนคนหนึ่งจะสามารถสำแดงออกมาได้แน่นอน! ถึงขั้นที่ว่าบำเพ็ญถึงระดับจินเซียนแล้วก็ยังสำแดงออกมาไม่ได้… 

 

แม่นางที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้มีฐานะเช่นใดกันแน่? เหตุใดถึงมีพลังยุทธ์กล้าแกร่งถึงเพียงนี้? 

 

สายตานับไม่ถ้วนร่อนลงบนร่างกู้ซีจิ่ว กู้ซีจิ่วคร้านจะใส่ใจเรื่องนี้แล้ว เอ่ยกับหลงซือเย่อย่างเฉยเมย “ครูฝึกหลง พวกเราไปกันเถอะ” 

 

ขณะที่เธอหันหลังจากไป แขนเสื้อก็ถูกมือน้อยๆ ข้างหนึ่งยุดไว้ “พี่สาว รอก่อน” 

 

กู้ซีจิ่วก้มหน้ามองเด็กน้อยที่ยุดแขนเสื้อตนไว้ ชะงักไปแวบหนึ่ง “ฝ่าบาทเนี่ยนโม่ยังมีเรื่องใดอีกหรือ?” 

 

ที่แท้เขาก็คือเสินเนี่ยนโม่ราชโอรสของมหาเทพ! 

 

ฝูงชนตกตะลึง! ทั้งหมดคุกเข่าลงเสียงดังพรึ่บพั่บ ทำความเคารพเขา 

 

มหาเทพ จอมมาร นั่นคือสองตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปนี้ ฐานะบุตรของพวกเขาจึงสูงศักดิ์ยิ่งนักเช่นกัน! ถึงขั้นที่สูงส่งยิ่งกว่าจักรพรรดิเซียนด้วยซ้ำ… 

 

เสินเนี่ยนโม่ขมวดคิ้วนิดๆ เค้าออกมาเที่ยวเล่นแบบส่วนตัว สาเหตุที่ไม่อยากเปิดเผยฐานะก็เป็นเพราะถ้าคนเหล่านี้คุกเข่าไปคุกเข่ามาจะวุ่นวายเกินไป ผู้อื่นวุ่นวายเขาก็เที่ยวเล่นไม่สนุกแล้ว… 

 

เขามองดูกู้ซีจิ่ว จะว่าไปก็แปลก ตัวเขานอกจากท่านแม่ของตนแล้วล้วนไม่ไยดีสตรีหน้าไหนทั้งนั้น 

 

แต่สตรีที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้กลับทำให้เขารู้สึกสนิทชิดเชื้อด้วยยิ่งนัก เห็นนางถูกหมิ่นเกียรติก็คิดจะออกหน้าแทนนางอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ถึงขั้นที่ว่าพอเห็นนางยืนกับหลงซือเย่แล้วรู้สึกอึดอัดขึ้นมา…  

 

เขาอายุยังน้อย ยังไม่เข้าใจว่าอารมณ์อันแปลกประหลาดเช่นนี้ของตนที่แท้แล้วคืออะไรกันแน่ ดังนั้นเขาจึงคิดจะแยกกู้ซีจิ่วกับหลงซือเย่ที่อยู่ด้วยกันออกตามสัญชาตญาณ 

 

เมื่อเห็นกู้ซีจิ่วก้มหน้ามองตน เขาจึงกะพริบตาเอ่ยว่า “ที่แท้พี่สาวก็จำข้าได้ เช่นนี้ช่างดีเหลือเกิน! ข้าหลงทางแล้ว ท่านไปส่งข้ากลับบ้านได้หรือไม่?” 

 

————————————————————————————- 

 

ตอนที่ 1897 ผู้ใดจะปฏิเสธเด็กน้อยเช่นนี้ได้เล่า? 

