บทที่ 1898-1899

ลำนำบุปผาพิษ

ตอนที่ 1898 เพราะท่านโรคจิต! 

 

เด็กคนนี้เป็นทารกมหัศจรรย์! 

 

ดวงตาของเสินเนี่ยนโม่พลันส่องประกาย “ท่านเป็นคนแรกที่ชมว่าข้าโตไว ท่านแม่ของข้ากลัดกลุ้มอยู่เสมอว่าระยะนี้ข้าไม่โตเลย ซ้ำยังเกรงว่าข้าจะไม่เติบโตด้วย…” 

 

กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “ความต้องการของท่านแม่เจ้าสูงเกินไปแล้ว! ข้าก็เคยเห็นทารกน้อยของแดนเซียนมาก่อน อายุเท่ากับเจ้า ไม่ว่าจะไปไหนก็ล้วนต้องให้มารดาอุ้มไปทั้งสิ้น…” 

 

เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้จู่ๆ ก็ชะงักไป มองหนูน้อยในอ้อมแขน ดูเหมือนเธอจะอุ้มเขาอยู่เหมือนกัน กล่าวเช่นนี้มิใช่เธอจะกลายเป็นแม่เขาไปหรอกหรือ?! 

 

ผิวพรรณของเด็กน้อยในอ้อมแขนใสกระจ่างปานผลึกแก้ว ดวงตาฉ่ำน้ำแวววาวมองดูเธอ นุ่มนิ่มน่ารัก ทำให้คนอยากจะอุทิศชีวิตจิตใจให้แก่เขา… 

 

หัวใจของกู้ซีจิ่วอ่อนยวบขึ้นมา หากว่าตนมีลูกแบบนี้สักคนคงจะดีมาก! ต้องรักถนอมไม่ยอมปล่อยแน่นอน ไม่อยากแยกจากสักวินาที 

 

จากนั้นก็สะบัดหน้าไปมา ตนในยามนี้แม้แต่คนรักก็ยังไม่มี แล้วจะเอาลูกมาจากไหน?! 

 

ดวงตาที่ราวกับผลึกนิลของเสินเนี่ยนโม่ส่องประกายแวววาว “ท่านคิดแบบนี้จริงๆ หรือ?” 

 

ดุเหมือนเด็กคนนี้จะได้รับผลกระทบมาจากพ่อแม่ไม่น้อยเลย ดังนั้นถึงได้ไม่เชื่อมั่นในตัวเองขนาดนี้… 

 

เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเป็นหนูน้อยมหัศจรรย์คนหนึ่ง! 

 

บุพการีคู่นั้นมีความต้องการในตัวลูกเกินเหตุไปแล้ว! 

 

มีข้อเรียกร้องต่อลูกๆ สูงเกินไป จะทำให้เด็กน้อยเนื้อต่ำใจในตัวเองได้ง่ายๆ ไม่เป็นผลดีต่อการเจริญเติบโตของเด็ก… 

 

ในใจกู้ซีจิ่วมีความขุ่นเคืองเล็กน้อย 

 

“เด็กน้อย เจ้ายอดเยี่ยมที่สุดแล้ว!” กู้ซีจิ่วชมเชยเขาอย่างจริงใจ “ข้าไม่เคยเห็นเด็กน้อยที่ฉลาดและยอดเยี่ยมกว่าเจ้ามาก่อนเลย” 

 

เสินเนี่ยนโม่ยิ้มแล้ว ลักยิ้มสองข้างแก้มเย้ายวนคน สองแขนพลันโอบรัดเธอไว้ จุมพิตลงบนแก้มของเธอคราหนึ่ง “ขอบคุณ!” 

