ตอนที่ 41-1 ไปใช้ชีวิตที่ชนบท

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

ปฏิกิริยาตอบสนองของหวงฝู่อวี้เซวียนรวดเร็วมาก เพียงพริบตาก็เข้าไปประคองพระชายาฉีก่อนที่นางจะล้มลงไปกับพื้น

 

 

สาวใช้คนสนิทที่ตามมาด้วยกันกับขบวนเกี้ยววิ่งเข้ามาดูด้วยความลนลาน เห็นว่าดวงตาทั้งสองข้างของพระชายาฉีปิดสนิทเหมือนกับคนที่เป็นลมไปก็ให้อุทานขึ้นด้วยความตกใจว่า “เหนียงเหนียง ทรงเป็นอะไรไปเพคะ”

 

 

หวงฝู่อวี้เซวียนอุ้มร่างของพระชายาฉีขึ้น เดินไปทางเกี้ยวของตนด้วยฝีเท้าที่เร่งรีบ หลังจากที่วางร่างของพระชายาฉีลงในเกี้ยวเรียบร้อยแล้ว เขาก็หันมาสั่งสาวใช้คนสนิทของพระชายาฉีพลางปลดป้ายประจำตัวของตนเองลงแล้วโยนให้นาง กล่าวว่า “เจ้ารีบเข้าวังไปเชิญหมอหลวงไปที่จวนอ๋องฉีเดี๋ยวนี้”

 

 

สาวใช้คนสนิทของพระชายาฉีรับแผ่นป้ายนั้นมาด้วยความรีบร้อน หลังจากนั้นก็หมุนตัวแล้ววิ่งไปทางวังหลวงด้วยความตื่นตระหนก

 

 

หวงฝู่อวี้เซวียนตะโกนสั่งไปทางเกี้ยว “กลับจวนอ๋องฉี”

 

 

เหล่าบุรุษที่รับหน้าที่หามเกี้ยวตกใจจนแทบสิ้นสติ รีบยกเกี้ยวขึ้นแล้วกลับไปที่จวนอ๋องฉีอย่างเร่งรีบ

 

 

หวงฝู่อวี้เซวียนไม่ได้ขึ้นม้า เขาเดินตามหลังขบวนเกี้ยวไปติดๆ ด้วยสีหน้าร้อนใจ

 

 

สาวใช้คนสนิทหลังจากที่ได้ป้ายประจำตำแหน่งไปจากหวงฝู่อวี้เซวียน ก็รีบเข้าวังแล้วตรงดิ่งไปหาหมอหลวงที่รับหน้าที่ดูแลสุขภาพคนในจวนอ๋องฉีทันที หลังจากนางหาเขาพบ ก็รีบบอกเขาถึงเรื่องที่พระชายาฉีเป็นลมไปรวมถึงคำสั่งของหวงฝู่อวี้เซวียนที่บอกให้เขาไปที่จวนอ๋องฉีเดี๋ยวนี้

 

 

หมอหลวงไม่กล้ารอช้า รีบออกจากวังไปพร้อมกับสาวใช้คนสนิทนางนั้น บนหลังยังไม่ลืมหอบกล่องยาขนาดใหญ่ไปด้วย

 

 

ข่าวเรื่องการเป็นลมไปของพระชายาฉีดังไปถึงหูคนในวังไทเฮาอย่างรวดเร็ว กูกูซึ่งรับหน้าที่ดูแลวังไทเฮาหลังจากได้ฟังข่าวแล้วก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าห้องบรรทมของไทเฮาไป กระซิบบอกกับไทเฮาที่กำลังนอนเอนพระวรกายพักผ่อนอยู่ว่า “ไทเฮาเพคะ เมื่อครู่หม่อมฉันเพิ่งได้รับข่าวมาว่าพระชายาฉีหลังจากที่ออกนอกวังไปแล้วก็เป็นลมไปทันทีเพคะ”

 

 

ทันใดนั้นเองพระเนตรของไทเฮาก็เบิกกว้าง นางรีบร้อนตะโกนสั่งออกไปด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลว่า “เร็วเข้า รีบเชิญหมอหลวงให้ไปดูอาการเร็ว”

 

 

“ไทเฮาโปรดวางพระทัย เมื่อสักครู่คนในจวนอ๋องฉีมาตามหมอหลวงไปแล้วเพคะ” กูกูซึ่งรับหน้าที่ดูแลวังกล่าวรายงานด้วยความนอบน้อม

