ตอนที่ 481 การพบปะครั้งแรกในเมืองหลวง / ตอนที่ 482 เป็นจริงดังที่พูด

เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก

ตอนที่ 481 การพบปะครั้งแรกในเมืองหลวง 

 

 

ท้องฟ้ายามค่ำคืนคืบคลานเข้ามา ดวงไฟเริ่มสว่างไสว อุณหภูมิด้านนอกก็เริ่มลดลง จนเหยียนเค่อรู้สึกขี้เกียจจะออกไปข้างนอกแล้ว 

 

 

“ให้พวกเขาเข้ามาก่อนเถอะ ข้างนอกมันหนาว” ลำคอและจมูกของเหยียนเค่อทนสภาพอากาศหนาวข้างนอกไม่ได้ 

 

 

เสิ่นมั่วหลีก็รู้ว่าช่วงนี้เขาสุขภาพไม่ค่อยดี จึงโทรไปหาเสิ่นจิ้งเฉินให้เขาพาสวีอันหรานมาด้วยกัน 

 

 

สวีอันหรานที่โดนบังคับให้ออกจากบ้านรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขาและเสิ่นจิ้งเฉินมุ่งหน้าไปยังบ้านของเสิ่นมั่วหลีอย่างอิดออด 

 

 

“ช่วงนี้งานยุ่งเหรอ” เสิ่นจิ้งเฉินมองสวีอันหรานที่ขึ้นรถปุ๊บก็หลับตาพักผ่อนปั๊บ 

 

 

“อืม” ช่วงนี้สวีอันหรานงานยุ่งสุดๆ แถมเหยียนเค่อก็โดนเสิ่นมั่วหลียึดตัวไปแล้ว ตัวเขาไม่มีผู้ช่วยเลยสักคน จึงสรุปคร่าวๆ “ต้องดูเอกสารเยอะน่ะ” 

 

 

“ก็ยังมีเหยียนเค่อกับพี่ชายฉันไม่ใช่หรือไง” สาเหตุที่เสิ่นจิ้งเฉินบอกเรื่องนี้กับเสิ่นมั่วหลี ก็เพราะจะให้เขามาช่วยเหยียนเค่อกับสวีอันหรานสักหน่อย แต่ไหงถึงไม่มีผลลัพธ์เลยสักนิดล่ะ 

 

 

สวีอันหรานมองเสิ่นจิ้งเฉินอย่างหมดอาลัยตายอยาก “นายบอกว่าอย่าไปรบกวนพี่ชายนายไม่ใช่หรือไง” 

 

 

“ฉันบอกว่าพี่ชายฉันไม่ชอบเรื่องยุ่งยากก็จริง แต่เรื่องง่ายๆ ก็โยนให้เขาจัดการก็ได้นี่” เสิ่นจิ้งเฉินรู้สึกแปลกประหลด เสิ่นมั่วหลีมีความสามารถมากขนาดนั้น ไม่มีเรื่องไหนที่ทำให้เขารู้สึกว่ามันยุ่งยากได้หรอก ดังนั้นถ้าสวีอันหรานไหว้วานให้เขาช่วยก็ไม่เป็นปัญหาอะไรเลย 

 

 

“พี่ชายนายอยู่กับเหยียนเค่อ ช่วงนี้ฉันเจอพี่ชายนายแค่ตอนที่มาถึงเท่านั้นแหละ แล้วตอนเจรจาธุรกิจก็เจอเหยียนเค่อแค่ครั้งเดียวเท่านั้น” ประสบการณ์ของสวีอันหรานในช่วงหลายวันมานี้ สามารถใช้คำว่า ‘เจ็บปวด’ มาสรุปได้เลย 

 

 

ตอนนั้นเขาไม่ได้พาผู้ช่วยมาด้วยสักคน คิดว่าแค่ความสามารถของเหยียนเค่อแค่คนเดียวก็สามารถช่วยเขาจัดการปัญหาได้มากไปกว่าครึ่งแล้ว ใครจะไปรู้ว่าเขาจะต้องมาแบกรับปัญหาทุกอย่างคนเดียวแบบนี้ 

