ในขณะที่กโยซึลกำลังจะออกจากตำหนักบุกบี หลังจบการสนทนากับฮเยจินแล้ว นางที่กำลังก้าวออกจากประตูห้องบรรทมนั้น ได้ยินเสียงอันแผ่วเบาก็ไล่หลังมา ราวกับกำลังเฝ้ารอจังหวะนี้อยู่
“ทรงไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลยนะขอรับ”
รูแฮลุกออกมาจากที่นั่งก่อนกโยซึล แต่ก็ไม่ได้ออกไปจากตำหนัก เขารอนางอยู่ด้านนอกประตู เสียงของรูแฮทำให้กโยซึลซึ่งกำลังก้าวข้ามธรณีประตูต้องหยุดการก้าวลงในทันที
“ฮ ฮวางเซจา” กโยซึลมองไปรอบๆ ด้วยความสับสนงุนงง ขณะที่รูแฮนั้นกลับยืนพิงกำแพงอย่างสบายใจ
“อย่ากังวลใจไปเลยขอรับ ข้ารับใช้ในตำหนักบุกบีแห่งนี้ต่างก็กำลังยุ่งวุ่นวายกับการดูแลชายาเซจา พวกเขาไม่มาสนใจด้านนอกหรอกขอรับ ตรงนี้ไม่มีพวกข้ารับใช้ ส่วนถ้ามองจากข้างในออกมา ก็จะเห็นเพียงพระชายา ไม่เห็นกระหม่อมหรอกขอรับ”
“เพคะ?”
“กระหม่อมหมายความว่าไม่มีผู้ใดเห็นหรอกขอรับ ทรงวางใจได้ แต่ยังทรงประทับอยู่ตรงนั้น อาจจะมีใครสังเกตเห็นถึงความผิดปกติได้นะขอรับ”
กโยซึลอุทานออกมาพลางถอนเท้าที่เคยเหยียบอยู่ระหว่างกลางธรณีประตูออก ทำให้เท้าข้างหนึ่งอยู่นอกประตู ส่วนอีกข้างแตะอยู่อย่างคาบลูกคาบดอกบนธรณีประตู ท่าทางนั้นช่างน่าอับอายเป็นอย่างมาก นางตั้งใจก้าวไปยังกำแพงฝั่งตรงข้ามกับรูแฮ แต่รูแฮกลับดึงกโยซึลเข้าหาตัวเองอย่างกะทันกัน กโยซึลในสภาพที่ขัดขืนไม่ได้จึงถูกดึงลากไปตามแรงแขนของบุรุษผู้นั้น ชายกระโปรงของนางก็พลางปลิวไสวไปด้วย
แผ่นหลังของกโยซึลสัมผัสได้ถึงสิ่งที่ไม่ใช่กำแพงแข็ง ทว่าเป็นสิ่งที่อบอุ่นและกว้างขวาง บริเวณใบหูได้ยินเสียงเต้นของหัวใจเบาๆ
“ทรงทำอะไร…”
“ชู่ว ประเดี๋ยวคนข้างในได้ยินเข้านะขอรับ”
กโยซึลที่กำลังจะโวยวายพลันปิดปากเงียบลงทันทีที่รูแฮยกนิ้วชี้ขึ้นมาจรดริมฝีปากของเขา ในใจของนางก็ร้อนรนไปหมด อีกแล้ว เป็นเช่นนี้อีกแล้ว ที่ตนหวั่นไหวโดยไร้เหตุผลเพราะบุรุษผู้นี้ นางรู้สึกร้อนวูบวาบในท้องทั้งที่ตนพยายามบังคับมันแล้วด้วยศักดิ์ศรีที่ค้ำคออยู่ ทันใดนั้นรูแฮก็ก้มลงกระซิบที่ข้างใบของหูกโยซึล
“หากยังทรงทำเช่นนี้ต่อไป จะทรงถูกจับได้เอานะขอรับ”
“จ จับได้ จับได้เรื่องอันใดกัน”
ติ่งหูของกโยซึลร้อนผ่าว ลมหายใจของรูแฮกระทบยังต้นคอของนาง อ้อมกอดของเขาที่นางสัมผัสได้ด้วยแผ่นหลัง ราวกับว่าเขากำลังโอบกอดตนอยู่ในตอนนี้
ไม่ได้ ต้องสติเข้าไว้
ในที่สุดกโยซึลก็ฝืนใจระเบิดอารมณ์โมโหออกไป “องค์ฮวางเซจาไม่ทราบหรือว่า การกระทำอันขาดมารยาทของท่านในตอนนี้ อันตรายเสียยิ่งกว่าสิ่งใด”