 

 

กระนั้นเองความกังวลพระทัยของไทเฮากลับไม่ได้ลดหย่อนลงเลย นางลุกขึ้นแล้วสั่งกูกูลงไปว่า “เจ้าเอาสมุนไพรไปส่งที่จวนอ๋องฉี รอจนกว่าอาการของพระชายาฉีคงที่แน่แล้วค่อยกลับมา”

 

 

กูกูขานรับ จากนั้นก็เดินออกไป

 

 

ไทเฮาถอนพระปัสสาสะออกยาวด้วยอารมณ์อันหนักหน่วง ตรัสกับตัวเองว่า “ขออย่าได้เกิดเรื่องใหญ่โตอันใดขึ้นเลย”

 

 

เหล่านางกำนัลรวมถึงขันทีที่รอปรนนิบัติอยู่ในห้องบรรทมไม่กล้าแม้แต่จะเปล่งเสียงครึ่งคำ

 

 

ทางฝั่งของอ๋องฉีที่กำลังรอพระชายาฉีกับหวงฝู่อวี้เซวียนกลับจวนอย่างใจจดใจจ่อ อยู่ๆ บ่าวรับใช้คนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาในลานเรือนของเขาแล้วกล่าวรายงานด้วยน้ำเสียงลนลานว่า “ท่านอ๋อง เหนียงเหนียงหลังจากที่กลับออกจากวังก็เป็นลมไปเลยขอรับ”

 

 

อ๋องลีผุดลุกขึ้นด้วยความตกใจ เดินออกไปถามต่อว่า “คนเล่า อยู่ที่ไหน”

 

 

“ตอนนี้ซื่อจื่อพากลับเรือนหลักไปแล้วขอรับ” บ่าวรับใช้คนนั้นรีบร้อนตอบ

 

 

อ๋องฉีกระวนกระวายใจมาก เร่งฝีเท้ามุ่งตรงไปยังเรือนหลักทันที บ่าวรับใช้คนนั้นเห็นแบบนี้ก็วิ่งไล่ตามหลังเขาไปไม่ห่าง

 

 

จนกระทั่งมาถึงเรือนหลัก อ๋องฉีก็เดินเข้าไปในห้องของพระชายาฉีทันทีโดยไม่รีรอ เห็นว่านางดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท สีหน้าซีดเซียวขาวราวกับกระดาษกำลังนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง ใจก็ให้จมดิ่งลง ถามหวงฝู่อวี้เซวียนออกไปด้วยเสียงทุ้มว่า “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมท่านแม่ของเจ้าถึงได้เป็นลมไปเยี่ยงนี้”

 

 

หวงฝู่อวี้เซวียนเองก็มีสีหน้าเป็นกังวลไม่ต่างกันนัก เขาตอบกลับไปว่า “หลังจากที่พวกเรากลับมาจากวังของเสด็จย่า ตอนนั้นท่านแม่ยังสบายดีอยู่เลย แต่พอออกจากวังเท่านั้น จู่ๆ กลับเป็นลมหมดสติไป”

 

 

“รีบไปเรียกหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้” เสียงสั่งการที่เต็มไปด้วยความกังวลของท่านอ๋องฉีหันไปสั่งกับสาวใช้นางหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ๆ

 

 

“ลูกส่งคนให้ไปเชิญมาแล้วขอรับ น่าจะมาถึงในเร็วๆ นี้” หวงฝู่อวี้เซวียนตอบเขา

 

 

อ๋องฉีหันกลับมามองพระชายาฉีบนเตียงอีกครั้ง สีหน้ากังวลเด่นชัด

 

 

พระชายารองที่เพิ่งพ้นโทษจากการถูกกักบริเวณเองก็ได้ยินเรื่องนี้แล้วเหมือนกัน นางเดินเข้ามาในห้องอย่างระมัดระวัง และทันทีที่เท้าก้าวเข้ามาในห้องได้เพียงหนึ่งก้าว ก็แสร้งตีสีหน้าเป็นกังวล ถามอ๋องฉีออกไปว่า “พี่สาวไม่เป็นอะไรใช่ไหมเจ้าคะ”

 

 

อ๋องฉีตอนนี้กำลังเป็นกังวลมาก ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอีกฝ่ายเลย ไม่ได้ตอบนางกลับไป

 

 

