ตอนที่ 37-2 ลางสังหรณ์

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

“พอฟังดูแล้ว เหมือนชายาจะทรงมองว่าทุกการกระทำขององค์เซจา ดูน่าเอ็นดูไปเสียหมดนะเพคะ”

 

 

“ใช่แล้วเพคะ ทุกอย่าง ล้วนน่าเอ็นดูทั้งสิ้น” ฮเยจินยอมรับ

 

 

แม้ตอนแรกจะฟังดูน่าตกใจ แต่พอกโยซึลได้ลองฟังเรื่องที่ฮเยจินเล่า นางก็รู้สึกได้ว่าการที่มองทุกอย่างของอีกฝ่ายว่าน่าเอ็นดูได้นั้น เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมและน่าอิจฉานัก หากจะมีใครสักคนที่มองตนเช่นนี้บ้าง คงจะเป็นเรื่องยาก

 

 

เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับที่เยจินอายุมากกว่าบินซอง หรือนี่จะเป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ในขณะที่กโยซึลกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ฮเยจินที่กำลังอวดบินซองไปเรื่อย จนตัวเองสบายใจแล้ว อยู่ๆ ก็ถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน ไม่รู้ว่านี่เป็นการเปลี่ยนเรื่องคุย หรือว่าเป็นการต่อบทสนทนาเดิมกันแน่

 

 

“วันนี้ดูเหมือนว่าองค์ฮวางเซจาจะไม่เสด็จมานะเพคะ”

 

 

“ปกติพระองค์ทรงงานยุ่งนี่เพคะ”

 

 

กำลังคุยเรื่องความรักของฮเยจินกับบินซองอยู่ดีๆ อยู่ๆ นางก็พูดถึงรูแฮ กโยซึลก็รู้สึกใจหายขึ้นมาทันที ฮเยจินจับได้แล้วหรืออย่างไรนะ มีอะไรไม่แนบเนียนหรือไม่ ไม่สิ เพราะรูแฮเป็นพ่อทูนหัวของลูกในท้องนาง เขาจึงต้องมาที่ตำหนักบุกบีเหมือนกันกับกโยซึล ดังนั้นฮเยจินคงเพียงแค่สงสัยที่ไม่เห็นเขามาในวันนี้ก็เท่านั้น

 

 

“องค์รัชทายาททั้งสี่ที่ทรงต้องช่วยองค์จักรพรรดิบริหารงานราชการ ล้วนงานยุ่งกันทั้งหมดมิใช่หรือเพคะ”

 

 

“หม่อมฉันก็คิดอย่างนั้นเช่นกันเพคะ” ฮเยจินตอบอย่างเห็นด้วยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

 

 

กโยซึลผู้ที่โต้ตอบบทสนทนาอย่างกระตือรือร้น เมื่อตอนพูดถึงบินซอง ในตอนนี้กลับหลบสายตาลง และปิดปากเงียบ ฮเยจินเฝ้าดูท่าทีของกโยซึลและถามออกไปว่า

 

 

“การที่องค์ฮวางเซจาอยู่ที่นี่ด้วยนั้น ไม่ได้ทำให้พระองค์ทรงไม่สบายใจใช่หรือไม่เพคะ”

 

 

“ไม่นะเพคะ หม่อมฉันหาได้ไม่สบายใจไม่เพคะ”

 

 

คำถามในรอบนี้ของฮเยจินเองก็ทำให้กโยซึลใจหายใจคว่ำเช่นกัน กโยซึลถึงกับรีบโบกมือปฏิเสธทันควัน นางแทบอยากสบถออกมา ไม่แน่ใจว่าครั้งนี้ตนมีปฏิกิริยาที่รุนแรงเกินไปหรือไม่ กับการแสดงออกว่าไม่ได้ไม่สบายใจ กโยซึลรู้สึกเคอะเขินเป็นอย่างมากที่ตนลนลานเช่นนั้น

 

 

‘ชายาเซจาทรงหูตาไวกว่าที่พระชายาคิดนะขอรับ’

 

 

