กโยซึลขยับริมฝีปาก นางเหม่อมองไปในอากาศ สูญเสียการจดจ่อ และตกอยู่ในจินตนาการที่มืดมัว ครั้นพอได้ยินเสียงหม้อใบหนากระทบกับถาดไม้ ในตอนนั้นนางจึงก็ได้สติขึ้นมา กโยซึลเกือบจะปล่อยให้ชาในถ้วยหกไปเสียแล้ว ในขณะที่มันเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง นางรีบปรับท่าทางของตนและวางมันลง กโยซึลกำลังอยู่ระหว่างการสนทนาจิบชาและกินขนมกับสนมซาในห้องของนางที่ตำหนักดงบี
“พระชายาฮวางแทจาเพคะ ช่วงนี้เห็นทรงไม่อยู่ที่ตำหนักดงบีเท่าไร ทรงมีงานอดิเรกใหม่หรือเพคะ”
“อา ในช่วงไม่กี่วันมานี้ หม่อมฉันไปๆ มาๆ ระหว่างตำหนักบุกบีเพคะ”
“ตำหนักบุกบีหรือเพคะ”
“ใช่แล้วเพคะ หม่อมฉันไปเป็นเพื่อนคุยกับชายาเซจาเพคะ เป็นการให้กำลังใจกับทั้งตัวชายาเซจาและเด็กน้อยในท้องเพคะ แม้ท้องของนางจะยังโตไม่เต็มที่ แต่นางก็ถูกจำกัดบริเวณไม่ให้ออกไปนอกตำหนักบุกบี นางจึงรู้สึกเหงายิ่งนักเพคะ”
“กับชายาเซจา…” สีหน้าของสนมซาดูมืดมนไปชั่วขณะ แม้จะเป็นคนที่หูตาไม่ได้ไวมากนัก แต่ก็สามารถสังเกตได้ไม่ยากเลย
“มีปัญหาใดหรือเพคะ”
“ม ไม่มีเพคะ” สนมซาสงวนคำพูดเอาไว้ แต่ไม่มีทางที่นางจะซ่อนอะไรจากกโยซึลได้ กโยซึลทนกับความสงสัยของตนไม่ไหว จึงได้โน้มตัวไปข้างหน้า “มีเรื่องอันใดหรือเพคะ”
“ไม่มีเรื่องอันใดเพคะ”
ดวงตาของสนมซากลอกไปมาซ้ายทีขวาที แม้จะเป็นสีหน้าที่ไม่เต็มใจ ไม่มีอะไรให้ปิดบังซ่อนเร้น แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรเล่า นางจึงกังวลใจอย่างยิ่ง
“สนมแม่ซา เป็นเรื่องที่หม่อมฉันไม่อาจรู้ได้หรือเพคะ”
“ไม่ใช่เรื่องที่ทรงทราบไม่ได้หรอกเพคะ แต่ว่าเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องทราบ หม่อมฉันเกรงว่ามันจะสร้างอคติแก่พระชายาในการคบหากับชายาเซจาไปโดยเปล่าประโยชน์น่ะเพคะ”
“แสดงว่ามีข่าวลือไม่ดีเกี่ยวกับองค์ชายาเซจาสินะเพคะ”
กโยซึลพยายามคาดเดาท่าทีสงวนคำพูดของสนมซา สนมซาพยักหน้าด้วยสีหน้าที่สั่นเทา
“สนมแม่ซา ก็ทรงเชื่อพวกข่าวลือในทางไม่ดีพวกนั้นด้วยหรือเพคะ”
“หามิได้เพคะ ในราชสำนักแห่งนี้มีข่าวลือไร้สาระมากมายถึงเพียงนั้น หากฟังทั้งหมดโดยไม่กลั่นกรองจะเกิดปัญหาแก่ตนเองได้เพคะ” สนมซาลนลานเล็กน้อย พลางโบกมือปฏิเสธ
“อันที่จริงหม่อมฉันเองมีความเฉลียวฉลาดพอที่จะกรองข่าวลือที่ไม่น่าเชื่อออกไปได้ หรือทรงคิดว่าหม่อมฉันจะโง่เง่าจนเชื่อทุกข่าวลือโดยไม่ได้ตรวจสอบความจริงก่อนหรือเพคะ”
