หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า

 

 

พระชายาฉีตาแดง เสียงนั้นสำลักเล็กน้อยแล้วพูดต่อว่า “แม่คิดว่า แม่คิดว่า…”

 

 

สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนขยับเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ก่อนหน้านี้เป็นลูกที่ผิดเอง ท่านแม่ได้โปรดยกโทษให้แก่ความไม่รู้ของลูกด้วย”

 

 

ทั้งหมดเป็นความผิดของแม่เอง ตั้งแต่ที่เจ้ากลับมา ถึงแม้ว่าจะปฏิบัติต่อแม่อย่างสุภาพและอ่อนโยน แต่ก็ยังมีความห่างเหินและแปลกหน้าอยู่ แม่คิดไปว่าเจ้ายังคงโทษแม่เกี่ยวกับเรื่องในปีนั้นที่ทำเจ้าหล่นหายไป ถึงจะมีใจคิดอยากเข้าใกล้เจ้าอีกนิด แต่ก็ไม่กล้าทำเช่นนั้นจนทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราแม่ลูกยิ่งมาก็ยิ่งห่างเหินกันยิ่งขึ้น ประกอบกับแม่กับท่านพ่อของเจ้าคิดเองเออเองว่าหากแต่งคุณหนูจวนราชเลขาให้เจ้าแล้วจะมีประโยชน์ต่อเจ้าช่วยเจ้าได้มากกว่า จึงไม่เคยเก็บความรู้สึกของเจ้ามาใส่ใจเลย แถมยังยุยงให้เจ้าถอนหมั้นไปเมื่อปีนั้น วันนี้ในที่สุดแม่ก็เข้าใจแล้วว่าแม่นางเมิ่งในใจของเจ้านั้นมีน้ำหนักมากถึงเพียงไหน เจ้าวางใจเถิด นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปแม่จะยืนอยู่ข้างเจ้าเอง ไม่ว่าอุปสรรคในภายภาคหน้าจะมากมายสักเพียงใด แม่ก็จะช่วยเจ้าแต่งแม่นางเมิ่งเข้ามาเป็นชายาให้ได้”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนครางว่า “อืม” เบาๆ ออกมาหนึ่งที เผยรอยยิ้มที่จริงใจต่อพระชายาฉีออกมาเป็นครั้งแรก รอยยิ้มนี้ทำเอาพระชายาฉีสัมผัสได้ถึงแสงแดดอันอบอุ่นที่สาดส่องเข้ามาในหัวใจ ท่าทีไม่แยแสละห่างเหินบนใบหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนคลายลงไปมาก สีหน้าของเขาบัดนี้แสดงถึงความอ่อนโยนอย่างแท้จริง

 

 

พระชายาฉีดีใจเป็นล้นพ้น ความสุขตีตื้นขึ้นมาจากอก แต่แล้วเสียงไอดังค่อกแค่กก็ตามมาเพราะความตื่นเต้นที่มากเกินไป

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนตกใจมาก กระวีกระวาดลุกขึ้นไปถามนางด้วยความเป็นห่วงว่า “ท่านแม่ เป็นอย่างไรบ้าง?”

 

 

พระชายาฉีโบกมือให้ ผ่านไปสักพักกว่าที่เสียงไอนั้นจะหยุดลง นางตอบด้วยสภาพที่หอบหนักว่า “ไม่เป็นไร แม่แค่ตื่นเต้นมากเกินไปหน่อย”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนผ่อนคลายลง ความกังวลบนใบหน้าของเขาค่อยๆ จางหายไปก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้แล้วเอนหลังไปกับพนักพิง

 

 

หลังจากพักผ่อนได้อีกครู่ใหญ่ พระชายาฉีก็สงบลงมา นางขอร้องออกไปด้วยรอยยิ้มเล็กๆ ว่า “เล่าเรื่องของแม่นางเมิ่งให้แม่ฟังหน่อยสิ แม่อยากรู้ว่านางเป็นคนแบบไหน เหตุใดใจเจ้าถึงได้วางนางไว้ในตำแหน่งที่สำคัญเช่นนี้”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนใบหน้าแดงก่ำ เขาเม้มริมฝีปากลง ใช้เวลานานทีเดียวก่อนที่จะพูดออกไปว่า “ท่านแม่วันนี้เหนื่อยมากแล้ว พักผ่อนเถอะขอรับ เอาไว้วันหน้ามีเวลาแล้วข้าจะค่อยๆ เล่าเรื่องของนางให้ท่านฟัง”