 

เขากะพริบดวงตาคู่โตปริบๆ ดูน่าเอ็นดูอย่างยิ่ง และทำให้ผู้อื่นปฏิเสธเขาไม่ลง 

 

กู้ซีจิ่วนิ่งงัน 

 

เด็กน้อยที่ปราดเปรื่องถึงเพียงนี้จดจำเส้นทางไม่ได้งั้นหรือ? จะเป็นไปได้ยังไง?! 

 

ราวกับอ่านแววสงสัยในดวงตาของกู้ซีจิ่วออก เสินเนี่ยนโม่จึงกล่าวต่อว่า “ข้าเป็นโรคหลงทิศ…” ดวงหน้าน้อยพลังแดงเรื่อขึ้นมาด้วย ราวกับค่อนข้างอาย 

 

หลงซือเย่ทนไม่ได้แล้ว “กระหม่อมสามารถไปส่งฝ่าบาทกลับได้น่ะพ่ะย่ะค่ะ…” 

 

เสินเนี่ยนโม่วางท่าเคร่งขรึมเป็นการเป็นงาน “หัวหน้ากองหลง เรายังมีภาระอื่นที่ต้องไหว้วานเจ้าอยู่” มือน้อยๆ ไปที่เฟิงหลางจวินผู้นั้น “โจรลักพาตัวคนนี้เรามอบให้เจ้า” 

 

เฟิงหลางจวินแทบจะร้องไห้แล้ว “ฝ่าบาทน้อย ท่านบอกว่าจะไว้ชีวิตผู้น้อยมิใช่หรือ” 

 

เสินเนี่ยนโม่กล่าวว่า “เราก็ไว้ชีวิตเจ้าจริงๆ นี่…” ครุ่นคิดเล็กน้อย เสนอความคิด “มิเช่นนั้น เจ้าติดตามเราต่อไปเอาไหม?” 

 

เฟิงหลางจวินหน้าเปลี่ยนสีทันที แทบจะกระโจนไปอยู่ข้างกายหลงซือเย่แล้ว เอ่ยอย่างจริงใจ “หัวหน้ากองหลง โปรดจับกุมผู้น้อยไปรับโทษเถิด ผู้น้อยจะไม่หลบหนีเด็ดขาด!” 

 

หลงซือเย่ทำตัวไม่ถูกแล้ว 

 

เฟิงหลางจวินผู้นี้เป็นบุคคลที่ภพเซียนตามจับกุมมาโดยตลอด หลงซือเย่ย่อมไม่กล้าโอ้เอ้ คุมตัวเฟิงหลางจวินไป 

 

ฝูงชนเมื่อไม่มีเรื่องครื้นเครงให้ชมแล้ว ก็ต่างแยกย้ายกันไป 

 

เสินเนี่ยนโม่จับมุมชุดของกู้ซีจิ่วไว้ “พี่สาว พวกเราก็ไปกันเถอะ” 

 

กู้ซีจิ่วก้มหน้ามองเขา “เจ้าจำทางไม่ได้จริงๆ หรือ?” 

 

เสินเนี่ยนโม่พยักหน้า “จริงสิ!” 

 

ผู้ใดจะปฏิเสธเด็กน้อยเช่นนี้ได้เล่า? 

 

กู้ซีจิ่วย่อมปฏิเสธไม่ลงเช่นกัน เธอมีความรู้สึกประหลาดต่อเด็กน้อยคนนี้อยู่เสมอ… 

 

แววตาเธอวูบไหวเล็กน้อย ค้อมตัวลงอุ้มเขาทันที “ได้ ข้าจะไปส่งเจ้ากลับบ้าน” 

 

เสินเนี่ยนโม่ตัวแข็งทื่อนิดๆ อันที่จริงเขาไม่ชอบให้คนอื่นอุ้มเขาเลย จิตใต้สำนึกไม่ต้องการใกล้ชิดกับผู้อื่นเกินไป 

 