“หามิได้เพคะ หม่อมฉันทราบดีว่าพระชายาทรงฉลาดและมีจิตใจงดงาม อันที่จริงหม่อมฉันแค่รู้สึกไม่เต็มใจที่จะพูดถึงข่าวลือที่ไม่ดีเกี่ยวกับผู้อื่นเพคะ”
“ถ้าเช่นนั้นก็ตรัสออกมาเถิดเพคะ หากหม่อมฉันไม่รู้เรื่องราวแล้วเผลอทำผิดต่อองค์ชายาเซจาเข้าจะไม่เป็นปัญหาหรือเพคะ” กโยซึลพูดถูก สนมซาที่กำลังลังเลก็ได้ลดระดับเสียงลงแล้วเอ่ยออกมาในที่สุด
“อันที่จริงทางวังหลัง ล้วนเว้นรักษาระยะห่างกับชายาเซจาน่ะเพคะ”
“เพราะเหตุใดกันหรือ ชายาเซจากระทำสิ่งใดผิดไปหรือเพคะ” กโยซึลถามด้วยความตกใจ
สำหรับนางแล้วแม้ชายาเซจาจะดูแปลกประหลาดลึกลับแต่ก็เป็นคนจิตใจดี เป็นผู้ที่ไม่น่าจะถูกใครเกลียดชังได้เลย จึงทำให้นางไม่อาจเชื่อคำที่สนมซาเพิ่งพูดออกมาได้เลย
“เมื่อครั้นชายาเซจาทรงเข้าวังมา ทางเราได้มีปฏิสัมพันธ์กันพอสมควร ชายาเองก็ได้มาหา มาร่วมทั้งงานเลี้ยงน้ำชาและกลุ่มสนทนาต่างๆ ด้วย แต่ในบางครั้งชายาเซจาก็จะทรงโมโหขึ้นมา ดังนั้นจึงมีการเตือนกันให้ระวัง แล้วก็มักมีเหตุขึ้นเสมอด้วยเพคะ”
“เหตุใดหรือ”
“ตอนแรกพวกเราคิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ แต่พอเกิดขึ้นหลายครั้งเข้า จึงทำให้เกิดข่าวลือว่านางสาปแช่งผู้คนเพคะ”
“สาปแช่งหรือเพคะ”
ข่าวลือนี้ล้วนเฟ้อเจ้อและไร้ซึ่งมูลเหตุยิ่งนัก กโยซึลไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะออกมา หรือจะแค่พยักหน้าตอบรับอย่างจริงจังดีกันแน่ ความกังวลของนางปรากฏชัดบนใบหน้าจนทำให้สนมซาชิงยิ้มออกมาก่อน
“คงเพราะพวกนางกลัวโดนสาปเพคะ เป็นข่าวลือที่งี่เง่านักนะเพคะ”
“เห็นจะเป็นเช่นนั้นเพคะ” ในที่สุดกโยซึลก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา สนมซาหัวเราะด้วยกันครู่หนึ่งแล้วถามกโยซึลว่า
“ทรงสนุกกับการไปตำหนักบุกบีหรือไม่เพคะ”
กโยซึลหยุดหัวเราะและสบตากับสนมซาอย่างนิ่งเรียบ กโยซึลขยับลูกตาไปมา นางกดไปแรงๆ ที่หัวใจของตน ช่างน่าสมเพชยิ่งนัก เมื่อถูกถามว่าสนุกหรือไม่ หน้าของรูแฮก็ดันผุดขึ้นมาก่อนเสียอย่างนั้น หัวใจโง่เง่าดวงนี้ ช่างน่าเวทนายิ่งนัก กโยซึลส่งแรงเค้นไปยังริมฝีปากแล้วฝืนยิ้มออกมา
“เพคะ สนุกมากเลยเพคะ”
“ถ้าพระชายาทรงสนุกก็ต้องเป็นความสัมพันธ์ที่ดีเป็นแน่เพคะ”
เป็นเช่นนั้นจริงหรือเพคะ ขอเพียงแค่รู้สึกรื่นรมย์และมีความสุข ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ไม่สำคัญ มันสามารถเป็นความสัมพันธ์ที่ได้อย่างนั้นหรือเพคะ