 

 

พระชายาฉีแต่เดิมก็ร่างกายอ่อนแอมากอยู่แล้ว วันนี้หลังจากที่วิ่งวุ่นมาทั้งวันก็ยิ่งอ่อนเพลียมากขึ้นไปอีก จิตวิญญาณของนางในตอนนี้แทบจะไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออยู่เลย จึงได้พยักหน้าให้เขาเบาๆ แล้วพูดออกไปว่า “ได้ เช่นนั้นวันนี้แม่จะพักก่อน รอแม่อาการดีขึ้นบ้างแล้วเจ้าอย่าลืมมาเล่าให้แม่ฟังเล่า”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนรับคำ หลังจากดึงผ้านวมขึ้นห่มให้พระชายาฉีแล้วก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวเมื่อครู่ รอจนกระทั่งนางหลับไปถึงได้เดินออกไปอย่างเงียบๆ แล้วสั่งสาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านนอกให้ดูแลนางให้ดี จากนั้นก็เดินกลับเรือนของตนเองไป

 

 

ในอีกหลายวันต่อมา แม้ว่าพระชายาฉีจะดื่มยาบำรุงไปมากมายแต่อาการของนางกลับไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลย อ๋องฉีทรงเป็นกังวลยิ่งนัก เข้าวังไปลากตัวเหล่าหมอหลวงออกมาเพื่อขอให้รักษาให้กับพระชายาฉี

 

 

หมอหลวงวินิจฉัยแล้ววินิจฉัยอีก กระนั้นเองบทสรุปสุดท้ายที่ได้ออกมาก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม นั่นก็คือร่างกายของพระชายาฉีอ่อนแอจนเกินไป ประกอบกับความหวาดกลัวและความตื่นตระหนกที่ได้รับจากภายนอก เลยทำให้โรคเก่าที่เป็นอยู่กำเริบ จำเป็นต้องใช้เวลาในการพักฟื้นอีกช่วงใหญ่กว่าจะฟื้นตัวกลับมาได้

 

 

อ๋องฉีหลังจากได้ฟังคำวินิจฉัยจากหมอหลวงแล้วก็ให้พิโรธหนัก ตวาดด่าออกไปว่า “ร่างกายของพระชายาเห็นได้ชัดว่าเกือบจะหายเป็นปกติแล้ว ทำไมถึงกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก จะต้องเป็นเพราะทักษะทางการแพทย์ของพวกเจ้ามันไม่ได้เรื่อง หาสาเหตุของโรคไม่พบ หาวิธีการรักษาที่เหมาะสมไม่ได้เลยทำให้มันเป็นเช่นนี้ ข้าให้เวลาพวกเจ้าอีกสิบวัน ฟื้นฟูร่างกายของพระชายาให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมให้ได้ หากว่าสิบวันผ่านไปแล้วยังไม่มีอะไรคืบหน้า เช่นนั้นหัวของพวกเจ้าก็รอเปลี่ยนบ้านได้เลย”

 

 

ถูกสั่งแกมข่มขู่มาเช่นนี้ เหล่าหมอหลวงที่ถูกลากตัวออกมาจากสำนักหมอหลวงก็ให้ตื่นตระหนกหวาดกลัวกันไปทั่ว รีบรุดเข้าไปปรึกษากันถึงแผนการรักษาด้วยความขะมักเขม้น อย่างไรก็ตามหลังจากสนทนากันได้ครู่ใหญ่บทสรุปที่ได้ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม นอกจากสั่งยาบำรุงให้ดื่มค่อยๆ ฟื้นตัวไปทีละนิดๆ แล้ว ก็ไม่มีหนทางอื่นหลงเหลืออยู่เลย

 

 

