ตอนที่ 479 ย่านศูนย์กลางธุรกิจ / ตอนที่ 480 ยินดีกับสมาชิกใหม่

เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก

ตอนที่ 479 ย่านศูนย์กลางธุรกิจ

 

 

“มีเรื่องอะไรต้องไปทำหรือเปล่า”

 

 

“เปล่า” เสิ่นมั่วหลีปลดเข็มขัดนิรภัยออกแล้วเดินลงจากรถไปพลางอธิบายให้เหยียนเค่อฟัง “น้องสาวฉันน่ะ”

 

 

“พวกนายดูสนิทกันดีนะ” เหยียนเค่อยิ้ม แต่ความจริงในใจนั้นกลับอิจฉา ถ้าเขาเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เหยียนเฟิงอาจจะไม่ได้ป้องกันและทำตัวห่างเหินกับตนเหมือนในตอนนี้ก็ได้กระมัง

 

 

เสิ่นมั่วหลีรู้สถานการณ์ในครอบครัวของพวกเขาเป็นอย่างดี แล้วยิ่งเสิ่นจิ้งเฉินชอบกลับบ้านเอาเรื่องมาเล่าให้ฟังอีก แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการยกยอปอปั้นเสียมากกว่า แต่เขาก็รู้มาจากเสิ่นจิ้งเฉินนั่นแหละ ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเหยียนเค่อกับพี่ชายของเขาไม่สู้ดีนัก

 

 

“บางครั้งการได้อยู่ด้วยกันก็เป็นโชคชะตานะ ไม่ว่าจะดีหรือไม่ก็เถอะ” เสิ่นมั่วหลีเป็นคนที่ไม่มีความต้องการใดและไม่ชอบแก่งแย่ง เป็นคนที่จะไม่ทำลายผลประโยชน์ของคนอื่น จึงไม่ค่อยมีคนเกลียดเขานัก

 

 

เหยียนเค่อในฐานะของนักธุรกิจนั้น มีหลายเรื่องที่ต้องแย่งชิงชื่อเสียงและผลประโยชน์ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่อยากเข้าไปแย่งชิง แต่เดิมทีธุรกิจก็เป็นเวทีแห่งการแก่งแย่งแข่งขันอยู่แล้ว

 

 

“อืม ชินแล้วล่ะ” ก็เป็นแบบนั้นตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าเมื่อก่อนแล้วล่ะ

 

 

“น้องสาวฉันน่ะกลัวฉันตั้งแต่เด็กเลยล่ะ ตอนนี้ก็ชินแล้วล่ะ” คำพูดของเสิ่นมั่วหลี ถ้า ซย่าเสี่ยวมั่วมาได้ยินเข้าล่ะก็คงต้องกระอักเลือดเป็นแน่

 

 

“หา?” เหยียนเค่อรู้สึกว่าพอเสิ่นมั่วหลีพูดถึงน้องสาวแล้วมีท่าทีน่าเกรงขาม เมื่อนึกถึงประสบการณ์ของตนเมื่อสมัยก่อนแล้ว ตนก็มีความรู้สึกแบบเดียวกับน้องสาวของเขา “ตอนเด็กๆ ฉันก็กลัวพี่ชายเหมือนกัน”

 

 

“ตอนนี้เขาก็ยังกลัวฉันอยู่” เขาเดาความรู้สึกในคำพูดของเสิ่นมั่วหลีไม่ออก เพียงแต่ก็รู้สึกได้ว่าเขากำลังอารมณ์ดี

 

 

เหยียนเค่อเลิกคิ้ว ไม่ออกความเห็นเรื่องพฤติกรรมรังแกน้องสาวของเสิ่นมั่วหลี ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ

 

 

ย่านศูนย์กลางธุรกิจของเมืองหลวงยังคงเหมือนกับเมื่อก่อน แต่ก็เปลี่ยนแปลงไปมากเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นอาคารสิ่งปลูกสร้างหรือว่ารูปแบบโครงสร้างก็ยังเหมือนกับเมื่อก่อน แต่คนงานเก่าแก่ก็คงจะเหลือไม่มากแล้ว

 

 

เสิ่นมั่วหลีไม่ได้มาแถวนี้บ่อยนัก เหมือนกับเหยียนเค่อคอยเดินนำเขามากกว่า

 