 

ริมฝีปากของเขานุ่มนิ่ม ชุ่มชื้น อุ่นร้อน เหมือนเยลลี่ 

 

แฝงกลิ่นหอมพิสุทธิ์สายหนึ่งไว้จางๆ ร่างกายกู้ซีจิ่วแข็งทื่อไปครู่หนึ่ง เธอไม่ชอบใกล้ชิดกับคนอื่น แต่กลับไม่รู้สึกต่อต้านเด็กน้อยคนนี้เลยสักนิด 

 

เมื่อถูกเขาจุมพิตเช่นนี้หัวใจก็อ่อนยวบอีกครา 

 

“อันที่จริง ก็โทษท่านแม่ข้าไม่ได้หรอก…” น้ำเสียงของเสินเนี่ยนโม่สดใส “ท่านแม่ข้าบอกว่า ตอนที่ท่านพ่อของข้าอายุหนึ่งขวบก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ท่องไปทั่วสามภพ กลายเป็นมหาเทพอย่างรวดเร็วยิ่ง…ส่วนข้าใกล้จะเต็มขวบแล้วกลับยังเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งอยู่” 

 

กู้ซีจิ่วส่ายหน้า เอ่ยอยู่ในใจ ‘นั่นเป็นเพราะบิดาของเจ้าผิดมนุษย์มนา!’ 

 

บนโลกนี้มีคนผิดมนุษย์มนาผู้เดียวก็พอแล้ว หากว่าทุกคนล้วนเป็นเช่นมหาเทพ โลกนี้คงอลหม่านไปนานแล้ว! 

 

ยิ่งไปกว่านั้นคือมหาเทพเติบโตเร็วถึงเพียงนี้ เขาน่าจะไม่เคยมีวัยเด็กกระมัง? อันที่จริงช่างน่าสงสารยิ่งนัก… 

 

ในสมองพลันมีบทสนทนาผุดขึ้นมาเลือนราง 

 

‘เด็กน้อย รู้ไหมทำไมข้าถึงเรียกเจ้าว่าเด็กน้อย?’ 

 

‘เพราะท่านโรคจิต!’ 

 

‘ไม่ใช่ เป็นเพราะข้าตื่นขึ้นมาก็อยู่ในรูปลักษณ์ของผู้ใหญ่เลย ไม่เคยมีวัยเด็ก ถึงขั้นที่ไม่เคยได้รับรู้เลยว่าการถูกบิดามารดารักถนอมเป็นเช่นใด…’ 

 

‘ฮ่าๆ เช่นนั้นข้าเรียกท่านว่าเด็กน้อยบ้างดีไหม? ชดเชยความรู้สึกที่ขาดหายไปในวัยเด็กของท่าน…’ 

 

‘ได้! มา พวกเราเปลี่ยนท่ากันก่อนเถิด เด็กน้อย…’ 

 

‘หวา ท่าน…อย่านะ…’ 

 

บทสนทนานี้ปรากฏขึ้นในสมองเธออย่างกะทันหันยิ่ง ทั้งร่างของกู้ซีจิ่วล้วนแข็งทื่อไปหมด! ส่ายโงนเงนบนก้อนเมฆ 

 

“ท่านเป็นอะไรไป?” มือน้อยๆ ข้างหนึ่งของเสินเนี่ยนโม่โบกอยู่ตรงหน้าเธอ ดวงตาจับจ้องเธอ “ทำไมท่านหน้าแดงล่ะ?” 

 

“มะ…ไม่เป็นไร…พวกเรารีบไปเถอะ” กู้ซีจิ่วอุ้มเขาแล้วใช้วิชาเคลื่อนต่อเนื่องกันกันอยู่ไม่กี่หน ผ่านไปครู่หนึ่งก็มาถึงประตูหน้าของตำหนักเขา 

 

เธอวางเขาลง “เด็กดี รีบกลับบ้านเถอะ กลับมาช้าพ่อแม่ของเจ้าน่าจะร้อนใจแล้ว เอาล่ะ ข้ายังมีธุระต่อ ลาก่อน!” 