พระชายารองเองก็หาได้สนใจไม่ เดินตรงไปที่เตียง เห็นว่าพระชายาฉีบัดนี้ดูราวกับจะจากไปได้ทุกเมื่อ ในใจก็แอบลิงโลดดีใจ แต่สีหน้ายังคงแสร้งทำเป็นกังวลได้อย่างดีเยี่ยมไม่มีหลุด “เหตุใดพี่สาวถึงได้กลายเป็นสภาพเช่นนี้ ยังไม่รีบไปเรียกหมอหลวงมาอีก”

 

 

อ๋องฉีตะคอกใส่นาง “หมอหลวงใกล้มาถึงแล้ว เจ้าอย่าได้มาเอะอะเสียงดังแถวนี้ เปิ่นหวางได้ยินแล้วรำคาญ”

 

 

หากเป็นแต่ก่อนถูกท่านอ๋องตวาดใส่เช่นนี้พระชายารองคงไม่เก็บมาใส่ใจแต่อย่างใด ทำเป็นมองข้ามไปไม่คิดมาก แต่ว่าหลังจากที่ถูกกักบริเวณมาได้พักหนึ่ง อำนาจในมือทั้งหมดก็ถูกเปลี่ยนถ่ายไปยังมือของคนอื่น ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของนางอีก ดังนั้นแล้วจึงไม่อาจไม่สนใจได้ ยิ่งไม่กล้าทำตัวเหมือนกับเมื่อก่อน ทันทีที่สิ้นคำของท่านอ๋อง นางก็แอบเม้มริมฝีปากลงแน่นแล้วถอยไปยืนอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าเป็นกังวล

 

 

ไม่นานนักหมอหลวงที่หอบหิ้วกล่องยาใบใหญ่ไว้บนหลังก็รีบกุลีกุจอวิ่งเข้ามาในเรือนหลักด้วยท่าทีหอบแฮ่ก ด้านหลังของเขาสาวใช้คนสนิทของพระชายาที่ถูกสั่งให้ไปตามหมอหลวงมาวิ่งเข้ามาด้วยสภาพไม่ต่างกัน

 

 

“เร็วเข้า รีบดูอาการของพระชายาเร็ว นางเป็นอะไรไป” เห็นว่าหมอหลวงมาถึงแล้ว อ๋องฉีก็รีบสั่งการลงไปทันที

 

 

หมอหลวงปาดเหงื่อที่ไหลโชกเต็มหน้าผากออก สูดลมหายใจเข้าลึกๆ สองสามครั้ง หลังจากที่ปรับลมหายใจของตัวเองให้สงบลงและคงที่ได้แล้ว ก็เร่งรุดเข้าไปนั่งอยู่ใกล้ๆ เตียง วางกล่องยาลงบนโต๊ะก่อนจะหยิบหมอนรองสำหรับตรวจชีพจรออกมาใบหนึ่งแล้วสอดมันไว้ใต้แขนของพระชายาฉี จากนั้นก็เริ่มลงมือจับชีพจร

 

 

อ๋องฉีกับหวงฝู่อวี้เซวียนยืนอยู่หน้าเตียง จับจ้องเขาอย่างไม่ละสายตา

 

 

พระชายารองแสยะยิ้มเย็นขึ้นมาในใจ แอบกล่าวในใจว่า ดีที่สุดก็ไม่ต้องลืมตาขึ้นมาอีกเลย แบบนี้ข้าก็จะได้ขึ้นเป็นพระชายา เป็นเจ้านายที่ชอบธรรมของจวนอ๋องฉีเสียที

 

 

น่าเสียดายที่พระเจ้าไม่รับฟังคำร้องขอของนาง หลังจากที่หมอหลวงกจับชีพจรเสร็จ เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วหันกลับมารายงานว่า “พระชายาเคร่งเครียดมานาน พอสลายความกังวลใจเหล่านั้นลงจึงได้เป็นลมหมดสติไป มิใช่เรื่องใหญ่ เพียงแต่ร่างกายของพระชายาอ่อนแอมานาน ไม่ทราบว่าวันนี้ไปทำอะไรมาร่างกายถึงได้อ่อนล้าถึงขั้นนี้ เกรงว่าในระยะเวลาสั้นๆ คงยังไม่อาจฟื้นตัวกลับมาได้ มีแต่ต้องนอนอยู่บนเตียงค่อยๆ บำรุงไปแล้ว ไม่อาจให้ขยับเขยื้อนได้มากนัก”

 

 

ในเมื่อคนไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว อ๋องฉีถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