แต่ยามที่กู้ซีจิ่วอุ้มเขาขึ้นมา ในหัวใจเขามีโศกหมองประการหนึ่งเอ่อล้นขึ้นมาเล็กน้อย ราวกับว่าความรู้สึกที่ขาดหายไปอันใดกำลังพลุ่งพล่านอยู่ในใจเขา 

 

แน่นอนว่าความรู้สึกนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ตัวเขาก็ไม่กระจ่างเช่นกันว่าทำไมถึงรู้สึกเช่นนี้ 

 

ยามที่กู้ซีจิ่วอุ้มเขา หัวใจก็เต้นรัวขึ้นมาเช่นกัน เด็กน้อยที่โอบอุ้มไว้ในอ้อมแขนนุ่มนิ่มอบอุ่น บนร่างเขามีกลิ่นหอมอ่อนจางสายหนึ่ง ทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคยอย่างยิ่ง 

 

ราวกับเมื่อนานมาแล้วเคยคะนึงหากลิ่นหอมนี้อย่างยิ่ง เคยตามหาอย่างบ้าคลั่ง เพียงแต่ไม่เคยหาพบเลย… 

 

ยามนี้ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้พบ! ในใจเธอก็มีความเศร้าสร้อยอันน่าประหลาดเอ่อล้นขึ้นมาเป็นระลอกเช่นกัน 

 

แปลกจัง ทำไมเธอมีความรู้สึกแบบนี้กันนะ? 

 

หากไม่รู้มาก่อนว่าตัวเองยังบริสุทธิ์อยู่ กู้ซีจิ่วแทบนึกสงสัยแล้วว่าชาติก่อนเธอเคยเสียลูกไป ดังนั้นพอยามนี้ได้อุ้มเด็กคนหนึ่งจึงซาบซึ้งตื้นตัน… 

 

เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเธอสามารถใช้วิชาเคลื่อนย้ายพาเขากลับบ้านได้อย่างรวดเร็ว แต่จิตใต้สำนึกกลับไม่อยากให้เร็วถึงเพียงนั้น ดังนั้นเธอจึงใช้วิชาล่องเมฆา ขี่เมฆไปส่งเขา 

 

“เด็กน้อย ที่แท้เจ้าอายุกี่ขวบแล้ว?” ระหว่างทางกู้ซีจิ่วถือโอกาสพูดคุยกับเขาไปด้วย 

 

ในยุคปัจจุบันของเธอ เมื่อเห็นเด็กเล็กที่อายุน้อยแบบนี้ก็จะเรียกว่า ‘เด็กน้อย’ เสมอ ดังนั้นเธอจึงเรียกขานเสิ่นเนี่ยนโม่ไปตามสัญชาตญาณ 

 

แต่พอเอ่ยคำนี้ออกไป หัวใจเธอพลันเลื่อนลอยไปแวบหนึ่ง รู้สึกคุ้นเคยกับคำเรียกขานนี้อย่างน่าประหลาด คุ้นเคยจนปลายจมูกของเธอแสบเคือง 

 

เสินเนี่ยนโม่ก็คล้ายจะแข็งทื่อไปเล็กน้อยเช่นกัน เพียงแต่ยังคงตอบอย่างว่าง่าย “อีกสามเดือนก็จะครบหนึ่งขวบแล้ว” 

 

สวรรค์ เขายังไม่เต็มขวบ! 

 

กู้ซีจิ่วรู้สึกประหลาดใจยิ่ง “เจ้าโตไวเหลือเกิน ท่าทางเจ้าดูเหมือนอายุได้สี่ห้าขวบแล้ว” 

 

เสินเนี่ยนโม่กะพริบตา “การเติบโตของข้านับว่าเร็วหรือ?” 

 

“แน่นอน! หากว่าเป็นเด็กชาวมนุษย์ที่อยู่ในวัยเดียวกับเจ้า ยังเดินไม่ได้เลย มากสุดก็คือคลาน แต่เจ้ากลับสามารถทุบตีเสินจวินคนหนึ่งจนลงไปนอนหมอบได้แล้ว!” 

 

—————————————