บทที่ 551 จวินฉูฉู่ผู้ไม่ตายใจ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 551 จวินฉูฉู่ผู้ไม่ตายใจ
เวยฉือไม่กล้าเข้าใกล้ จิ้งจอกขี้เหร่เป็นของจวนอ๋องเย่ นี่คือจิ้งจอกที่ปกป้องนายท่าน

เวยฉือรีบหันกลับมาเหลือบมองฉีเฟยอวิ๋นหมายความถึงว่ากำลังถามเกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้

ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองราชครูจวินจึงได้กล่าวว่า: “ราชครูคิดว่าเรื่องในวันนี้เกิดสิ่งใดขึ้น?”

การตั้งคำถามเด้วยวาทศิลป์

ราชครูจวินหันกลับมาถาม: “พระชายาเย่มีสิ่งใดสอนสั่ง?”

ฉีเฟยอวิ๋นกำลังจะอาละวาดจวินซือซือก็พุ่งเข้าประตูมาและตะโกนว่า: “ฉีเฟยอวิ๋นเจ้ากล้าที่จะสังหารคนในจวนเป่าจวิ้นของข้า ข้าจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพื่อฟ้องร้องเจ้า”

ขณะนี้ใบหน้าแก่ชราของราชครูจวินนั้นสั่นสะท้านแล้วจ้องเขม็งไปยังผู้ที่เข้ามาประตูมา ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นชัดเจนแล้ว

ราชครูจวินกล่าวอย่างเย็นชาว่า: “สารเลว กล้าวางแผนชั่วร้าย เจ้าเบื่อหน่ายกับการมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?”

ราชครูจวินกระโชกโฮกฮากทำให้จวินฉูฉู่ตกใจจนเซล้มลงไปก้าวหนึ่ง เห็นราชครูจวินก็รีบคุกเข่าลงโดยที่นางนั้นเกรงกลัวราชครูจวิน

ราชครูจวินมองไปยังจวินฉูฉู่ด้วยความโกรธ: “จวินฉูฉู่เจ้าทำเรื่องงามหน้านัก”

จวินฉูฉู่ไม่ยอม คิดว่าในเมื่อเรื่องถึงขั้นนี้แล้วหากว่าแพร่ออกไปก็ต้องขายหน้าเป็นแน่ จวนราชครูและอ๋องเย่อันสง่านั้นไม่มีผู้ใดสามารถเสียหน้านี้ได้

เช่นไรก็ตายจวินฉูฉู่คุกเข่าคำนับในทันที: “ท่านปู่ไว้ชีวิตด้วย ไว้ด้วยชีวิต ไม่ใช่ความผิดของหลาน เป็นอ๋องเย่ที่ดื่มจนเมาแล้วมายังจวนเป่าจวิ้น เขาบุกเข้าไปในลานเรือนของหลานแล้วอุ้มหลานเข้าประตูไปแล้วทำเรื่องระหว่างชายหญิงซึ่งหลานก็ไร้หนทาง หากว่าสามีกลับมาจะให้หลานมีชีวิตอยู่ได้เช่นไร?”

จวินฉูฉู่เริ่มร้องห่มร้องไห้ขึ้นมา ใบหน้าแก่ชราของราชครูจวินสั่นเทา ใบหน้าแก่ชราของเขาขายหน้าหมดแล้ว เหตุใดตระกูลจวินถึงให้กำเนิดคนเหล่านี้

พอโมโหราชครูจวินก็ขึ้นไปเตะทีหนึ่ง เตะจนจวินฉูฉู่ล้มลงบนพื้นไร้กระดูกแหลกลาญซะแล้ว

จวินฉูฉู่ทนความเจ็บปวดอันแสนหนักหน่วงแล้วลุกขึ้นจากพื้น ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปดูหนานกงเย่และนั่งลงตรวจสอบร่างกายให้หนานกงเย่ เริ่มตรวจดูอาการแล้วก็พบว่าคนนั้นไม่มีสิ่งใดผิดปกติแต่ว่ามีกลิ่นมึนเมาออกมาจากร่างกายจริง

ฉีเฟยอวิ๋นนั้นเป็นกังวลเล็กน้อย ถูกนางแตะต้องตัวหรือเปล่านะ!