“หามิได้ขอรับ เพราะตอนนี้ไม่มีผู้ใดเห็นมิใช่หรือ”
“ไม่มีใครเห็น…”
“ความจริงแล้วองค์ชายาเซจาหูตาไวกว่าที่พระชายาคิดนะขอรับ”
กโยซึลเงียบปากลงอีกครั้ง คำพูดกระซิบกระซาบอันแผ่วเบาและน่ากลัวของรูแฮลอยเข้าหูของนาง
“ในห้องบรรทมของชายาเซจา ตัวพระชายาทรงดูไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลยนะขอรับ ทรงดูใส่พระทัยในตัวกระหม่อมมากเกินไป”
“แต่ตัวฮวางเซจาเอง ก็มิได้ทรงเฉยชาเกินไปหรือ”
“กระหม่อมเฉยชาไปเช่นนั้นหรือขอรับ”
น้ำเสียงของรูแฮที่ต้องการตักเตือนกโยซึลนั้นมีเสียงหัวเราะปะปนอยู่ เขามองกโยซึลด้วยสายตาหวานหยาดเยิ้ม หลังของนางที่ถูกเขาดึงเข้ามาหา ที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ช่างดูงดงามเหลือเกิน เมื่อกโยซึลหันหน้าไปด้านข้าง รูแฮก็ได้เห็นสันจมูกที่เรียวบางของนางครู่หนึ่ง แสงแดดส่องลงกระทบแก้มอันอวบอิ่มของกโยซึล แก้มที่มีขนอ่อนๆ และแดงระเรื่อของนางช่างเหมือนกับลูกท้อนัก
ทุกครั้งที่ขนตายาวของกโยซึลสั่นไหว หัวใจของรูแฮเองก็สั่นไหวเช่นกัน ตนอยากจะยื่นมือออกไปและกอดนางไว้ให้แน่น ในตอนที่นางบ่นพึมพำราวกับว่านางกำลังอารมณ์เสีย แต่นี่เป็นสิ่งที่ตนทำได้มากที่สุดในตอนนี้ ความจริงตอนนี้ตนก็อยู่ใกล้นางมากเกินไปเสียซ้ำด้วย ไม่รู้ว่ากโยซึลรับรู้ได้ถึงหัวใจที่เศร้าโศกของรูแฮหรืออย่างไร กโยซึลจึงได้พูดถึงความเสียใจของตนด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“เหตุใดจึงทรงเฉยชาได้เพียงนั้นกัน เราไม่เข้าใจการแสดงออกที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของท่านเลยสักนิด”
“พระชายา” ไม่อาจห้ามใจได้เลย นางเป็นหญิงสาวที่น่าเอ็นดูถึงเพียงนี้ ตนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยหยอกล้อด้วยเสียงแผ่วเบาออกไป
“ทรงไม่พอพระทัยเช่นนั้นหรือขอรับ”
“ว่าอย่างไรนะเพคะ”
กโยซึลทั้งอึ้ง ทั้งอับอาย และขวยเขินจนรู้สึกร้อนรุ่มไปหมด ไม่พอใจอย่างนั้นหรือ ใครไม่พอใจใครอย่างนั้นหรือ เขานี่ช่างไม่เข้าท่าเอาเสียเลย กโยซึลฟังแล้วเสียอารมณ์จนหันหน้าหนีไปอย่างรวดเร็ว นางคิดว่านี่มันแย่มากๆ พลันดวงตาของนางก็เบิกโตราวกับพระจันทร์เต็มดวงในเดือนอ้าย
ตนลืมไปว่ารูแฮยังคงน้อมศีรษะลงมาหาตนอยู่ เมื่อหันหน้าไปอย่างสุดแรง ใบหน้าของรูแฮจึงปรากฏเข้าอย่างจังใกล้กับจมูกของตน แม้กโยซึลเองจะเป็นคนเงยหน้าขึ้นไปด้วยก็ตาม ร่างกายของนางที่สัมผัสจมูกของเขาแข็งเหมือนรูปปั้นหิน ทั้งคู่ต่างตะลึงงันจากการใกล้ชิดกันอย่างกระทันหันนี้ ในชั่วขณะนั้นทุกสิ่งพลันมลายหายไปจากโลก แม้แต่กาลเวลาเองก็เหมือนกัน