 

 

เสิ่นจิ้งเฉินหมดคำจะพูด เขาก็ไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้ ตอนแรกเขาแค่อยากให้เสิ่นมั่วหลีคอยดู 

 

 

เหยียนเค่อสักหน่อยก็เท่านั้น ใครจะไปคิดว่าจะจับเขาผูกมัดไว้กับตัวแบบนี้ 

 

 

“เดี๋ยวนายไปถึงค่อยแก้แค้นมันก็ได้” เสิ่นจิ้งเฉินปลอบใจ 

 

 

สวีอันหรานมองเขาปราดหนึ่งแล้วโบกปัด “ช่างมันเถอะ” สองคนนี้ไม่ว่าจะใครเขาก็รับมือไม่ไหวทั้งนั้น ยิ่งตอนนี้มาอยู่ด้วยกันอีก จะให้เขาไปหาเรื่องหรือไปรนหาที่ตายกันแน่นะ 

 

 

“เฮ้ยๆๆ ถึงแล้ว” เสิ่นจิ้งเฉินจอดรถที่หน้าประตูบ้านของเสิ่นมั่วหลี ก่อนจะดันไหล่สวีอันหราน “ลงรถได้แล้วๆ” 

 

 

สวีอันหรานยังไม่เคยมาบ้านของเสิ่นมั่วหลี เมื่อเห็นสภาพแวดล้อมโดยรอบบ้านแล้วก็รู้สึกโมโห 

 

 

เหยียนเค่อมากจริงๆ 

 

 

เขาพักอยู่ในห้องของโรงแรมอันหนาวเหน็บ ส่วนเหยียนเค่อพักอยู่บนคฤหาสน์ในย่านธุรกิจในแถบชานเมือง ทำไมมันถึงแตกต่างกันได้ขนาดนี้นะ 

 

 

“น่าจะมากันแล้วนะ” เสิ่นมั่วหลีได้ยินเสียงกก็วางหนังสือในมือลงแล้วพูดกับเหยียนเค่อ 

 

 

เหยียนเค่อยังคงจัดการเอกสารต่อไป ก่อนจะครางตอบเสียงต่ำ “อืม” 

 

 

เสิ่นมั่วหลีเห็นเขาไม่มีท่าทีสนใจ จึงลุกขึ้นเดินออกไปต้อนรับพวกเขาที่ด้านนอก ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นเจ้าของบ้าน ควรจะออกไปพาพวกเขาเข้ามาด้านใน 

 

 

เสิ่นจิ้งเฉินเห็นหน้าพี่ชายแล้วก็ตื่นเต้นดีใจ แหกปากตะโกนมาแต่ไกล ทำเอาหมาข้างบ้านตกใจจนส่งเสียงเห่าออกมายกใหญ่ 

 

 

“นายเบาๆ หน่อย มันมืดแล้ว” เสิ่นมั่วหลีตบไหล่เขาแล้วทักทายกับสวีอันหราน ก่อนจะพาทั้งสองคนเข้าไปในบ้าน 

 

 

เสิ่นจิ้งเฉินประหลาดใจไม่น้อยที่เห็นเหยียนเค่ออยู่ที่นี่ราวกับเป็นบ้านของตัวเอง ท่าทางทั้งสองคนจะสนิทกันไม่น้อยเลยทีเดียว แถมพี่ชายเขายังแบ่งพื้นที่บนโต๊ะให้เหยียนเค่อส่วนหนึ่งด้วย นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย 

 

 

“ไอ้รอง” เสิ่นจิ้งเฉินจิ้มไหล่ของเหยียนเค่อเป็นการทักทาย 

 

 