 

ไม่รอให้เสินเนี่ยนโม่ได้กล่าววาจา เธอก็ใช้วิชาเคลื่อนย้ายหายตัวไปแล้ว 

 

หัวใจของเสินเนี่ยนโม่เต็มไปด้วยความฉงน สรุปแล้วนางหน้าแดงทำไมกัน? 

 

————————————————————————————- 

 

ตอนที่ 1899 เรียกเด็กน้อยให้ฟังหน่อย 

 

ยังมีอีก ท่าทางตอนนางหน้าแดงน่ามองโดยแท้! ดูงดงามกว่าท่านแม่เสียอีก… 

 

ถึงแม้นางจะใช้อาคมปกปิดรูปโฉมเดิมของนางไว้ แต่นางน่าจะสะเพร่าเกินไป อาคมนั้นง่ายดายเป็นที่สุด สามารถตบตาได้เพียงชาวเซียนทั่วไปเท่านั้น ทว่าตบตาเขาไม่ได้… 

 

ประหลาดนัก ปกติเขาไม่สนใจเด็กสาวที่มีรูปโฉมงดงามเลย วันนี้กลับค่อนข้างผิดปกติ 

 

ยามที่นางเรียกเขาว่าเด็กน้อย เขามีความความรู้สึกที่พิเศษยิ่งนักประการหนึ่งด้วย… 

 

หรือว่าเป็นเพราะหลายวันมานี้ตนไม่ได้อยู่กับท่านแม่เลย จึงคิดถึงท่านแม่? 

 

พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นท่านพ่อของตนยืนพิงอยู่หน้าประตู มองเขาอย่างครุ่นคิดใคร่ครวญ 

 

“ท่านพ่อ!” เสินเนี่ยนโม่วิ่งเข้าไปหา ยื่นแขนสองข้างออกไปหาเสินจิ่วหลี่ “ท่านพ่อ อุ้มอุ้ม” 

 

เสินจิ่วหลี่กอดอกมองเขา “ออดอ้อนอีกแล้วหรือ?” 

 

เสินเนี่ยนโม่ลดมือลง เอาเถอะ พักนี้ท่านพ่ออุ้มเขาน้อยมาก บางครั้งก็มองเขาด้วยสายตาที่ค่อนข้างพิกล… 

 

เสินเนี่ยนโม่ละความสนใจไปเอง เขาคิดว่าท่านพ่อของตนคงจะหึงหวงเขา เพราะว่าท่านแม่ดีต่อเขาอย่างยิ่ง เป็นเหตุให้ท่านพ่อหมางเมินเขาอยู่บ่อยๆ 

 

“เนี่ยนโม่ยังเล็ก เดิมทีก็เป็นเป็นเด็กน้อยอยู่ จึงออดอ้อนเป็นธรรมดา” เสินเนี่ยนโม่กะพริบตา คล้ายจะนึกอะไรขึ้นมาได้ มองบิดาตนอย่างคาดหวังยิ่งนัก “ท่านพ่อ เรียก ‘เด็กน้อย’ ให้ฟังหน่อยสิ” 

 

เสินจิ่วหลี่เพ่งพิศเขาขึ้นๆ ลงๆ อยู่สองสามครา “เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่ได้เป็นไข้?” 

 

ชิ ก็รู้อยู่แล้วว่าเขาจะไม่เรียกเขาแบบนี้ เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเขาเป็นบุตรของพวกเขาสามีภรรยา… 

 

เสินเนี่ยนโม่วิ่งเข้าตำหนักไปดั่งควันสายหนึ่ง ไปหาท่านแม่ของเขา 

 

หนิงเสวี่ยโม่ท่านแม่ของเขากำลังเขียนอักษรอยู่ในห้อง เมื่อเห็นเขาวิ่งเข้ามาจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก “ทำไมออกไปเที่ยวเล่นคนเดียวล่ะ? ไม่พาผู้ใดติดตามไปด้วยเลย” 

 

ยื่นมือมาโอบกอดเขา “ไม่ได้ความตระหนกอันใดใช่หรือไม่? ซุกซนหรือเปล่า?” 

