ตอนที่ 41-2 ไปใช้ชีวิตที่ชนบท

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เวลานี้พ่อบ้านก็เดินเข้ามารายงานว่า “เรียนท่านอ๋อง ไทเฮาให้กูกูผู้ดูแลวังนำสมุนไพรมาส่งขอรับ ทั้งยังมาสอบถามอาการของพระชายาด้วย”

 

 

“เชิญนางเข้ามา”

 

 

“ขอรับ” พ่อบ้านตอบกลับ จากนั้นก็เดินออกไปแล้วเชิญกูกูผู้ดูแลวังนางนั้นเข้ามาด้วยท่าทีเคารพ กล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า “กูกูเชิญ”

 

 

สาวใช้เลิกม่านระย้าขึ้น กูกูผู้ดูแลวังก็เดินเข้ามาด้านใน หลังจากที่เห็นอ๋องฉีกับหวงฝู่อวี้เซวียนก็นางก็คารวะให้ตามพิธีการรอบหนึ่งแล้วเดินมาหยุดอยู่ข้างเตียงมองดูสีหน้าของพระชายาฉี ฉับพลันร่องรอยแห่งความปวดใจพลันก็บังเกิดขึ้นบนใบหน้า นางถามออกไปว่า “ตอนที่ออกจากตำหนักไปยังดูดีๆ อยู่เลย ทำไมถึงได้เป็นลมไปได้”

 

 

เห็นว่ากูกูผู้ดูแลวังเดินเข้ามาแล้ว หมอหลวงก็ลุกขึ้น และพอได้ฟังคำถามของนาง จึงรีบร้อนตอบกลับไปว่า “เรียนกูกู อารมณ์ของพระชายาในวันนี้ขึ้นลงแตกต่างกันมากนัก นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเช่นนี้ ข้าได้เขียนใบสั่งยาบำรุงให้กับพระชายาเรียบร้อยแล้ว รอยาต้มเสร็จแล้วให้พระชายาดื่มลงไป นอนหลับอีกสักคืนหนึ่งก็ไม่มีปัญหาแล้ว”

 

 

เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันของไทเฮา กูกูผู้ดูแลวังก็แอบถอนหายใจอย่างปลงตก หันไปกล่าวกับท่านอ๋องฉีว่า “ท่านอ๋อง ไทเฮามีรับสั่งให้ข้านำยาสมุนไพรเหล่านี้มามอบให้แก่พระชายาเพื่อบำรุงร่างกาย”

 

 

อ๋องฉีตอบกลับ “ขอบพระทัยเสด็จแม่ที่ทรงเมตตา รอร่างกายของพระชายาฟื้นตัวได้บ้างแล้วข้าจะพานางเข้าวังเพื่อไปขอบพระทัยเสด็จแม่อีกครั้ง”

 

 

กูกูผู้ดูแลวังพยักหน้า

 

 

อ๋องฉีขึ้นเสียงสั่งให้พ่อบ้านรีบนำสมุนไพรที่ไทเฮาประทานมาให้นำไปเก็บในห้องยาโดยเร็ว

 

 

ใจที่เพิ่งสงบไปของพระชายารองตีรวนขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งเคียดแค้นทั้งไม่พอใจ ผ้าเช็ดหน้าในมือบัดนี้ถูกดึงจนแทบฉีก

 

 

กูกูผู้ดูแลวังแสร้งปรายตามองไปทางนางแวบหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ คิ้วขมวดลงเบาๆ

 

 

พระชายารองคล้ายกับจะสัมผัสได้ถึงสายตาของนางที่มองมา ฉับพลันก็คลายผ้าเช็ดหน้าในมือออกด้วยความเร่งรีบ เงยหน้าขึ้นมองนานด้วยรอยยิ้มอ่อน

 

 

กูกูผู้ดูแลวังไม่ได้สนใจนางเลยแม้แต่น้อย สายตาชักกลับไปมองพระชายาฉีที่นอนอยู่บนเตียงอีกครั้ง เมินนางอย่างสิ้นเชิง

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของพระชายารองแข็งค้างไป

 

 

ตอนนี้เองสาวใช้ที่ออกไปต้มยาก็ยกถ้วยยาที่ต้มแล้วเข้ามา

 

 

เนื่องจากว่าตอนนี้พระชายาฉียังคงหมดสติอยู่ เป็นธรรมดาที่นางจะลุกขึ้นมาดื่มยาเองไม่ได้

 