อยู่ๆ คำเตือนของรูแฮก็ผุดขึ้นมา หรือว่าจะไม่แนบเนียนจริงๆ  หรือว่านางจะมองออกแล้ว ในหัวของกโยซึลมีแต่ความสับสนวุ่นวาย หัวใจก็รู้สึกหนักอึ้ง ในสถานการณ์เช่นนี้ กโยซึลได้คิดทบทวนว่าความสัมพันธ์ของตนกับรูแฮนั้นมันยากลำบากเพียงใด

 

 

คงต้องเอาแต่คอยระมัดระวังต่อสายตาของผู้อื่นอยู่ร่ำไป

 

 

หากตนยอมจับมือเขา ดังที่เขาปรารถนา

 

 

“น้ำชาจะเย็นเอานะเพคะ”

 

 

กโยซึลยกถ้วยชาขึ้นมาอย่างจิบเก้อเขิน

 

 

***

 

 

กโยซึลจบการจิบชากับฮเยจิน นางลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ออกไปจากตำหนักบุกบี ขณะนั้นพลันมีเสียงที่คุ้นเคยไล่หลังมา

 

 

“เสด็จกลับไวนะขอรับ”

 

 

เมื่อหันไปมองก็พบว่าเป็นรูแฮตามคาด

 

 

“วันนี้ คิดว่าพระองค์จะไม่มาเสียแล้ว”

 

 

“วันนี้งานราชการค่อนข้างวุ่นวายจึงมาช้าขอรับ”

 

 

“วันนี้เราไม่ได้มาพร้อมกับพระองค์ เช่นนั้นเราคงจะไม่ต้องรู้สึกผิดแล้วที่ต้องรบกวนการทำหน้าที่พ่อทูนหัวของพระองค์”

 

 

“ อันที่จริงจะรบกวนก็ได้นะขอรับ”

 

 

กโยซึลประหลาดใจกับปฏิกิริยาที่ไม่คาดคิดจากรูแฮ นางเบิกตากว้าง

 

 

“แม้จะเพียงแค่เห็นผ่านๆ แต่แค่ได้เห็นหน้าพระชายา กระหม่อมก็พอใจแล้วขอรับ”

 

 

“หมายความว่าอย่างไรกัน”

 

 

“หมายความว่า กระหม่อมรู้สึกดีใจที่เราได้พบกันบ่อยๆ เช่นนี้”

 

 

คำว่าดีใจนั้น เขาพูดออกมาด้วยเสียงที่ดังนัก รูแฮเอาแต่จ้องมองใบหน้าของกโยซึลด้วยสายตา และรอยยิ้มหยาดเยิ้ม สิ่งนี้รังแต่จะประทับร่องรอยฝังลึกในจิตใจ กโยซึลเองก็เอาแต่สะบัดหัวไปมาอยู่ในใจ ที่เขาพูดนั้นหมายความว่าสถานการณ์ที่ได้พบกันอย่างนี้ช่างดีนัก แต่นั่นก็หมายความว่าเขาพอใจกับมัน หลบเลี่ยงไปก็ไร้ความหมาย

 

 

กโยซึลจึงกล่าวตำหนิเขาด้วยท่าทีที่สุภาพ “ทรงเคยเตือนเราว่าระวังจะถูกจับได้ แต่กลับตรัสอะไรตามพระทัยเสียเหลือเกินนะเพคะ”

 

 

“ก็ในตอนนี้ไม่มีผู้ใดมองพวกเราอยู่ไม่ใช่หรือขอรับ”

 

 

“เจ้าเล่ห์นัก”

 

 

“แม้ในราชสำนักมีสายตาคอยมองอยู่มากมาย ทว่าในเวลาที่ไม่มีผู้ใดมองอยู่ จะทำสิ่งก็ได้ขอรับ เดิมทีราชสำนักก็กว้างใหญ่นัก ต่อให้เกิดอะไรที่ตรงจุดนี้ก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้หรอกขอรับ ต่อให้กระหม่อมจะหกสูงแล้วล้ม ก็จะไม่มีผู้ใดมาเยาะเย้ย แล้วนินทาให้เป็นข่าวลือหรอกขอรับ”