 

ความวิตกกังวลบนใบหน้าของหวงฝู่อวี้เซวียนคลายลงไปมาก เขาถามออกไปว่า “มีวิธีการไหนหรือไม่ที่จะช่วยให้ท่านแม่ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น นางจะตื่นขึ้นมาในเร็วๆ นี้ไหม”

 

 

หมอหลวงส่ายหน้า “ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้อาการป่วยของพระราชชายาเป็นข้าน้อยที่รับหน้าที่ดูแลมาโดยตลอด วิธีการรักษามากมายล้วนใช้ออกไปจนหมดแล้ว แต่จนถึงสุดท้ายก็ยังฟื้นตัวได้เพียงเท่านี้ ไม่รู้ว่าวันนี้ทรงไปทำอะไรมา ร่างกายที่อุตส่าห์ฟื้นตัวกลับมาอย่างยากลำบากกลับไปสู่สภาพเดิมอีกครั้ง กล่าวตามตรงช่วงเวลาสั้นๆ เช่นนี้ข้าน้อยจนปัญญาจริงๆ ได้แต่สั่งยาบำรุงให้แก่พระชายาแล้ว”

 

 

หวงฝู่อวี้เซวียนพยักหน้า “ขอบคุณท่านหมอหลวงมาก รบกวนท่านแล้ว”

 

 

หมอหลวงโบกมือขึ้นด้วยความตกใจ “เป็นหน้าที่อยู่แล้ว ขอซื่อจื่ออย่าได้เกรงใจ”

 

 

อ๋องฉีสั่งให้คนไปนำกระดาษกับพู่กันมารอไว้แล้ว

 

 

หมอหลวงรับมันมา จากนั้นก็ตวัดพู่กันลงไปเขียนใบสั่งยาออกมาให้ชุดหนึ่ง

 

 

อ๋องฉีรีบสั่งสาวใช้ให้ลงไปจัดการทันที “รับใบสั่งยานี้ไป แล้วรีบไปต้มยามาให้ข้า”

 

 

เนื่องจากพระฉายาฉีป่วยอยู่แทบจะตลอดทั้งปี ดังนั้นภายในจวนจึงมีห้องยาเป็นของตัวเอง สมุนไพรหายากมากมายไม่มีตัวไหนที่จะหาไม่ได้จากที่แห่งนี้

 

 

สาวใช้รับคำ หยิบใบสัญญานั้นแล้วเดินออกไปข้างนอก

 

 

พระชายารองซึ่งมองสถานการณ์ตรงหน้ามาโดยตลอดบิดผ้าเช็ดหน้าในมือจนแทบขาด สบถด่าในใจด้วยความชิงชังว่า ยาพวกนี้ล้วนเป็นของดีทั้งสิ้น มูลค่าของตัวยาหรือสมุนไพรแต่ละชนิดนั้นก็ไม่น้อยเลย ทำไมถึงต้องเอามาให้คนที่ตายไปแล้วครึ่งหนึ่งอย่างนางด้วย สิ้นเปลืองยิ่ง! ยิ่งคิดนางก็ยิ่งรู้สึกปวดใจจนแทบกระอัก ทว่าวาจาที่สำทับสาวใช้ออกไปนั้นกลับกล่าวว่า “จำไว้ว่าให้ใช้วัตถุดิบที่ดีที่สุดแก่พระชายา”

 

 

ได้ฟังคำของนาง สีหน้าของอ๋องฉีก็เปลี่ยนเป็นน่ามองขึ้นเล็กน้อย แววตามองไปทางนางอย่างชื่นชม

 

 

พระชายารองเห็นว่าในที่สุดอ๋องฉีก็ให้ความสนใจนางเสียที ในใจจึงรู้สึกมีความสุขมาก ความไม่พอใจเต็มอกเมื่อสักครู่ไม่ได้รุนแรงถึงเพียงนั้นอีกต่อไป

 

 

สาวใช้นำสมุนไพรที่จำเป็นเข้ามาแล้ววางมันลงบนโต๊ะ

 

 

หมอหลวงตรวจดูมันอย่างละเอียดรอบหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าให้แล้วพูดว่า “ต้มแล้วรีบยกมาให้พระชายาดื่ม อีกเดี๋ยวนางก็จะฟื้นขึ้นมาเอง”

 

 

สาวใช้เก็บสมุนไพรทั้งหมดกลับไป เดินออกไปต้มยา