หลังจากที่ต้องอดหลับอดนอนเพื่อเขียนความในใจลงไปในกระดาษวาดรูปนั้น ในที่สุดรูแฮก็ได้ส่งมอบมันให้แก่กโยซึลเสียที เขาแอบนำจดหมายฉบับหนานี้มาด้วยทุกครั้งที่ตนมายังวังเหนือ แล้วในที่สุดทบจดหมายนี้ก็ได้ถูกยื่นออกไปให้กโยซึล
“ตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกับพระชายา กระหม่อมก็ได้เขียนความรู้สึกและความทรงจำเอาไว้ในนี้อย่างตรงไปตรงมา ทรงเคยถามใช่หรือไม่ ว่าเหตุใดกระหม่อมจึงไม่บอก เหตุใดถึงได้หลอกลวง ในจดหมายนี้มีคำตอบทั้งหมดนั่นขอรับ รวมถึงความรู้สึกเล็กน้อยของกระหม่อม ที่พระชายาคงไม่น่าจะทรงสนพระทัยด้วย”
กโยซึลขมวดคิ้วมุ่น นางเอาแต่จ้องมองไปยังทบกระดาษหนานั่นอย่างเคร่งเครียด ส่วนรูแฮเองก็เอาแต่จ้องมองกโยซึลที่มีทีท่าเช่นนั้น
แม้สีหน้าเคร่งเครียดเช่นนั้น สำหรับเราก็ยังดูน่าเอ็นดูหรือนี่ อาการหนักเสียแล้ว
แม้จะคิดว่านางดูเคร่งเครียด แต่รูแฮก็หลุดขำออกมา “จะทรงรับไว้หรือไม่ขอรับ”
“ม ไม่เพคะ!”
กโยซึลตอบออกไปอย่างรีบร้อน จากนั้นก็เม้มริมฝีปากของตน สีหน้าของนางแสดงออกถึงความเขินอายกับการพูดออกไปโดยไม่ทนคิดและกำลังต่อว่าตัวเองอยู่
“ถ้าทรงต้องการให้มันกับเรา เราย่อมเห็นความตั้งใจ จะรับมันไว้ก็ได้”
เป็นการพยายามพูดอ้อมๆ รูแฮพยายามอย่างมากที่จะไม่หัวเราะออกมา กโยซึลขบฝีปากของตนเบาๆ ปลายนิ้วที่ค่อยๆ ยื่นออกไปอย่างช้าๆ นั้น คล้ายกับความเร็วของการผุดขึ้นมาของใบอ่อนของต้นไม้ในฤดูใบไม้ผลิ หลังจากลังเลอยู่นานสองนาน ในที่สุดกโยซึลก็สัมผัสจดหมายด้วยปลายนิ้วของนาง
ในชั่ววินาทีนั้นรูแฮก็รู้สึกได้ถึงความวูบวาบที่ปลายนิ้วของเขา ความวูบวาบนั้นแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว ความคิดที่ว่าการได้ดื่มน้ำเย็นที่มีน้ำแข็งลอยอยู่ในหน้าร้อน แล้วรู้สึกสดชื่นนั้นเป็นเช่นนี้หรือไม่ ผุดขึ้นมาแวบหนึ่ง ร่างกายที่หนาวเหน็บในช่วงฤดูหนาว เมื่อได้เข้าไปในห้องที่มีเตาผิงให้ความอบอุ่น มันจะให้ความรู้สึกเช่นนี้หรือไม่ ไม่สิ ไม่ว่าจะยกสถานการณ์แบบใดมาเปรียบ มันก็เทียบกันไม่ได้อยู่ดี มันเป็นความรู้สึกแปลกประหลาด ที่มีทั้งความสุขและความโล่งใจผสมกันอยู่ จนไม่สามารถอธิบายได้ มันยากนักที่จะเอื้อมมือออกไป ทว่าเมื่อมือของกโยซึลสัมผัสกับจดหมายนั้น นางก็รีบคว้ามันมากอดไว้อย่างรวดเร็ว ราวกับว่าเป็นการหลบเลี่ยงไม่ให้ใครรู้
“ต้องทรงอ่านทั้งหมดอย่างละเอียดนะขอรับ”