 

“ภายนอกไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด แต่ราคาคงจะเพิ่มขึ้นอีกห้าเท่าเป็นอย่างต่ำ” ทว่าก่อนหน้านี้เขาก็ซื้ออาคารตึกหนึ่งไว้ด้วยความคันไม้คันมือ เหยียนเค่อเดินดูเพียงรอบนอกเท่านั้น ตลอดทางมีจุดที่น่าสนใจมากมาย

 

 

คนที่นี่ไม่เหมือนกับนักเรียนในมหาวิทยาลัย จากการตรากตรำทำงานในบริษัทมานาน ทำให้มีสายตาที่แหลมคมไปโดยอัตโนมัติ เมื่อเห็นการแต่งกายของเขาและเสิ่นมั่วหลีแล้ว ถ้าไม่ออกห่างก็ขยับเข้ามาใกล้

 

 

เสิ่นมั่วหลีไม่สนใจอาคารแถวนี้เลยสักนิด จึงเดินตามหลังเขาไปเงียบๆ

 

 

ชีวิตคนเราเหมือนกับแมลงชีปะขาว ต้องเหนื่อยแทบเป็นแทบตายเพื่อผลประโยชน์เพียงน้อยนิด นี่เป็นชีวิตที่เสิ่นมั่วหลีไม่ชอบเอาเสียเลย และนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่เขาก้าวออกมาจากวงการการเงิน

 

 

เหยียนเค่อพอจะรู้สภาพแวดล้อมของที่นี่คร่าวๆ แล้ว อย่างน้อยหลังจากที่กิจการของ YAN เปิดทำการแล้ว คงมีคนไม่น้อยที่ลาออกจากที่เดิมแล้วมาทำงานที่นี่ “สวีอันหรานอยู่แถวนี่ เดี๋ยวตอนเย็นไปกินข้าวด้วยกันไหมล่ะ” บริษัทของสวีอันหรานอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่นี่ ก็มากินข้าวด้วยกันเสียเลย

 

 

“ได้สิ เสิ่นจิ้งเฉินบอกว่าจะกลับมาเยี่ยมนายด้วย” เสิ่นมั่วหลีไม่ได้บอกเขาสักที เมื่อคืนตอนดึกเสิ่นจิ้งเฉินเพิ่งกลับมาจากทางแถบตะวันตกเฉียงเหนือ หลังจากโทรมารายงานกับตนเรียบร้อยแล้วก็บอกว่าจะมาหาเหยียนเค่อ จึงถือโอกาสเจอกันในเย็นนี้เสียเลย

 

 

เหยียนเค่อรู้สึกงุนงงเล็กน้อย เสิ่นจิ้งเฉินบอกว่าแม้แต่ช่วงตรุษจีนก็ไม่ได้กลับมาไม่ใช่หรือ ทำไมตอนนี้ถึงปรี่กลลับมาได้ล่ะ

 

 

“เขากลับมาเพราะมีคำสั่งอื่นน่ะ เรื่องทางนั้นจัดการเรียบร้อยหมดแล้ว” เสิ่นมั่วหลีอธิบายให้เขาฟัง “เสิ่นจิ้งเฉินอยู่ที่นี่ประมาณสองวันก็ต้องไปอีกแล้ว”

 

 

“อ๋อ” เหยียนเค่อรำคาญใจ มาแค่สองวันจะหอบสังขารออกมาทำอะไร นอนอยู่บ้านเฉยๆ ดีกว่าออกไปกินเหล้าเยอะ

 

 

เสิ่นมั่วหลีเห็นเขาไม่ได้พูดอะไร แต่คาดว่าเขาคงดูถูกการกระทำของเสิ่นจิ้งเฉินในใจ จึงยิ้มแล้วเอ่ย “เรื่องแรกที่เขาทำหลังจากกลับมาก็คือโทรมาบอกฉันว่า เขาอยากเจอนาย”

 

 

ความรู้สึกภายในดวงตาของเหยียนเค่อเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารู้สึกว่าคำพูดของเสิ่นมั่วหลีมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่

 

 