 

กูกูผู้ดูแลวังหย่อนกายลงนั่งที่ขอบเตียงเบาๆ ประคองร่างของพระชายาขึ้นพิงกับหัวเตียง ก่อนจะรับถ้วยยาจากสาวใช้มา แล้วใช้ช้อนขนาดเล็กค่อยๆ ตักยาขึ้นแล้วป้อนเข้าปากอีกฝ่ายทีละคำๆ ด้วยความอดทน หลังจากป้อนยาจนเสร็จ นางก็หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดทีปากของพระชายาฉีอย่างระมัดระวัง ค่อยๆ ประคองนางให้นอนลงบนเตียงดังเดิม

 

 

พระชายาฉียังไม่ฟื้นขึ้นมา หมอหลวงย่อมไม่กล้าจากไปในทันที กูกูผู้ดูแลวังเองก็จากไปไม่ได้เพราะได้รับคำสั่งมาเช่นนี้ ทุกคนที่อยู่ในห้องจึงรอคอยให้นางฟื้นขึ้นมาอย่างใจจดใจจ่อ ไม่กล้าแยกตัวออกไปทำธุระอย่างอื่น

 

 

บรรยากาศภายในห้องพริบตาอัดขึ้นอย่างน่าประหลาด

 

 

พระชายารองเห็นว่ากูกูผู้ดูแลวังไม่มีเจตนาที่จะจากไป ลูกตาก็ให้หมุนไปครั้งหนึ่งอย่างล่อกแลก แสร้งกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นว่า “รบกวนกูกูท่านป้อนยาพี่สาวแล้ว ท่านคงเหนื่อยมากแล้วในตอนนี้ พี่สาวเองก็ไม่รู้ว่าจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ ไม่สู้ให้ข้าพาท่านออกไปพักผ่อนที่ห้องนั่งเล่นสักครู่”

 

 

กูกูผู้ดูแลวังหรี่ตามองนาง ตอบกลับไปว่า “ไม่ต้อง ข้าอยู่ที่นี่ได้”

 

 

พระชายารองยังคงไม่ถอดใจ ชวนคุยอีกครั้ง

 

 

กูกูผู้ดูแลวังใช้สายตาไม่ร้อนไม่เย็นปรายตาไปทางนางแวบหนึ่ง

 

 

คำพูดที่กำลังจะออกมาจากปากของพระชายารองก็ถูกปิดกั้น สำลักอยู่ในลำคอ

 

 

อ๋องฉีเองก็ขมวดคิ้วแล้วด้วยเหมือนกัน

 

 

หวงฝู่อวี้เซวียนทำราวกับไม่ได้ยินบทสนทนาของพวกนาง ยืนรออยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ คอยให้พระชายาฉีตื่นขึ้นมา

 

 

ผ่านไปอีกสักพัก เปลือกตาของพระชายาฉีก็มีการขยับ

 

 

กูกูผู้ดูแลวังพ่อดูหนังอยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นว่าเปลือกตาของอีกฝ่ายขยับแล้วนางก็ดีใจมาก ถามออกไปด้วยเสียงเบาว่า “ซู่อิง เจ้าฟื้นแล้ว”

 

 

พระชายาฉีลืมตาขึ้น เมื่อเห็นคนที่อยู่ตรงหน้า นางก็ให้ชะงักไปแล้วถามออกไปด้วยความงุนงงว่า “ข้าอยู่ที่ไหน”

 

 

กูกูผู้ดูแลวังหัวเราะออกมาด้วยเสียงเบาระคนโล่งใจ พูดว่า “แน่นอนว่าต้องเป็นที่เรือนของเจ้าอยู่แล้ว”

 

 

กวาดตามองไปรอบๆ ครั้งหนึ่ง ถึงเพิ่งเห็นชัดๆ ว่านี่คือห้องของนางจริงๆ ฉับพลันดวงตาของพระชายาฉีก็กระจ่างขึ้นอีกครั้ง พยายามประคองตัวให้ลุกขึ้น

 

 

กูกูผู้ดูแลวังดันรั้งนางไว้ “ร่างกายเจ้าตอนนี้ยังอ่อนแออยู่ นอนลงเถอะ”

 

 

พระชายาฉีรู้สึกว่าร่างกายของนางเวลานี้อ่อนล้าอย่างแท้จริง จึงไม่ได้ยืนกรานต่อ นอนลงแต่โดยดี น้ำเสียงอ่อนแรงถามออกไปว่า “นี่ข้าเป็นอะไรไป”