กโยซึลกลืนคำถามที่ถามออกไปไม่ได้ลงไปภายใน สนมซาปลอบโยนนางโดยไม่รู้ถึงความเจ็บปวดลึกๆ ภายในใจของนาง และกล่าวอย่างใจดีว่า
“พระชายาทรงเข้ากับคนง่าย หม่อมฉันเชื่อมั่นว่าจะทรงสามารถเป็นเพื่อนที่ดีกับชายาเซจาได้เพคะ”
“ขอบพระทัยเพคะ”
กโยซึลหลบสายตาของสนมซาพลางหยิบถ้วยชาขึ้นมา นางไม่รู้สึกถึงความร้อนของชาผ่านถ้วยเคลือบใบหนาเลยแม้แต่นิด ปลายนิ้วนั้นชาไปหมด
***
ก้าวเดินที่มุ่งหน้าไปวังเหนือเต็มไปด้วยความสบายใจ ไม่เคยคาดคิดเลยว่าหน้าที่ในการเป็นพ่อทูนหัวที่เป็นเหมือนโบนัสพิเศษนี้จะน่าเบิกบานใจได้ถึงเพียงนี้ รูแฮก้าวข้ามประตูสูงตระหง่านของวังเหนือด้วยก้าวย่างที่แข็งแกร่งและรวดเร็วกว่าที่เคยเป็นมา ในขณะที่เขากำลังเดินไปยังประตูของตำหนักบุกบี เขาก็ต้องหยุดกะทันหัน รูแฮเห็นนางกำนัลนางหนึ่งเดินไปมาอยู่หน้าประตูเล็กระหว่างรั้วตำหนัก นางกระทืบเท้าไปมา เมื่อเห็นรูแฮเข้ามาใกล้นาง นางก็หันหนีไปอย่างรวดเร็ว
“หยุดก่อน” รูแฮเรียกนางพลางเดินเข้าไปใกล้ประตูเล็กนั่น นางกำนัลตกใจจนตัวแข็งทื่อ นางหยุดนิ่งระหว่างกลางประตูในท่าทางหันหลังกลับ รูแฮที่กำลังมุ่งไปหานางก็ได้ก้มลงที่พื้น
“เจ้าทำสิ่งนี้ตกไว้”
ณ ที่ซึ่งนางกำนัลนางนั้นกำลังเดินไปๆ มาๆ มีห่อผ้าเล็กประมาณนิ้วหัวแม่มือตกอยู่ ดูท่าแล้วน่าจะเป็นห่อเครื่องหอม รูแฮช่วยเก็บขึ้นมาแล้วยื่นห่อผ้านั้นให้นาง นางกำลังที่ตัวแข็งทื่ออยู่ค้อมหัวลง แล้วหันมาหารูแฮ จากนั้นก็รับห่อเครื่องหอมด้วยสองมือของนาง นางกำนัลไม่อาจมองหน้ารูแฮได้ และมือของนางก็สั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด
“ข ขอประทานอภัยเพคะ”
“อย่าได้กลัวไปเลย เราไม่ได้ตั้งใจจะว่ากล่าวอะไรเจ้า”
“พ เพคะ ถ้าอย่างนั้น หม่อมฉันขอเพคะ”
นางในนางโค้งตัวลงครึ่งตัวเพื่อถวายการเคารพ จากนั้นจึงรีบหันหนีไปในทันที นางหายตัวไปอย่างรวดเร็วผ่านประตูเล็กที่นางใช้เดินเข้าออกตำหนักบุกบี
“ช่างเป็นคนขี้กลัวเสียจริง”
รูแฮหันกลับมาพลางยิ้มน้อยๆ เขาพินิจตำแหน่งของดวงอาทิตย์ เพื่อคาดคะเนเวลาในขณะนั้น ในช่วงนี้เขาไปๆ มาๆ ระหว่างตำหนักบุกบีด้วยข้ออ้างของการเป็นพ่อทูนหัวให้กับลูกในท้องของฮเยจิน และมีความสุขไปกับการได้พบเจอกโยซึล ผู้มาเป็นเพื่อนคุยให้กับฮเยจิน เขาไม่สามารถเก็บซ่อนความสุขใจไว้ได้ เขามุ่งหน้าไปยังประตูตำหนักอย่างรีบร้อน
ระหว่างเส้นทางจากประตูตำหนักไปยังประตูเล็กเมื่อครู่นั้น มีสายตาของบุคคลหนึ่งเฝ้ามองรูแฮกับนางกำนัลอ