เสิ่นมั่วหลีก็แค่ล้อเล่นเท่านั้น เพียงแต่ปฏิกิริยาของน้องชายกลับทำให้เขารู้สึกสนุก

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 480 ยินดีกับสมาชิกใหม่

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วยืนรออยู่หน้าประตูด้วยท่าทางที่หมดอาลัยตายอยาก เวลาล่วงเลยผ่านไปแสนนาน จนเธอนึกว่าสวีรั่วชีเข้าไปทำแท้งเสียอีก รออีกประมาณสองนาทีจึงเห็นสวีรั่วชีเดินออกมา

 

 

“ทำไมช้าจัง” ซย่าเสี่ยวมั่วรีบเดินเข้าไปหาเธอ

 

 

สวีรั่วชียื่นผลตรวจให้เธออย่างไม่ใส่ใจนัก สีหน้าไม่มีความผิดปกติใดๆ

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วไม่ต้องดูผลตรวจก็รู้ว่าต้องไม่ได้ท้องแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่ยื่นกระดาษใบนั้นมาให้เธออย่างไม่ใยดีแบบนี้หรอก

 

 

สวีรั่วชีเห็นว่าเธอไม่ดู ก็ฉวยกลับมาแล้วใส่ไว้ในกระเป๋าด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ก่อนจะเดินนำ

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วกลับออกไป

 

 

“เธอจะเอากลับคืนไปทำไม”

 

 

“ไม่บอก ก็เธอไม่ดูเองนี่” สวีรั่วชีเก็บกระดาษกลับมาแล้วก็ไม่ยอมให้ดูอีก

 

 

“เธอคงไม่ได้ท้องจริงหรอกใช่ไหม” ทันใดนั้นซย่าเสี่ยวมั่วก็นึกเสียใจที่เมื่อกี้ไม่ยอมดูกระดาษแผ่นนั้นสักหน่อย

 

 

สวีรั่วชีไม่พูดอะไรสักอย่าง อย่างไรเสียก็มีแค่สองคำตอบ เธอปล่อยให้ซย่าเสี่ยวมั่วเดามั่วต่อไป

 

 

“ถ้าไม่บอกฉันอีก ฉันจะโทรหาแฟนเธอแล้วนะ” ซย่าเสี่ยวมั่วพูดขู่

 

 

สวีรั่วชีไม่กลัวเลยสักนิด “เธอโทรสิ แล้วเธอจะบอกเขาว่าฉันท้องหรือไม่ได้ท้องล่ะ”

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วเอือมระอา ถ้าเกริ่นเรื่องนี้กับสวีอันหรานล่ะก็ เขาคงต้องดีใจตายแน่นอน แต่ถ้าไม่ได้ท้องล่ะ? แบบนี้สวีอันหรานก็ดีใจเสียเปล่าเลยไม่ใช่หรืออย่างไร

 

 

สวีรั่วชีมองซย่าเสี่ยวมั่วยืนนับนิ้วด้วยสีหน้าลังเล ความจริงในใจนั้นเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกอันอ่อนหวานปานน้ำผึ้ง

 

 

ก่อนจะเข้าไปในห้องนั้น เธอรู้สึกจิตใจกระวนกระวายมากจริงๆ แต่หลังจากได้รู้ข้อมูลที่แท้จริงแล้ว หัวใจเธอก็รู้สึกอ่อนหวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งเสียอีก ตอนนี้เธออยากเจอสวีอันหรานแล้วบอกข่าวดีนี้ให้เขารู้จริงๆ

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วครุ่นคิดอยู่นาน จู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีบางอย่าผิดปกติ ถ้าสวีรั่วชีไม่ท้องก็คงไม่ต้องมาเล่นลิ้นกับเธอแบบนี้ นี่แสดงว่าเธอต้องท้องแน่นอน

 

 

เมื่อลองคิดย้อนไปย้อนมาแล้ว ซย่าเสี่ยวมั่วก็กระจ่าง ก่อนจะเอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจ “เธอต้องท้องแน่นอน”

 

 

“เหอะๆ รู้เยอะขนาดนั้นจะมีประโยชน์อะไรกับเธองั้นเหรอ”

 

 