อ๋องฉีไม่สนใจว่าพวกเขาจะใช้วิธีการไหน ทุกวันเข้าวังไปลากตัวเหล่าหมอหลวงมาที่จวนแล้วนั่งจ้องพวกเขาที่กำลังคิดแผนปรึกษากันตาเขม็ง เมื่อเห็นว่าระยะเวลาสิบวันที่กำหนดนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แต่อาการของพระชายาฉีกลับไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้นเลย หมอหลวงของแคว้นเหล่านั้นก็เริ่มรู้สึกเย็นที่ลำคอ กระดูกสันหลังเสียววาบ หลายครั้งที่พวกเขาเห็นภาพหลอนไปว่าหัวของพวกเขาไม่ได้อยู่บนคอของตนเองอีกต่อไปแล้ว

 

 

ไทเฮาหลังจากที่ได้ฟังอาการของพระชายาฉีก็ให้กูกูผู้ดูแลวังนำสมุนไพรมาส่งให้ไม่หยุด

 

 

ทางฝั่งของพระชายารองกลับมีความสุขมากขึ้นทุกวัน ขณะที่อยู่ในเรือนของตนเองถึงขั้นเปิดปากพูดออกไปตรงๆ ด้วยความยินดีว่าสวรรค์มีตา นางแพศยารวมถึงบุตรชายซื่อจื่อของนางหลายวันมานี้กำเริบเสิบสานนัก กระทั่งท่าทีสุภาพเกรงใจต่อนางเหมือนเมื่อก่อนก็ไม่คิดจะปฏิบัติอีกต่อไป วันนี้พอนางป่วยลุกขึ้นจากเตียงไม่ไหว จะต้องเป็นเพราะว่าสวรรค์ทนดูต่อไปไม่ได้แน่นอนจึงได้ลงโทษเช่นนี้ สมน้ำหน้า!

 

 

อย่างไรก็ตามพอก้าวออกจากเรือนของตนสีหน้าของนางก็ปรับเปลี่ยนเป็นดูน่าเคารพ ทุกวันจะต้องไปปรนนิบัติอยู่ข้างเตียงอีกฝ่ายช่วงเวลาหนึ่ง คอยยกชารินน้ำร้อนให้ เก็บเกี่ยวภาพพจน์และชื่อเสียงที่ดีงามให้กับตนเอง ซึ่งทัศนคติที่อ๋องฉีมีต่อนางก็ผ่อนคลายขึ้นเพราะเรื่องนี้จริงๆ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยังคงไปเรียนที่กั๋วจื่อเจียนทุกเช้า แต่ช่วงเที่ยงของวันเขาไม่ได้แวะไปที่จวนของเมิ่งเชี่ยนโยวอีก หลังจากเลิกเรียนเขาก็ตรงกลับจวนทันที ยิ่งได้เห็นว่าอาการของพระชายาฉีทรุดลงเรื่อยๆ กับตา ใจเขาก็ให้ปวดร้าวจนพูดไม่ออก

 

 

ในวันนี้หวงฝู่อี้เซวียนเพิ่งกลับจากกั๋วจื่อเจียน ทันทีที่เขาเดินเข้าประตูจวน เสียงคำรามลั่นของอ๋องฉีก็ดังส่งมาจากระยะไกล “เจ้าพวกไม่ได้เรื่อง นี่ก็ผ่านไปตั้งหลายวันแล้วแต่ร่างกายของพระชายากับไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นสักนิด ยังจะเก็บพวกเจ้าไว้ทำอะไร?”

 

 

หมอหลวงหลายคนพากันร้องขอความเมตตา “ท่านอ๋องยกโทษให้พวกข้าด้วย ร่างกายของพระชายาตอนนี้อ่อนแอมากจริงๆ ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ไม่อาจฟื้นตัวกลับมาได้จริงๆ ขอรับ”

 

 

อ๋องฉียิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก “อย่าได้มาแก้ตัวกับข้า พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายสำหรับพวกเจ้าแล้ว หากสภาพร่างกายของพระชายายังคงเป็นเหมือนวันนี้ พวกเจ้าก็บอกให้คนที่บ้านเตรียมจัดงานศพได้เลย”

 

 

เมื่อหวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามาในลานก็เห็นว่าหมอหลวงหลายคนกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น ใบหน้าแต่ละคนซีดเผื่อดด้วยความหวาดกลัว

 

 