 

 

“หกสูงหรือเพคะ”

 

 

อยู่ๆ รูแฮก็พูดถึงการหกสูงขึ้นมา ครั้นเมื่อกโยซึลถามกลับไปด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ รูแฮก็ตอบกลับมาอย่างเคอะเขินว่า “การหกสูง คือสิ่งที่กระหม่อมทำได้ไม่ดีที่สุดน่ะขอรับ”

 

 

“อะไรกันเพคะ!” กโยซึลไม่ทันระวังตัว จึงหัวเราะออกไปกับมุกที่ไร้สาระของรูแฮ

 

 

“ทรงหัวเราะแล้ว”

 

 

“ว่าอย่างไรนะเพคะ” กโยซึลมองรูแฮด้วยดวงตากลมโต

 

 

“พระชายาทรงหัวเราะอย่างสดใสมากขอรับ”

 

 

รอยยิ้มของรูแฮสดใสยิ่งกว่า มันสว่างไสวราวกับดวงอาทิตย์จนแสบตา ไม่ต่างกับการมองดูดวงอาทิตย์ หากหลับตาลงเมื่อใดก็ดูเหมือนว่าจะนึกถึงรอยยิ้มของเขาที่ตราตรึงอยู่ทุกครั้ง

 

 

“เราต้องขอตัวก่อน” กโยซึลตั้งใจจะหลีกออกไป

 

 

“เดี๋ยวก่อนขอรับ” ตอนนั้นเองรูแฮก็ขยับเข้าไปใกล้กโยซึล

 

 

อีกแล้วหรือ กโยซึลคาดเดาบางอย่าง พลางห่อไหล่และหลับตาแน่น เหตุเพราะเมื่อวันก่อน ที่หน้ากำแพงตำหนักบุกบีนั้น ได้เกิดความใกล้ชิดที่เหมือนจะได้สัมผัสกัน แต่ก็ไม่ได้สัมผัสกันขึ้น

 

 

“หากทรงคาดหวังถึงเพียงนี้ กระหม่อมก็อยากจะตอบสนองนะขอรับ”

 

 

“ค คาดหวังอันใดกันเพคะ!” กโยซึลลืมตาขึ้นมาด้วยความตกใจ

 

 

ส่วนรูแฮก็ยืนอยู่ตรงหน้านางอย่างสงบเสงี่ยม ในครั้งนี้นั้นไม่มีการเข้ามาใกล้ และไม่ได้กระทำการใดที่คล้ายจะโอบกอดกโยซึลไว้เลย แต่เขากลับยื่นจดหมายฉบับหนาให้นางแทน

 

 

“ตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกับพระชายา กระหม่อมก็ได้เขียนความรู้สึกและความทรงจำเอาไว้ในนี้อย่างตรงไปตรงมา ทรงเคยถามใช่หรือไม่ ว่าเหตุใดกระหม่อมจึงไม่บอก เหตุใดถึงได้หลอกลวง ในจดหมายนี้มีคำตอบทั้งหมดนั่นขอรับ รวมถึงความรู้สึกเล็กน้อยของกระหม่อม ที่พระชายาคงไม่น่าจะทรงสนพระทัยด้วย”

 

 

จดหมายนั้นค่อนข้างใหญ่และหนา ดูเหมือนว่าจะประกอบด้วยกระดาษวาดรูปแผ่นใหญ่หลายแผ่นซ้อนกัน กโยซึลค่อยๆ ยืนมือออกไปรับอย่างช้าๆ ราวกับว่ามันเป็นสิ่งของอันตรายก็มิปาน แม้กระทั่งปลายนิ้วก็สัมผัสกับมันอย่างยากเย็น

 

 

หากรับมันมา สิ่งต่างๆ มากมาย ในตอนนี้ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไป นางวิตกกังวลว่าตนจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไปแล้ว ทว่าความกลัวก็ไม่อาจหยุดยั้ง ‘ความรู้สึก’ ที่ค่อยๆ เติบโตขึ้นได้