 

 

“หมอหลวงบอกว่าอารมณ์ของเจ้าวันนี้ขึ้นลงไม่คงที่ เลยทำให้เป็นลมไป เมื่อครู่ข้าป้อนยาให้เจ้าดื่มแล้ว เจ้านอนพักต่ออีกสักสองสามวันก็ไม่มีปัญหาแล้ว” กูกูผู้ดูแลวังบอก

 

 

พระชายาฉีพยักหน้ารับรู้เบาๆ ก่อนสายตาจะกวาดมองไปยังคนที่อยู่ในห้องทั้งหมด แล้วไปตกอยู่บนร่างของท่านอ๋องฉี กล่าวไปด้วยน้ำเสียงขอโทษว่า “ซย่าเซินทำให้ท่านอ๋องต้องเป็นกังวลอีกแล้ว”

 

 

อ๋องฉีอ้าปาก คล้ายอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมาแต่ก็ไม่ได้พูด

 

 

คราวนี้สายตาของพระชายาฉีเลื่อนไปตกอยู่บนร่างหวงฝู่อวี้เซวียน พูดกับเขาไปว่า “เซวียนเอ๋อร์เจ้าคงตื่นตระหนกแย่แล้วกระมัง วางใจเถิด แม่ไม่เป็นไร”

 

 

หวงฝู่อวี้เซวียนคราง “อืม” ออกมาให้ได้ยินเบาๆ

 

 

คำพูดที่วิ่งมาถึงปากของท่านอ๋องฉีถูกกลืนลงไปอีกครั้ง

 

 

ในเมื่อพระชายาฉีฟื้นแล้ว หมอหลวงอย่างเขาก็ไม่มีธุระอะไรที่นี่อีก จึงได้เดินไปที่โต๊ะเก็บข้าวของใส่กล่องยาแล้วหันไปกล่าวลาอ๋องฉีว่า “ในเมื่อพระชายาไม่เป็นอะไรแล้ว เช่นนั้นข้าน้อยขอกลับสำนักหมอหลวงไปทำบันทึกก่อน ส่วนยาบำรุงเหล่านี้ จำไว้ว่าให้ดื่มให้ตรงเวลาทุกวันอย่าได้ขาด”

 

 

อ๋องฉีพยักหน้ารับรู้ แล้วสั่งให้พ่อบ้านส่งหมอหลวงออกไป

 

 

พระชายาหันไปกล่าวกับอ๋องฉีอีกครั้งว่า “ท่านอ๋องเพคะ ซย่าเซินมีเรื่องอยากจะพูดคุยกับกูกูเพียงลำพังสักสองสามประโยค ไม่ทราบว่าจะขอให้ท่านหลบออกไปก่อนได้หรือไม่”

 

 

ในเมื่อต้องการพูดคุยกันตามลำพัง อ๋องฉีก็ไม่ขัด พยักหน้าให้นางแล้วสั่งพระชายารองลงไปว่า “เจ้าเองก็ออกไปกับข้าด้วย”

 

 

กล่าวจบก็เดินออกไปทันที

 

 

พระชายารองหันมามองกูกูผู้ดูแลวังครั้งหนึ่ง คารวะให้นางอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนักแล้วเดินตามออกไป

 

 

หวงฝู่อวี้เซวียนเองก็กำลังคิดจะเดินออกไปด้วย แต่ก็ถูกพระชายาฉีเรียกหยุดเอาไว้ก่อน นางกล่าวออกไปว่า “วันนี้ที่ข้าสามารถรั้งพระราชเสาวนีย์ขององค์ไทเฮาไม่ให้ประกาศเรื่องงานแต่งออกมาได้ทันเวลา ต้องขอบคุณกูกูผู้ดูแลวังท่านนี้ที่ส่งจดหมายออกมาแจ้งข้าได้อย่างทันกาล เจ้ายังไม่รีบเข้ามาขอบคุณอีก”

 

 

หวงฝู่อวี้เซวียนได้ยินแล้วก็โค้งคำนับให้กับอีกฝ่ายอย่างเชื่อฟัง กล่าวว่า “ขอบคุณกูกู”

 

 

กูกูผู้ดูแลวังเบี่ยงหลบด้วยความลนลานทันที รีบร้อนพูดออกไปว่า “ซื่อจื่อทำให้บ่าวอายุสั้นแล้ว บ่าวไหนเลยจะรับการคารวะจากท่านได้”