“อืม” เหยียนเค่อยังอยู่ในท่าเดิม ทำงานของตัวเองต่อไปอย่างขมักขะเม่น 

 

 

เสิ่นจิ้งเฉินยื่นศีรษะเข้าไปดูว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ แต่ก็ดูไม่รู้เรื่อง จึงหันไปเล่นกับสวีอันหรานแทน “พวกเราขึ้นไปพักข้างบนก่อนนะ ถ้าเขาทำงานเสร็จแล้วค่อยลงมา” 

 

 

เสิ่นมั่วหลีโบกมือให้พวกเขา “เดี๋ยวถึงเวลาอาหารแล้วจะเรียกนะ” 

 

 

เสิ่นจิ้งเฉินนึกว่าเสิ่นมั่วหลีขึ้นบ้านไปกับเขาเสียอีก แต่นึกไม่ถึงว่าเขาจะเป็นเพื่อนเหยียนเค่อที่ชั้นล่างของตัวบ้าน 

 

 

น้องชายของเขาคนนี้ไม่เป็นที่รักแล้วจริงๆ สินะ 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 482 เป็นจริงดังที่พูด 

 

 

หลังจากอันหร่านกินข้าวกับ บ.ก.เสร็จ เธอก็ไม่รู้จะชวนคุยอะไร บรรยากาศระหว่างการสนทนาจึงเต็มไปด้วยความอึดอัด เธอไม่รู้จุดประสงค์ที่เขานัดเธอออกมาพบวันนี้และก็ไม่แน่ใจว่าควรจะถามออกไปหรือไม่  

 

 

ชายหนุ่มก็ดูเหมือนจะรู้ว่าอันหร่านไม่มีสมาธิในเรื่องที่คุยกัน จึงแกล้งหยอกว่า “ทำไม มีคนรออยู่ที่บ้านเหรอ” 

 

 

“เปล่าซะหน่อย” อันหร่านตอบอย่างไม่ปิดบัง 

 

 

 “อย่างนั้นทำไมเธอดูใจลอยๆ ล่ะ” 

 

 

 อันหร่านกำผ้าเช็ดปากในมือเล่น ยิ้มเล็กน้อย “กลัวว่าคุณต่างหากที่อาจมีคนรออยู่ที่บ้าน”  

 

 

ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแต่มองออกไปที่นอกหน้าต่างเงียบๆ สักพักก็เอ่ยขึ้นว่า “วันนี้อากาศท่าจะหนาวน่าดู”  

 

 

“ใช่ค่ะ หนาวมาก” ตอนนี้จิตใจของเธอสงบลงแล้ว จึงระบายให้เขาฟังทั้งเรื่องงานและเรื่องต่างๆ ในช่วงนี้ โดยไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่คุยก่อนหน้านี้อีกเลย  

 

 

ผ่านไปสักพัก ทั้งคู่ไม่รู้จะคุยอะไรกันต่อ ต่างฝ่ายต่างเงียบ ทั้งคู่มองออกไปนอกหน้าต่างมองดูแสงไฟบนถนนที่ระยิบระยิบราวกับแสงดาว 

 

 

จู่ๆ ชายหนุ่มก็เอ่ยถามขึ้น “เธอ ยังโสดอยู่ไหม?” 

 

 

อันหร่านหันกลับมามองที่ชายหนุ่ม แต่ก็พบว่าเขาไม่ได้มองมาที่เธอ เธอพยักหน้า “อือ ยังโสดอยู่ค่ะ” 

 

 

“งั้นเธอ….” อยู่ดีๆ เขาก็รู้สึกว่าพูดไม่ออก 

 

 

“อ่า คุณมีอะไรจะพูดรึเปล่า” อันหร่านพยายามบอกกับตัวเองว่าอย่าคาดหวังอะไรทั้งนั้น 

 

 

ชายหนุ่มมองดูใบหน้าที่สงบนิ่งของเธอ ยิ่งทำให้ไม่กล้าที่จะพูดออกไป “เธอ…อยู่คนเดียวคงไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ใช่ไหม” 

