ตอนที่ 37-1 ลางสังหรณ์

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

ณ ตำหนักบุกบี ท้องฟ้าแจ่มใส แปลกนักแม้จะอยู่ใต้ฟ้าเดียวกัน ทว่าพอเข้ามาในตำหนักแห่งนี้แล้ว ท้องฟ้ากลับดูน่าชมเป็นพิเศษ และแม้ที่อื่นจะเป็นฤดูร้อนเช่นเดียวกัน ทว่าในตำหนักบุกบีแห่งนี้นั้นกลับรู้สึกสดชื่นปลอดโปร่งเสียยิ่งกว่า

 

 

แปลกนักที่เมื่อมายังตำหนักแห่งนี้ แม้แต่แสงแดดอันแสบร้อน ก็ยังกลายเป็นแสงแดดอ่อนอบอุ่น และแม้แต่ลมร้อนๆ ก็กลับกลายเป็นลมเย็นสบายไปได้ อากาศที่เริ่มร้อนเหนียวเหนอะหนะของฤดูร้อน[1] ก็กลับกลายเป็นเย็นสบายสดชื่นไปได้

 

 

หรือเป็นเพราะที่ตำหนักบุกบีมีการผูกไว้ซึ่งเชือกทองกัน เชือกทองเหล่านี้ถูกผูกโยงเอาไว้ในทุก ทางเข้าออกของตำหนัก เพื่อป้องกันไม่ให้พลังชั่วร้ายย่างกรายเข้ามาได้ ไม่แน่ว่ามันอาจจะช่วยไล่ความร้อนได้ด้วย หรืออาจเป็นเพราะตำหนักบุกบีอยู่ทางทิศเหนือของวังก็เป็นไปได้เช่นเดียวกัน การที่ตำหนักตั้งอยู่ที่จุดเหนือสุดของพระราชวังอันกว้างใหญ่ อาจจะมีอากาศที่เย็นสบายกว่าก็เป็นได้ อาจเป็นเพราะอย่างนั้น อาจเป็นเช่นนั้นก็ได้ ข้อแก้ตัวต่างๆ ผุดขึ้นมามากมายเต็มไปหมด

 

 

แน่นอนว่าย่อมต้องหาข้ออ้างอื่น เพื่อแก้ต่างให้ตัวเองว่าที่ชื่นชอบตำหนักบุกบีถึงเพียงนี้ ไม่ใช่ด้วยเหตุผลอื่น สายตาของตนนั้นไม่ได้เอาแต่มองไปทางวังเหนือ มิใช่ว่าพอมีจังหวะก็รังแต่จะชะเง้อชะแง้มอง กโยซึลพยายามหลอกตัวเอง ทุกวันจึงเอาแต่สร้างเหตุผลว่าตำหนักบุกบีนั้นดีอย่างไรบ้าง

 

 

“เวลาที่ได้พบปะกับชายาเซจา หม่อมฉันรู้สึกสบายใจมากเพคะ”

 

 

กโยซึลพูดหนึ่งในเหตุผลเหล่านั้นออกมา ถ้วยชาที่ถูกยกขึ้นมาก็ยังไม่ถึงปากของนางสักที นางทำแบบนี้ซ้ำๆ ถึงหกครั้งแล้ว พลางเอาแต่พูดว่าสบายใจอยู่ตลอด กโยซึลจิบชาเล็กน้อยราวกับกำลังขวยเขิน ฮเยจินเองก็ยิ้มเบๆ จากนั้นก็จิบชาตามกโยซึล

 

 

“หม่อมฉันต้องทั้งขออภัยและขอบพระทัยพระชายาฮวางแทจา ที่ต้องแสด็จมาไกลถึงที่นี่ ตามคำร้องขอของพวกหม่อมฉัน”

 

 

“หาได้เป็นเรื่องใหญ่อันใดไม่ ตัวหม่อมฉันเองก็สนุกสนานไปกับการใช้เวลากับชายาเซจาเพคะ การเดินมาที่นี่ไม่ถือว่าเป็นเรื่องลำบากอะไรเลยเพคะ”

 

 