 

เสินเนี่ยนโม่ส่ายหน้า “ข้างนอกสนุกมาก เนี่ยนโม่เป็นเด็กดีมาก ไม่ซุกซน” เขาซุกอยู่ในอ้อมแขนของมารดา จมูกได้กลิ่นที่หอมยิ่งนักจากร่างของท่านแม่ เขาซึมซับอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าอ้อมกอดของมารดาตนกับอ้อมกอดของสตรีนางนั้นให้ความรู้สึกต่างกัน… 

 

อ้อมกอดของมารดาอบอุ่น อ้อมกอดของสตรีนางนั้นทำให้เขาใจสั่น… 

 

เขาครุ่นคิดเล็กน้อย “ท่านแม่ เนี่ยนโม่เป็นสมบัติล้ำค่าของท่านหรือไม่?” 

 

หนิงเสวี่ยโม่อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “แน่นอนสิ” ในสายตาของมารดา บุตรล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าทั้งสิ้น 

 

“เช่นนั้น…เรียกเด็กน้อยให้ฟังหน่อยได้หรือไม่?” เสินเนี่ยนโม่มองมารดาของตนด้วยสายตาคาดหวังอีกครั้ง 

 

หนิงเสวี่ยโม่นิ่งไปเล็กน้อย วันนี้เด็กคนนี้เป็นอะไร? 

 

เพียงแต่ นางก็ยังคงเรียกขานเขาคราหนึ่ง “เด็กน้อย” 

 

เสินเนี่ยนโม่สั่นสะท้าน กระโจนลงจากอ้อมกอดนาง ส่ายศีรษะ รู้สึกว่าไม่ค่อยถูกต้อง… 

 

พอเหลียวไป ได้เห็นเสินจิ่วหลี่ยืนอยู่ที่ประตู 

 

เสินเนี่ยนโม่หันหลังวิ่งออกไป 

 

“วันนี้เนี่ยนโม่ค่อนข้างแปลก ไม่ได้โดนมนตร์ดำอันใดเข้ากระมัง?” หนิงเสวี่ยโม่ไม่ค่อยวางใจ คิดจะตามออกไปดู 

 

เสินจิ่วหลี่รั้งข้อมือภรรยาเอาไว้ “ไม่ต้องห่วงเขาหรอก เด็กๆ จะแปลกไปบ้างก็ไม่เป็นไรหรอก” 

 

“ถึงอย่างไรเขาก็ยังเล็กอยู่” หนิงเสวี่ยโม่ขมวดคิ้ว 

 

“ไม่เล็กแล้ว ตอนที่ข้าอายุเท่าเขาก็เริ่มตะลุยสังหารไปทั่วสามภพแล้ว” 

 

“ท่านเป็นมหาเทพตั้งแต่กำเนิดนี่ ย่อมแตกต่างไปจากปวงชน จะว่าไปไม่กี่เดือนมานี้เนี่ยนโม่ไม่เติบโตขึ้นเท่าไหร่เลย ข้าเกรงว่าเขาจะเป็นเหมือนข้าตอนเด็กๆ ไม่เติบโตเลยอยู่หลายพันปี…” 

 

“วางใจเถอะ ไม่เป็นหรอก เขาก็มีวิถีเติบใหญ่ของเขา เมื่อถึงเวลาที่เขาสมควรเติบใหญ่ย่อมจะเติบใหญ่เอง” 

 

ตอนนี้ดึกแล้ว เสินจิ่วหลี่โอบเอวภรรยา “พวกเราก็พักผ่อนกันเถอะ” 

 

หนิงเสวี่ยโม่หน้าแดงเล็กน้อย ขณะที่กำลังเอ่ยอันใด บานปะตูพลันเกิดเสียงดึงปัง เสินเนี่ยนโม่อุ้มหมอนใบหนึ่งวิ่งเข้ามา “ท่านแม่!” 

 

————————————–