รูแฮเอ่ยกำชับในขณะที่ไม่อาจเก็บซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ได้ แม้จะเป็นเพียงการรับจดหมายเอาไว้ แต่หน้ากโยซึลก็ดูแดงขึ้นมาก รูแฮที่เห็นหน้าแดงๆ นั้น ก็อยากที่จะแกล้งหยอกเย้า แต่ความตึงเครียดที่แทบจะปะทุออกมา มีอยู่มากพอแล้ว เขาจึงต้องล้มเลิกความคิดไม่เข้าท่านั้นไปเสีย
หากตนเผลอทำสิ่งใด แล้วเกิดล้ำเส้นเกินกว่าที่กโยซึลจะรับได้ขึ้นมา จะไม่เป็นการดี ท่าทางผ่าเผยและบึ้งตึงที่มาพร้อมความหน้าแดงของนางนั้น ดูน่าเอ็นดูนักสำหรับรูแฮ แต่เขาก็ยังอยากเห็นหน้าโยซึล
มากยิ่งขึ้น กโยซึลยังคงเขินและ เม้มปากไปมาราวกับกระต่าย
“ทรงเขียนทั้งหมดเลยหรือไม่เพคะ”
“ทั้งหมดหรือขอรับ”
“กระดาษน่ะเพคะ แค่สงสัยว่าทรงเขียนเต็มทุกหน้ากระดาษหรือไม่” คำถามนั้นค่อนข้างจะน่าประหลาดใจ แม้รูแฮจะไม่เข้าใจคำถามแต่เขาก็ตอบกลับไปอย่างซื่อตรง
“ขอรับ กระหม่อมอดหลับอดนอน และเติมเต็มกระดาษนี้อย่างช้าๆ ด้วยความพิถีพิถันเลยขอรับ”
“ดูเหมือนว่าจะทรงรวบรวมจดหมายที่ที่ผ่านทรงไม่สามารถเขียนสิ่งใดลงไปได้ไว้ทั้งหมดสินะเพคะ”
กโยซึลคาคคะเนความหนาของจดหมาย นางถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว กโยซึลยิ้มออกไปอย่างอ่อนหวานแกมหยอกล้อ
“ที่ว่าที่ผ่านมานั้น แสดงว่าจดหมายของกระหม่อมมาช้าเกินกว่าที่พระชายาคาดหวังไว้ใช่หรือไม่ขอรับ” รูแฮจะไม่อาจเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำพูดนางได้ จึงได้ลองคาดเดาออกไป กโยซึลรู้สึกวกระวนกระวาย จนเม้มริมฝีปากไปมา
“ค คาดหวังหรือ ทรงตรัสว่าตัวเราคาดหวังอะไรกันหรือ” กโยซึลจงใจพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม นางยกใบหน้าขึ้น แสร้งทำเป็นขึงขัง
“เราเพียงแค่ไม่อาจปฏิเสธความตั้งใจของฮวางเซจาได้เท่านั้น ไม่ได้มีความหมายอื่นใดซ่อนอยู่ ดังนั้นขอทรงอย่าได้คาดหวังอะไรลมๆ แล้งๆ”
“แน่นอนขอรับ ตัวกระหม่อมเองเพียงต้องการแก้ไขความเข้าใจผิดของพระชายา กระหม่อมไม่ได้มีเจตนาอื่นใดเช่นกันขอรับ” เขาตอกกลับท่าทีของนาง แต่การที่รูแฮตอบเช่นนั้น ทำให้กโยซึลไม่อาจซ่อนสีหน้าที่มีทั้งความผิดหวังและงุนงง
“เช่นนั้นโล่งอกไปทีเพคะ”
กโยซึลขบเม้มและคลายริมฝีปากสลับกันไปมา นางพยายามรั้งมือที่เอาแต่จะไปสัมผัสจดหมายไม่หยุด จนทำให้เกิดเสียงกระทบกับกระดาษดังกรอบแกรบ เห็นดังนั้นรูแฮจึงพูดเสริมเชิงล้อเล่นออกไปว่า
“ขอโปรดอย่าโยนมันทิ้งไปนะขอรับ”