 

 

“ก็ดีนะคะ ไม่มีใครมาวุ่นวาย ก็สบายดี” 

 

 

ชายหนุ่มชะงักไป ยิ่งพูดยิ่งรู้สึกไม่ตรงประเด็น แต่เขาไม่รู้จะพูดต่ออย่างไรดี 

 

 

“ที่จริงแล้วฉัน…” ชายหนุ่มหยุดพูด ไม่รู้จะสารภาพอย่างไร จึงเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นไม่รู้ว่าเอาความกล้ามาจากไหน “ฉันอยากแต่งงาน” 

 

 

อันหร่านได้ฟังคำพูดที่ตรงไปตรงมานี้ถึงกับอึ้ง เขาอยากแต่งงานแล้วเกี่ยวอะไรกับเธอ พูดไม่คิดจริงๆ นี่เขาใช่บ.ก.ที่เธอเคยรู้จักจริงๆ ใช่ไหม  

 

 

ตอนนี้เขากังวลจนแทบกระอักเลือด ยิ่งมองไปที่อันหร่านก็เดาได้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ จึงอาศัยช่วงเวลานั้นสารภาพออกไปตรงๆ  

 

 

“ฉันชอบเธอ ฉันอยากแต่งงานกับเธอ”  

 

 

อันหร่านตะลึงไปชั่วครู่ ทำแก้วน้ำในมือหก เมื่อรู้สึกตัวก็รีบเก็บขึ้นมา  

 

 

‘ซย่าเสี่ยวมั่วมีตาวิเศษรึไงนะ’ หล่อนเคยบอกว่าบ.ก.ชอบเธอ แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ด้วย อันหร่านรู้สึกว่าใจฟูฟ่องแต่ก็ต้องรักษาภาพพจน์ไว้หน่อย  

 

 

“คือว่า เธอ…” เมื่อเห็นท่าทีสงบนิ่งของอันหร่าน เขาก็เริ่มร้อนใจ 

 

 

“อือ” 

 

 

“หืม?” ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่านั่นคือเธอตอบตกลงรึเปล่า 

 

 

อันหร่านแกล้งทำเป็นถอนหายใจ “ฉันหมายความว่า ฉันก็อยากแต่งงานกับคุณ” 

 

 

ทั้งคู่ยิ้มสบตากัน ถือได้ว่าทั้งคู่แก้ปัญหาเรื่องสำคัญของชีวิตได้แล้ว 

 

 

ขณะที่ฝ่ายหนึ่งเป็นคู่รักที่สมหวังจริงดังคำกล่าวของซย่าเสี่ยวมั่ว ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ส่วนอีกฝ่าย สวีรั่วชีที่สมหวังตามคำพูดเล่นๆ ของซย่าเสี่ยวมั่ว ก็กำลังนั่งรอทานอาหารอยู่บนโซฟา 

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วกำลังต้มซุปไก่ให้สวีรั่วชี พร้อมทั้งทำอาหารที่สวีรั่วชีอยากทานอีกสองสามอย่าง ขณะที่ทำอยู่เธอก็รู้สึกว่าตนเองพลาดมากที่ตอนนั้นเลือกไปเรียนทำอาหาร 

 

 

“มีคนโทรมา” เสียงสวีรั่วชีตะโกนดังมาจากห้องรับแขก 

 

 

แต่ซย่าเสี่ยวมั่วยุ่งเกินกว่าจะเดินไป “เอามาให้หน่อย” 

 

 

สวีรั่วชีจึงเดินเอามาให้ เมื่อยัดใส่มือถือใส่มือเสร็จเธอก็เดินลิ่วกลับไปที่เดิม 

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วกดรับโทรศัพท์ เปิดลำโพงแล้ววางโทรศัพท์ไว้ที่เคาท์เตอร์ จากนั้นก็ลงมือทำอาหารต่อ