ฉีเฟยอวิ๋นปล่อยผ้าม่านลงแล้วปลดกระดุมเสื้อผ้าของหนานกงเย่และเตรียมพร้อมตรวจร่างกาย หนานกงเย่จับมือที่กำลังถอดกางเกงของฉีเฟยอวิ๋นเอาไว้ทันที ฉีเฟยอวิ๋นมองไปแล้วหนานกงเย่ก็ลืมตา ใช้สายตาส่งสัญญาณให้ฉีเฟยอวิ๋นไม่ต้องกระทำแล้วมิฉะนั้นเขารับภาระหนักจะจัดการได้เช่นไร เรื่องของเขานั้นไม่สามารถจัดการได้ในเวลาอันสั้น

หนานกงเย่อยู่ในค่ายทหารมักได้ยินทหารบางคนกล่าวว่าเรื่องนั้นไม่สมดังปรารถนา ทุกครั้งยังไม่มีความสุขก็จบลงซะแล้ว ซึ่งคงจะไม่สามารถเงยหน้าขึ้นต่อหน้าภรรยาได้

ในตอนนั้นเขายังเด็กอยู่ซึ่งอายุสิบสองสิบสามปี เขาไม่เข้าใจความหมายในนั้น เมื่อถึงเวลาแต่งงานแล้วเขาถึงได้รู้เหตุผลในนั้น ที่แท้เป็นเรื่องเช่นนี้เอง

แต่เขานั้นเก่งกาจกว่าผู้คนเหล่านั้นมากนัก หากลำบากขึ้นมาก็ต้องใช้เวลามากกว่าอยู่บ้าง

ฉีเฟยอวิ๋นดึงมือของหนานกงเย่ออกแล้วจ้องเขาเขม็งแล้วก็ถอดกางเกงออก เช่นไรก็ต้องตรวจสอบ

หนานกงเย่สูดหายใจเข้าลึกๆ กำที่นอนไว้ราวกับว่าถูกทรมานเจียนตาย

ฉีเฟยอวิ๋นตรวจสอบแล้วและมั่นใจว่าไม่ได้กระทำการมิควรใดๆจึงได้ปล่อยหนานกงเย่ไป จัดระเบียบเสื้อผ้าและกางเกงของเขาให้เรียบร้อย จากนั้นเปิดผ้าม่านออกแล้วเดินจากไป หนานกงเย่ใบหน้าแดงก่ำและบังคับกดร่างกายให้ลงแล้วนอนราวกับนอนหลับเช่นนั้น

ฉีเฟยอวิ๋นเดินออกไปด้านนอก ราชครูจวินก็กำลังโมโหอยู่ในขณะนี้

“ท่านปู่ หลานก็ไม่มีหนทาง ตอนนี้หลานถูกบังคับให้กระทำเรื่องเช่นนี้จะมีหน้าพบเจอผู้คนได้เช่นไร ขอให้ท่านปู่ช่วยให้สมปรารถนาด้วย หากว่าพระชายาเย่ไม่รังเกียจเช่นนั้นหลานสามารถเป็นอนุได้ เพียงแค่สามารถรักษาชื่อเสียงของหลานเอาไว้ได้และเพื่อไม่เป็นการทำลายชื่อเสียงของจวนราชครู”

จวินฉูฉู่ร้องห่มร้องไห้ขึ้นมา ราชครูจวินโมโหโทโส: “พวกเจ้ามานี่ซิ!”

เวยฉือเงยหน้าขึ้นเหลือบมองราชครูจวินแล้วกล่าวว่า: “พวกเจ้ามานี่!”

คนสองสามคนเข้าประตูมาแล้วราชครูจวินก็กล่าวว่า: “โบยสองร้อยที”

เวยฉือมองไป ช่างโหดเหี้ยมจริงๆ!

จวินฉูฉู่เงยหน้าขึ้นมองราชครูจวินด้วยความตกใจ: “ท่านปู่?”