“หรือว่ามันมีผลเสียกับฉันด้วยเหรอ” ซย่าเสี่ยวมั่วถอยหลังสองก้าวเพื่อรักษาระยะระหว่างกัน

 

 

สวีรั่วชีดึงตัวเธอกลับมา “อย่ามาแกล้งทำ เสแสร้งจนติดเป็นนิสัยแล้วนะเนี่ย”

 

 

“ชิ” ซย่าเสี่ยวมั่วกลอกตา “ถ้าพูดออกมาตามตรงฉันจะแกล้งทำไหมล่ะ”

 

 

“เรื่องนี้ฉันอยากบอกสวีอันหรานด้วยตัวเอง” จุดประสงค์ของสวีรั่วชีชัดเจนแจ่มแจ้ง

 

 

ในเมื่อเธอพูดขนาดนี้แล้วก็ถือว่าไม่มีอะไรปิดบังซย่าเสี่ยวมั่วแล้ว ซย่าเสี่ยวมั่วจะมาคิดเล็กคิดน้อยไม่ได้แล้ว จำต้องทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวอไร

 

 

“รู้แล้วว่าพวกเธอสองสามีภรรยาหยอกล้อกันเก่ง ฉันไม่ขอร่วมด้วยละกันนะ” ซย่าเสี่ยวมั่วคล้องแขนเธอเดินกลับไป

 

 

อันหร่านบอกเบลล์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะออกไปตามนัด หลังจากได้ฟังคำพูดของซย่าเสี่ยวมั่วแล้วก็ทำให้จิตใจของเธอกลายเป็นสีเทา

 

 

อันหร่านมาถึงร้านอาหารก่อนที่จะถึงเวลานัด นี่เป็นร้านอาหารธรรมดาร้านหนึ่ง ไม่มีบรรยากาศโรแมนติกเลยสักนิด เป็นสถานที่ที่ใช้พูดคุยเรื่องงานกันมากกว่า

 

 

เธอไม่วาดฝันอะไรอีกต่อไปแล้ว แค่รอให้อีกฝ่ายมา จากนั้นก็พูดคุยเรื่องที่เขาอยากจะพูดกันอย่างเรียบง่าย เมื่อทั้งคู่ไม่มีอะไรจะพูดแล้วก็บอกลาและแยกกันไปเสีย

 

 

อันหร่านกำลังนั่งเหม่อ ขนาดมีใครคนหนึ่งนั่งลงบนที่ว่างตรงหน้าแล้วก็ยังไม่รู้ตัว

 

 

“คิดอะไรอยู่น่ะ” คุณหัวหน้าบก.ที่ก่อนหน้านี้อันหร่านหลบหน้ามานาน กำลังนั่งอยู่ตรงหน้าเธอและมองมาด้วยสีหน้าฉงนใจ

 

 

“คะ?” อันหร่านออกจากภวังค์ หลบเลี่ยงสายตาของเขาที่มองมาแล้วรีบดื่มน้ำอึกใหญ่จนเกือบจะสำลัก

 

 

คุณหัวหน้าบก.รู้สึกประหลาดใจกับปฏิกิริยาของเธอเล็กน้อย “ผมเคยกดขี่ทำร้ายคุณเหรอครับ ทำไมเห็นผมแล้วต้องตกใจขนาดนั้นด้วย”

 

 

อันหร่านโบกปัดแล้วกระแอมสองที “เข้าใจผิดแล้วค่ะ ไม่ใช่สักหน่อย”

 

 

“อ๋อ ความจริงเจอผมแล้วไม่รู้สึกอะไรเลยงั้นสิ?” หัวหน้าบก.ส่งเมนูอาหารที่วางไว้มาให้เธอ

 

 

“ก็ไม่ใช่หรอกค่ะ” อันหร่านไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร ทั้งคู่มีโอกาสพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวน้อยมาก นี่ก็เป็นครั้งแรกที่นัดกันออกมากินข้าวแบบนี้

 

 

“ช่างเถอะ สั่งอาหารก่อนดีกว่า” หัวหน้าบก.ก็ไม่ได้คิดจะแกล้งเธอต่อ “กินเสร็จแล้วค่อยคุยกัน”

 

 

อันหร่านพยักหน้า ก่อนจะหยิบเมนูอาหารที่เขาส่งมาให้