กวาดสายตามองไปทางพวกเขาครั้งหนึ่ง หวงฝู่อี้เซวียนก็สาวเท้าเดินเข้าไปในเรือนพัก เห็นว่าพระชายาฉียังคงเป็นเหมือนกับวันก่อนๆ ดวงตาทั้งคู่ปิดแน่น สภาพเหมือนคนที่หลับลึกไป กระนั้นแล้วลมหายใจบางเบากลับทำให้คนรอบข้างรู้สึกเหมือนกับว่านางเพิ่งหลับไปอย่างไรอย่างนั้น

 

 

เม้มริมฝีปากลงไม่พูดจา เท้าเดินไปหยุดอยู่ด้านนอกประตู จากนั้นจึงหันไปพูดกับอ๋องฉีด้วยเสียงเบาว่า “ท่านพ่อ ข้ามีเรื่องบางอย่างต้องการปรึกษากับท่าน”

 

 

อ๋องฉีหงุดหงิดอย่างถึงที่สุดแล้วในตอนนี้ ทันทีที่ได้ยินคำพูดดังกล่าวจึงให้ถามกลับไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัวว่า “ว่ามา”

 

 

“เข้าไปคุยในห้องกันเถอะขอรับ” หวงฝู่อี้เซวียนบอก

 

 

อ๋องฉีเหลือบตามองเขาครั้งหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปข้างใน

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนตามหลังเขาไป โบกมือสั่งให้บ่าวรับใช้ที่อยู่ในห้องออกไปให้หมด จากนั้นก็พูดออกไปตรงๆ ทันทีว่า “ท่านพ่อ โยวเอ๋อร์มีทักษะทางการแพทย์ที่สูงนัก ข้าอยากเชิญนางมาตรวจดูอาการของท่านแม่”

 

 

อ๋องฉีขมวดคิ้ว “หมอหลวงมากมายขนาดนี้ยังจนปัญญา นางก็แค่เด็กบ้านนอกคนหนึ่ง ทักษะทางการแพทย์จะสูงส่งสักแค่ไหนเชียว สามารถรักษาอาการป่วยของท่านแม่เจ้าได้?”

 

 

“ปีนั้นตอนที่ท่านลุงไปตามหาข้าที่เมืองชิงซีแล้วถูกลอบทำร้าย คนที่ช่วยเขาไว้ ดึงชีวิตเขากลับมาจากยมโลกก็คือโยวเอ๋อร์นี่แหละ” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าว

 

 

อ๋องฉีหรี่ตาลง ถามออกไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อว่า “ที่เจ้าพูดมาเป็นความจริง? อย่าได้ลืมว่าปีนั้นนางพึ่งอายุได้แค่สิบเอ็ดสิบสองปีเท่านั้น ยังเป็นเด็กอยู่เลย”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “ตอนที่ข้าเพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวง เรื่องนี้ท่านลุงเป็นคนบอกกับข้าด้วยปากของเขาเอง ไม่ผิดแน่นอน”

 

 

อ๋องฉีครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็พูดออกไปว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ไปเชิญนางมาเถอะ หากว่านางสามารถรักษาอาการป่วยของท่านแม่เจ้าได้จริงๆ ข้าจะตบรางวัลให้นางอย่างงามแน่นอน”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกลับไม่ขยับเขยื้อน เขาพูดออกไปว่า “ลูกมีคำขออย่างหนึ่ง”

 

 

“พูด”

 

 

“ไม่ว่าโยวเอ๋อร์จะรักษาอาการป่วยของท่านแม่ได้หรือไม่ เกี่ยวกับทักษะทางการแพทย์ของนาง ท่านพ่ออย่าได้บอกใครเป็นอันขาด”

 

 

อ๋องฉีจ้องเขาเป็นเวลานาน ก่อนจะพูดออกไปว่า “พ่อรู้แล้ว เรื่องนี้จะไม่มีวันรั่วไหลออกไปเป็นอันขาด”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า ก้าวอาดๆ ออกไปสั่งองครักษ์ของจวนทันที “ไปเตรียมม้าเร็วมาให้ข้าตัวหนึ่ง”

 

 

องครักษ์นายหนึ่งขานรับ จากนั้นก็วิ่งออกไปจูงม้ามา

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเดินตรงออกไปยังด้านนอกประตู รอจนกระทั่งองครักษ์ผู้นั้นนำม้ามาแล้วเขาก็กระโดดขึ้นหลังม้า มุ่งหน้าไปยังทางใต้ของเมืองในทันที