 

 

พระชายาฉียิ้มพลางกล่าว “เราทั้งคู่เติบโตมาด้วยกัน มิตรภาพลึกซึ้งแน่นแฟ้น หากไม่ใช่ว่าเจ้าเผลอถูกปล่อยทิ้งให้อยู่ในวัง เซวียนเอ๋อร์สมควรจะเรียกเจ้าว่าอาหญิงคำหนึ่งด้วยซ้ำ ยิ่งวันนี้เจ้าช่วยเหลือข้าครั้งใหญ่ เขาคำนับเจ้านับเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว เจ้าสามารถรับการคารวะนี้ได้”

 

 

กูกูผู้ดูแลวังโบกมือรัว “เจ้าอย่าได้พูดเช่นนี้ ข้าเป็นเพียงนางกำนัลในวังผู้หนึ่งเท่านั้น ฐานะของซื่อจื่อสูงส่ง จะให้คารวะข้าไม่ได้เด็ดขาด”

 

 

พระชายาฉียังคงยิ้มและกล่าวต่อ “อยู่ในวังมานานหลายปี กลายเป็นคนคร่ำครึในกฎเกณฑ์ แบ่งแยกศักดิ์ฐานะชัดเจนไปเสียแล้ว”

 

 

กูกูผู้ดูแลวังหัวเราะแล้วกล่าว “สถานที่เช่นวังหลวงผิดพลาดเพียงนิดก็อาจจะเอาชีวิตเจ้าได้ ข้าจะกล้าไม่แบ่งแยกชัดเจนได้อย่างไร” กล่าวจบ ก็เหมือนกับไม่ต้องการจะพูดถึงเรื่องนี้ต่อจึงได้เบี่ยงประเด็นสนทนาไปว่า “วันนี้ที่อยู่ในวัง พวกเจ้าแม่ลูกทำเอาข้าตกใจจนเกือบตายแล้ว โชคยังดีที่ไทเฮาไม่ได้ดึงดันจะประกาศพระราชเสาวนีย์ลงไปให้ได้ ไม่อย่างนั้นไม่รู้ว่าเรื่องราวหลังจากนั้นจะจบลงเช่นไร”

 

 

พระชายาฉียิ้มแล้วพูดขึ้น “ไทเฮาไม่กล้ายืนกรานประกาศพระราชเสาวนีย์หรอก”

 

 

กูกูผู้ดูแลวังผงะไป ถามออกไปว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร”

 

 

พระชายาฉีมองไปทางหวงฝู่อวี้เซวียนครั้งหนึ่ง สีหน้าปลาบปลื้มใจอย่างเห็นได้ชัด “เซวียนเอ๋อร์ลูกข้าไม่ว่าจะด้านไหนก็ครบพร้อมสมบูรณ์แบบ เป็นทายาทผู้สืบทอดจวนอ๋องฉีที่ดีที่สุด หากว่าเขาสละตำแหน่งซื่อจื่อนี้ไป แล้วยกมันให้กับอวี้เอ๋อร์แทน ผ่านไปไม่กี่ปีหรอก จวนอ๋องฉีแห่งนี้จะต้องล้มลงแน่ ไทเฮาไหนเลยจะยอมปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น”

 

 

กูกูผู้ดูแลวังดวงตาประกายวาบ เข้าใจขึ้นมาในบัดดล นางหัวเราะแล้วพูดออกไปด้วยเสียงดังว่า “ดูข้า เลอะเลือนจริงๆ มัวแต่เป็นห่วงเป็นกังวลแทนพวกเจ้าแม่ลูกจนลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปเลย นั่นสินะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้อีกหน่อยไทเฮาคงไม่กล้าสอดมือเข้ามายุ่งกับงานแต่งของซื่อจื่อแล้ว”

 

 

พระชายาฉีส่ายหัว “พูดยาก แม้ว่าวันนี้ไทเฮาจะไม่ได้ยืนกรานประกาศพระราชเสาวนีย์ลงมา แต่ก็ยังไม่ได้ถอนหมั้นกับจวนราขเลขา เห็นได้ชัดว่าพระนางทรงหวังให้เซวียนเอ๋อร์เปลี่ยนใจ”

 

 

กูกูผู้ดูแลวังเงียบไป จากนั้นก็ถามออกไปว่า “แล้วแบบนี้พวกเจ้า…”

 

 