“อ๋องเย่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ใช่ว่าจะเป็นผู้ที่หญิงสกปรกแต่งงานแล้วอย่างเจ้าจะเพ้อฝันได้ วันนี้พระชายาเย่ตรวจสอบแล้วดีที่อ๋องเย่มิได้ชื่อเสียงเป็นมลทินเพราะเจ้า หากเป็นมลทินแล้วจะให้ม้าห้าตัวแยกร่างและตายอย่างไร้ที่ฝังศพ

โทษตายละเว้นได้แต่โทษเป็นละเว้นไม่ได้ ในเมื่อเจ้าได้กระทำผิดจารีตเช่นนี้หน้าตาข้าก็ถูกเจ้าทำให้อับอายไปด้วย ถูกเจ้าทำขายขี้หน้าหมดแล้ว ก็ดี วันนี้ข้าจะทำตามระเบียบของตระกูลเพื่อมิให้เจ้าเป็นต้นเหตุเสียหายต่อจวนราชครูของข้า ”

“ท่านปู่ ท่านทำกับหลานของท่านเช่นนี้ไม่ได้ หลานเป็นหลานแท้ๆของท่านนะ ท่านย่า ท่านย่าก็เป็นสตรีที่ท่านโปรดที่สุด?” จวินซือซือตะโกนโดนถูกกดเอาไว้อยู่นั่น

ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองราชครูจวินและยังคงไม่แน่ใจว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น แต่ในขณะนี้ชีวิตของจวินซือซือนั้นรักษาเอาไว้ยากซะแล้ว

ราชครูจวินเฉยเมยแล้วฮึ่มเสียงหนึ่ง: “ย่าของเจ้าเป็นแค่สาวใช้ติดตามตัวผู้หนึ่ง ฐานะในจวนของนางก็เพียงแค่พูดคุยกับข้าแค่สองสามคำเท่านั้น ที่มีวันนี้ได้ก็เนื่องจากว่านางมีเหตุผลและเชื่อฟังจริงถึงสามารถเอาตัวรอดมาจนถึงตอนนี้ได้

แค่หญิงผู้หนึ่งเท่านั้น ข้าให้นางเกิดนางก็เกิด ข้าให้นางตายนางก็ตาย ”

จวินซือซือตัวสั่นไปทั้งตัว นางกับฮูหยินรองมีความคล้ายกัน แม้แต่บิดายังบอกว่านางเหมือนย่าขณะเยาว์วัยยิ่งนัก ท่านปู่ก็เคยมองนางอยู่หลายคราแล้วยังบอกอีกว่านางเหมือนย่าขณะเยาว์วัยยิ่งนัก วันนี้กลับกล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมาชั่วขณะหนึ่งนั้นจวินซือซือยอมรับไม่ได้เอาซะเลย

“ท่านปู่ ท่านย่าเอ็นดูข้ายิ่งนัก ท่านย่ามักจะอุ้มข้า……”

“หุบปาก ท่านย่าเป็นคำเรียกของเจ้าหรือ? นางเป็นสาวใช้ติดตามคนหนึ่ง ปล่อยให้นางมีชีวิตอยู่ก็เมตตาต่อนางมากพอแล้ว ท่านย่าของจวนราชครูจะเป็นนางได้เช่นไร?”

จวินซือซือกล่าวสิ่งใดไม่ออกทั้งสิ้น นางจ้องไปยังราชครูจวินด้วยแววตาอันเคว้งคว้าง

ราชครูจวินบ่นอย่างเย็นชาว่า: “พวกเจ้ามองดูสิ่งใดอยู่ยังไม่ลงมืออีก?”

จวินซือซือตะโกน: “ไป รีบไปจวนราชครูแจ้งท่านพ่อข้า เร็ว รีบไปขอร้องท่านย่า รีบไปเร็วเข้า!”

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกไร้เรี่ยวแรงแทนจวินซือซือ หากว่าฮูหยินรองสามารถช่วยนางได้จริงราชครูจวินก็จะไม่ใจร้ายเช่นนี้แล้ว แต่เสียดายที่นางมองไม่ทะลุปรุโปร่ง

ตอนนั้นอวิ๋นหลัวฉายแห่งจวนกั๋วกงแต่งงานกับเว่ยหลินชวน นางกลับไม่ได้อยู่ถูกโยนเข้ามาในที่แห่งนี้ นางกลับยังไม่รู้จักอยู่อย่างพอใจและสร้างปัญหาเช่นนี้ขึ้น ราชครูจวินจะทนนางได้เช่นไรต้องให้นางตายอย่างไร้ที่ฝังอยู่แล้ว