แววตาสดใสของรูแฮที่สดใสยิ่งกว่าท้องฟ้าโล่ง จ้องมองไปที่กโยซึล แม้เพียงสายตาของเขา ก็ทำให้
กโยซึลเหมือนจะถูกเผาด้วยไฟร้อนแรง เป็นสายตาที่อ่อนหวานแต่ก็เต็มไปด้วยความรุนแรง คิ้วเข้มของเขากับปลายจมูกที่แหลมคม ดูเหมือนจะสัมผัสกับใบหน้าของนางอยู่รอมร่อ ริมฝีปากบางของกโยซึลสั่นระริก แม้จะน่าอับอายอยู่บ้าง ทว่าในตอนนี้นางกำลังนึกถึงบางสิ่งที่ไม่คุ้นเคยที่ถูกซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ความร้อนปะทุขึ้นจนทำให้กโยซึลหายใจติดขัด
ปริบ ปริบ ขนตายาวของนางพลิ้วไหว ดวงตาชื้นสั้นระริก ริมฝีปากที่เปิดเล็กน้อยมีประกายสดใจแวววาว ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าดอกไม้ดอกนี้กักเก็บน้ำผึ้งที่หวานล้ำไว้มากมายเพียงใด และแม้ว่าจะจินตนาการถึงไว้เพียงใด มันจะต้องหวานล้ำกว่าสิ่งนั้นอย่างแน่นอน
อีกนิด หากแม้นได้เข้าใกล้ไปอีกสักนิด หากก้มลงไปอีกนิด หรือยื่นริมฝีปากออกไปอีกเล็กน้อย หรือขยับคอและคางอีกเล็กน้อยเท่านั้น ก็จะสามารถจุมพิตที่ริมฝีปากนั้นได้อย่างง่ายดาย ลมหายใจอ่อนโยนของบีพาอันผสานเข้ากับลมหายใจแผ่วเบาของกโยซึล มือของเขาที่จับข้อมือนางไว้ เริ่มเลื่อนจับไปที่ลำแขนแล้วค่อยๆ เคลื่อนขึ้นไปข้างบนอย่างช้าๆ ทุกครั้งที่นิ้วเรียวยาวของเขาสัมผัสเหนือปกคอเสื้อของนาง กโยซึลก็จะตัวสั่นราวกับถูกไฟแผดเผา นิ้วมือของเขาเคลื่อนไปตามชายเสื้อบาง ในที่สุดมือของรูแฮก็สัมผัสไหล่ของนาง ปลายนิ้วของเขาสัมผัสกับคอเสื้ออย่างหมิ่นเหม่ และจากนั้นเขาก็รวบนิ้วที่สั่นระริกของตน จับเข้าที่ไหล่ของกโยซึลแน่น
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะขอรับ”
ความตึงเครียดคลี่คลายไปพร้อมกับคำที่รูแฮพูดออกมา กโยซึลรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดจากมือของเขาที่จับไหล่ของตนเอาไว้แน่น มันคือความขัดแย้งที่ประหลาดยิ่ง เพราะแม้ว่าตนจะพยายามหยุดเขาไว้มากเพียงใด ทว่าสุดท้ายก็ไม่อาจผลักไสเขาออกไปได้
“กระหม่อมคิดถึงพระองค์”
แม้จะเป็นเพียงคำพูด แต่ความจริงใจของรูแฮทำให้คิ้วของกโยซึลขมวดมุ่นอีกครั้ง จะทำอย่างไรกับเขาที่เข้าหาตนอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ดี กโยซึลยังคงนิ่งแข็งเป็นหินอยู่เช่นเดิม ไม่สามารถทั้งผลักไสและฉุดรั้งเขาเข้ามาหาตนได้ ทำได้เพียงแค่รักษาระยะห่างที่เหมาะสม ไม่ใกล้และไม่ไกล กับเขาเช่นนี้ต่อไป
***