“จะไม่มีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นแน่นอน”
“ขอบพระทัยขอรับ”
“แม้กระดาษเปล่าที่ไม่ได้เขียนอะไรไว้เลย เราก็ยังเก็บไว้ ดังนั้นขออย่าได้เป็นกังวล”
“ว่าอย่างไรนะขอรับ” รู้สึกเหมือนว่าบทสนทนาของเขาทั้งสองจะไม่ได้ในทิศทางเดียวกัน ทว่า
กโยซึลเองไม่ได้ให้โอกาสรูแฮในการไตร่ตรอง นางรีบหันหน้าหนีไป
“ถ้าเช่นนั้น เราขอตัวก่อน”
“ขอทรงดูแลตัวเองด้วยนะขอรับ”
รูแฮเฝ้ามองกโยซึลเดินจากไป จากนั้นก็เอียงศีรษะ หลังจากเฝ้ามองนางเดินจากไป เขาก็เดินทางกลับวังในที่สุด และระหว่างทางที่เขากำลังมุ่งหน้าไปยังวังใต้ของตนนั้น รูแฮก็ไม่อาจก้าวเดินอย่างสบายใจได้เลย เขาตกอยู่ในห้วงความคิดที่ลึกซึ้ง พลางก้าวเดินไปโดยใช้ความรู้สึกเคยชินนำทาง
“กระดาษเปล่าอะไรกัน” รูแฮบ่นพึมพำอยู่ซ้ำๆ คำที่ออกมาจากปากของกโยซึลนั้นติดตรึงอยู่ในหัวของเขา “ทรงเก็บรวบรวมอะไรเอาไว้กัน”
แม้เขาจะนั่งลงในห้องบรรทมแล้ว แต่ก็ยังคงยังครุ่นคิดถึงคำที่กโยซึลพูดออกมา รูแฮพูดทวนคำนั้นซ้ำไปซ้ำมา คำพูดของนางนั้นคือรหัสลับที่ยากยิ่ง ยากกว่าการอ่านพระธรรมให้เข้าใจ ยากกว่าการอ่านตีความข้อกฎหมายที่ยากนักของฝ่ายตุลาการ หรือแม้แต่ปัญหายุ่งยากในการบริหารราชการก็ยังง่ายกว่า หลังจากตรึกตรองอย่างหนัก ในที่สุดเขาก็ตีความออกมาได้หลายทาง
“หรือเป็นการให้คำมั่นว่าจะไม่ทิ้งสิ่งใดง่ายๆ กัน”
อาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้ แต่คำพูดของกโยซึลยังติดตรึงในหัวของเขาอย่างประหลาด ยกตัวอย่างเช่น การพูดและแสดงสีหน้าราวกับเป็นการบอกใบ้สิ่งใดให้แก่รูแฮอะไรประมาณนั้น แล้วเขาก็นึกถึงสายตาที่ส่งมาให้อย่างรวดเร็วราวกับต้องการจะสื่ออะไรบางอย่าง และก็นึกถึงรอยยิ้มเชิงหยอกล้อของนางที่เกิดพร้อมกับการเม้มปากไปมา ปนไปกับแก้มที่แดงของนาง
“พระชายาก็ทรงมักจะทำอะไรแปลกๆ อยู่แล้ว”
รูแฮสรุปอย่างนั้น ไม่แน่ว่าอาจเป็นเรื่องที่ตนคิดมากไปก็ได้ บางทีคำตอบที่ง่ายที่สุดอาจเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุด
“พระชายาช่างทำให้กระหม่อมคิดไม่ตกกับเพียงการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของพระองค์เสียจริง”
รูแฮหัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดี เขาปล่อยผ่านคำพูดที่ไม่อาจเข้าใจได้ของกโยซึลไปได้ในที่สุด รูแฮคิดว่ากโยซึลมักจะทำอะไรประหลาดๆ พลางหัวเราะไปด้วย