“เช่นนั้นหม่อมฉันก็โล่งใจเพคะ”

 

 

ดวงตาเหมือนฝันของฮเยจินมองผ่านไปที่กโยซึล และมักจะเหม่อมองไปในอากาศ ตอนแรกกโยซึลก็อยากรู้ว่านางจ้องมองอะไร จึงได้ลองแม้กระทั่งมองตามออกไป แต่ก็ต้องพบว่าที่สุดสายตาฮเยจินนั้นไม่มีจุดหมายปลายทางใดอยู่เลย อาจเป็นเพราะสายตาเช่นนี้ ที่ทำให้ฮเยจินถูกเข้าใจผิดในหมู่นางแห่งวังหลัง ด้วยเหตุผลนี้เป็นแน่ สายตาที่ดูเหมือนกับว่ากำลังมองอะไรบางอย่างที่ไม่ได้อยู่บนของโลกใบนี้ อาจทำให้ผู้อื่น รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา และนำไปสู่การนินทาว่าร้ายฮเยจินอย่างไร้สาระ

 

 

นี่มันไม่ถูกต้องเลย กโยซึลขมวดคิ้วมุ่น

 

 

ชายาเซจาออกจะเป็นผู้ที่อ่อนโยนและดีถึงเพียงนี้

 

 

ข่าวลือเสียๆ หายๆ ที่สนมซาเล่าให้ฟังนั้น กโยซึลแทบจะปฏิเสธไม่รับฟังเลยในทันที เพราะฮเยจินที่กโยซึลรู้จักนั้น ทั้งอ่อนโยน ระมัดระวัง ทว่าบางครั้งก็ทำตัวบ้าบอ กโยซึลเชื่อในประสบการณ์ตรงของตัวเอง มากกว่าข่าวลือที่มาจากปากของหลายๆ คน

 

 

“อ้อ เมื่อวานระหว่างทางกลับ หม่อมฉันได้พบกับองค์เซจาด้วยเพคะ ดูเหมือนว่าพระองค์จะเสด็จมาทุกวันโดยไม่เว้นเลยใช่หรือไม่เพคะ ทุกครั้งที่หม่อมฉันมายังตำหนักบุกบี ดูเหมือนจะได้พบกับองค์เซจาตลอดเลย”

 

 

“ใช่เพคะ พอเสร็จงานราชการ ก็จะเสด็จมาหาหม่อมฉันทันทีเลยเพคะ แล้วก็เป็นการมาหาลูกที่อยู่ในท้องด้วยเพคะ” ฮเยจินลูบท้องตัวเอง แม้นางจะดูเหมือนเป็นคนจากต่างโลกในบางครั้ง แต่พอพูดเรื่องบินซองหรือเป็นตอนลูบท้องของตนนั้น นางก็จะกลายเป็นหญิงสาวทั่วไป ในแบบที่กโยซึลก็รู้จักดีเช่นกัน

 

 

“ชายาเซจา ช่างดูมีความสุขมากเลยเพคะ หม่อมฉันอิจฉาพระองค์นัก”

 

 

เป็นความจริงในใจของกโยซึล เพราะในบรรดาคนที่กโยซึลได้รู้จักในพระราชวังแห่งนี้นั้น บินซองกับ

 

 

ฮเยจินดูเป็นผู้ที่มีความสุขที่สุดแล้ว กโยซึลจึงรู้สึกอิจฉาสองคนนี้กว่าใคร เพราะพวกเขาทั้งมอบความรักความจริงใจให้กันและกัน ทะนุถนอมกันและกันเหนือผู้ใด และยังเป็นคู่รักที่ได้อยู่ด้วยกันทุกวันอีกด้วย ไม่รู้เพราะเหตุใดปลายจมูกจึงร้อนผ่าว และขอบตาเองก็ร้อนขึ้น กโยซึลเกรงว่าฮเยจินจะสังเกตเห็นได้ถึงท่าทางไม่ดีเหล่านี้ นางจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที

 

 

“ไหนลองตรัสบอกหม่อมฉันได้หรือไม่เพคะ ว่าชายาชอบองค์เซจาที่ตรงไหนบ้าง หม่อมฉันอยากลองพูดคุยเรื่องพวกนี้กับสหายของหม่อมฉันดูเพคะ”