ราชครูจวินได้ยินว่าไปหาลูกชายจวินเจิ้งหนานกับฮูหยินรองก็กล่าวว่า: “ช้าก่อน”

ผู้ที่กำลังจะโบยรีบถอยหลังไป ราชครูจวินมองไปยังจวินซือซือที่ยังไม่ยอมตายใจบนพื้นแล้วนึกถึงจวินฉูฉู่หลานสาวผู้นั้น

สตรีนั้นเดิมทีไร้ประโยชน์ คำกล่าวเหล่านี้เหตุใดถึงได้ถูกประทับตราไว้ที่จวนราชครูของเขาทั้งสิ้น

ราชครูจวินเหลือบมองยังฉีเฟยอวิ๋น หากว่าเป็นเสมือนนางตระกูลจวินจะยังมีสิ่งใดน่าห่วงกังวลอีก

ฉีเฟยอวิ๋นถูกมองอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดราชครูจวินถึงมองนางด้วยสายตาคาดหวังเช่นนั้น

ราชครูจวินมองไปยังจวินซือซือบนพื้นที่รู้สึกมีความหวังขึ้นมาเล็กน้อย จวินซือซือหายใจเหนื่อยหอบราวกับว่ามองเห็นความหวังยังไงยังงั้น

ราชครูจวินกล่าวว่า: “ในเมื่อเจ้าต้องการให้ฮูหยินรองกับพ่อของเจ้ามา ไม่งั้นเจ้าก็นำแม่บังเกิดเกล้าของเจ้าและครอบครัวมารดามาด้วยเช่นนั้นยิ่งแก้ปัญหาได้”

จวินซือซือตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ลังเลอยู่เนิ่นนานและคิดว่าควรนำแม่บังเกิดเกล้าและครอบครัวมารดามาหรือไม่

ท่านปู่เป็นอาลักษณ์ บางทียังมีโอกาส

จวินซือซือรีบกล่าวว่า: “ขอร้องท่านปู่ให้เชิญท่านตามา”

ราชครูจวินยิ้มอย่างเย็นชา: “ดูเหมือนว่าอาลักษณ์ราชสำนักฉินก็ว่างนัก พวกเจ้าไปจวนอาลักษณ์เชิญอาลักษณ์ราชสำนักฉินมา”

เวยฉือมองไปเห็นว่าอาลักษณ์ราชสำนักฉินเป็นอาลักษณ์อาวุโสของกรมพิธีการ เดิมทีในราชสำนักนั้นได้รับความไว้วางพระทัยจากฝ่าบาทและกับราชครูจวินก็ส่งเสริมกันและกันมาตลอด แต่ไม่นานมานี้เนื่องจากเรื่องเล็กน้อยก็ถูกราชครูจวินถวายฎีกาขึ้นไปจัดการ

นอกจากหัวหน้าของฝ่ายชั่วร้ายในราชสำนักได้เอนเอียงไปทางฝั่งราชครูจวิน จนเกือบจะทำให้ตำแหน่งอาลักษณ์ราชสำนักฉินสูญเสียไปซะแล้ว

ตอนนี้อาลักษณ์ราชสำนักฉินลาออกแล้ว และลูกชายของเขากลายเป็นรองเสนาบดี

คิดไม่ถึงว่าจวินซือซือจะไร้ความคิดเช่นนี้ เรื่องที่แม่ของนางถูกหย่านั้นวุ่นวายกันไปทั่วทั้งเมืองหลวง

จวินเจิ้งหนานไม่ใช่ลูกภรรยาเอก ลูกอนุสามารถดูแลจวนราชครูจวินนั้นไม่ง่ายอยู่แล้ว ไม่หวงแหนเอาไว้ให้ดีสร้างปัญหาเช่นนี้ขึ้นมา

มีคนไปเชิญอาลักษณ์ราชสำนักฉิน ราชครูจวินนั่งลงและกล่าวอย่างใจเย็นว่า: “ข้าหลวงประจำเมืองเวย เจ้านั่งลงเถอะ เล่นหมากรุกเป็นกับข้าหน่อย”

เวยฉือไม่กล้าปล่อยปละละเลยอยู่แล้วจึงรีบไปเล่นหมากรุกด้วย