พระชายาฉีถอนหายใจออกเบาๆ แล้วกล่าวออกไปว่า “ไทเฮาทรงถอยให้ก้าวหนึ่งแล้ว พวกเราก็ไม่กล้าเดินหน้าบีบคั้นพระนางใช้แข็งต้านแข็ง คงมีแต่ต้องค่อยๆ เดินค่อยๆ วางแผนไปทีละนิดๆ อย่างไรก็ตามเซวียนเอ๋อร์ได้แสดงความตั้งใจออกไปอย่างชัดเจนแล้ว ช่วงเวลาสั้นๆ นี้พระนางไม่มีทางบังคับให้เซวียนเอ๋อร์แต่งงานเป็นแน่”

 

 

กูกูผู้ดูแลวังพยักหน้าเห็นด้วย “ทางวังหลวงข้าจะคอยสอดส่องระวังให้พวกเจ้าอีกแรง หากว่าไทเฮาทรงมีเจตนาเช่นนี้อีก จะรีบให้คนนำจดหมายมาส่งให้พวกเจ้า”

 

 

พระชายาฉีรู้สึกขอบคุณนางยิ่งนัก กล่าวขอบคุณนางไปว่า “ขอบคุณเจ้ามาก ชิงเยียน”

 

 

กูกูผู้ดูแลวังโบกมือให้ “ไม่จำเป็นต้องเกรงใจข้าขนาดนี้”

 

 

กล่าวจบนางก็ลุกขึ้นยืน “เอาล่ะ นี่ก็สายมากแล้ว ข้าออกมานานมากแล้วสมควรกลับไปเสียที ไทเฮายังทรงรอให้ข้ากลับไปรายงานเรื่องของเจ้าอยู่ เจ้าพักผ่อนเถอะ ดูแลสุขภาพให้ดี หากมีโอกาสวันหน้าข้าจะขอออกวังมาเพื่อเยี่ยมเจ้าอีก”

 

 

พระชายาฉีพยักหน้าเบาๆ สั่งหวงฝู่อวี้เซวียนไปว่า “เจ้าเดินออกไปส่งอาหญิงชิงเยียนด้วย”

 

 

“ไอ้หยา เจ้านี่…” กูกูผู้ดูแลวังรู้สึกมีความสุขจนพูดอะไรไม่ถูกแล้ว

 

 

หวงฝู่อวี้เซวียนขานรับด้วยความเคารพ หันไปเรียกกูกูผู้ดูแลวังด้วยความนอบน้อมว่า “อาหญิง เชิญ”

 

 

กูกูผู้ดูแลวังโบกมือขึ้นอย่างลนลาน “ไม่รบกวนเวลาของซื่อจื่อหรอก เจ้าไม่ต้องออกไปส่ง เดี๋ยวข้ากลับเอง เจ้าอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนท่านแม่ของเจ้าเถิด”

 

 

พระชายาฉีเห็นว่านางทำตัวไม่ถูก ดูอึดอัดมากจริงๆ จึงไม่ได้ดึงดันต่อไป ตะโกนออกไปบอกสาวใช้ที่ยืนรออยู่ข้างนอกว่า “ใครก็ได้ เดินออกไปส่งกูกูผู้ดูแลวังที”

 

 

สาวใช้คนหนึ่งเปิดประตูแล้วเดินเข้ามา หลังจากขานรับหนึ่งคำ นางก็เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้ากูกูผู้ดูแลวัง ผายมือแล้วกล่าวกลับอีกฝ่ายไปว่า “กูกู เชิญเจ้าค่ะ”

 

 

กูกูผู้ดูแลวังสำทับกับพระชายาฉีไปอีกหลายประโยค จากนั้นก็กลับวังไปรายงานเบื้องบนตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมา

 

 

พระชายาฉีตบไปที่ข้างเตียงเบาๆ เป็นสัญญาณบอกให้หวงฝู่อวี้เซวียนนั่งลง

 

 

หวงฝู่อวี้เซวียนเข้าใจความหมายที่นางต้องการจะสื่อก็ให้นั่งลงไปอย่างว่าง่าย

 

 

พระชายาฉีจ้องไปที่ดวงตาของเขา ถามออกไปอย่างคาดหวังว่า “เซวียนเอ๋อร์ หากว่าเจ้าสละตำแหน่งซื่อจื่อจริงๆ เจ้าคิดจะพาแม่ไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกับเจ้าที่ชนบทจริงๆ หรือ”

 

 

—————————-