 

 

กโยซึลดึงเข่านั่งลง ตาของนางเปล่งประกาย ขณะเดียวกันก็โน้มร่างกายส่วนบนไปหาฮเยจิน ท่าทางของกโยซึลนี้ ทำให้ฮเยจินหน้าแดงขึ้นมา

 

 

ผิวสีน้ำตาลเหลืองของฮเยจินมีประกายแดงส่องออกมา ช่างดูมีเสน่ห์นัก ทำให้แม้ผู้หญิงด้วยกันก็ยังหลงไหล ไม่แน่ว่าอาจจะเพราะเสน่ห์ลึกลับนี้ที่ทำให้บินซองหลงไหลนาง กโยซึลทำการคาดเดา

 

 

“องค์เซจาทรง…” ฮเยจินลังเล จากนั้นก็ตอบออกมาด้วยเสียงแผ่วเบาราวกับเสียงร้องของนกน้อย

 

 

“น่าเอ็นดูเพคะ”

 

 

“น เอ็นดูหรือเพคะ” กโยซึลมองไปรอบๆ โดยไม่มีเหตุผล คำว่าน่าเอ็นดูนั้นใช้กับองค์เซจาได้ด้วยหรือ เพราะตามปกติคำว่าน่าเอ็นดู จะใช้กับพวกเด็กๆ เป็นหลัก กโยซึลรู้สึกมึนงงจนทำอะไรไม่ถูก ส่วนฮเยจินเองก็พยักหน้าแล้วพูดต่อ “หม่อมฉันคิดว่าองค์เซจาทรงน่าเอ็นดูยิ่งนักเพคะ”

 

 

“ตรงส่วนไหนหรือเพคะ”

 

 

“เขาน่าเอ็นดูมากเวลาที่เขาตั้งใจทำบางสิ่ง และเพราะเขาตั้งใจทำทุกอย่าง เขาจึงทำมันให้ดีที่สุดอยู่เสมอ ในเวลาเช่นนั้นเขาจะดึงริมฝีปากล่างลงไปที่คาง เมื่อหม่อมฉันได้เห็นฟันล่างที่เล็กและงดงามเมื่อใด ก็จะรู้สึกว่าน่าเอ็นดูยิ่งนักเพคะ”

 

 

ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยมีใครรู้นิสัยติดตัวในส่วนนี้ของบินซอง มันเป็นสิ่งที่ถ้าจะเห็นได้ต้องคอยเฝ้ามองบินซองทุกย่างก้าว

 

 

“เขามักจะทำอะไรเพื่อหม่อมฉันเสมอเลย แต่ก็มีบางครั้งที่ไม่เป็นไปตามที่เขาตั้งใจ หากทำได้เขาจะรู้สึกภาคภูมิใจ และโอ้อวดมันเสียใหญ่โต นั่นก็ถือว่าน่าเอ็นดูนักเพคะ ทว่าเวลาที่ผิดหวังแล้วทำบึ้งตึง ก็น่าเอ็นดูเช่นเดียวกัน”

 

 

จากนั้นฮเยจินก็เอาแต่พูดถึงลักษณะนั่นนี่ของบินซองมากมาย ทั้งอารมณ์ดีใจ โกรธ เศร้า สุข ทั้งพฤติกรรมและท่าทาง ล้วนแล้วแต่ดูน่ารักในสายตาของฮเยจินทั้งสิ้น

 

 

 

 

——

 

 

[1] ฤดูร้อนของเขตอบอุ่น เช่น เกาหลี, จีน จะอยู่คนละช่วงกับฤดูร้อนของไทยซึ่งเป็นเขตร้อน และมีสภาพอากาศค่อนข้างต่างกัน โดยของไทยนั้น ฤดูร้อนจะถูกจัดไว้ในหน้าแล้ง แต่ฤดูร้อนของเขตอบอุ่นจะค่อนข้างชื้นกว่า คล้ายๆ ฤดูฝนของไทย โดยเฉพาะในช่วงก่อนฝนตก