ทันทีที่ลืมตาขึ้นมาในตอนเช้า กโยซึลมักจะเปิดหน้าต่างออก มันกลายเป็นความเคยชินไปเสียแล้ว ทว่ามันหาได้เป็นการอาบแสงแดดหรือระบายอากาศแต่อย่างใด เมื่อเปิดหน้าต่างออก แล้วตรวจดูที่ขอบหน้าต่างด้านนอก ริมฝีปากของนางก็จะมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมา วันนี้ก็เป็นวันที่มีดอกไม้สีน้ำเงินวางไว้ที่ริมหน้าต่างอีกเช่นเคย
“เขาฝ่าน้ำค้างในตอนเช้ามืดเพื่อเอามาวาง แล้วจากไปเช่นนั้นหรือ”
กโยซึลโผล่ออกไปนอกหน้าต่างครึ่งตัว พลางมองไปรอบๆ นางลองจินตนาการถึงการเคลื่อนไหวของแขกลึกลับผู้นี้ เขาหลบเลี่ยงสายตาของข้ารับใช้ในตำหนักดงบี จากนั้นก็แอบวนไปทางข้างหลังเรือนหลัก แล้วก็มาวางดอกไม้ไว้ที่หน้าต่างแถบเดียวกับเตียงนอนของกโยซึล ซึ่งหน้าต่างดังกล่าวถือเป็นหน้าต่างที่ค่อนข้างอยู่ทางด้านในของห้องบรรทมอีกที
ความประหม่าในแต่ละย่างก้าวที่ต้องหลบหลีกสายตาของเหล่าข้ารับใช้ ไหนจะความยากลำบากในการค้นหาหน้าต่างที่ใกล้เตียงที่สุดทีละบาน ทั้งยังทุ่มเทไปหาดอกไม้งาม ที่ไม่ทราบชื่อมาให้ตนอีก พอคิดถึงแต่ละการกระทำ ก็ทำให้หัวใจสั่นไหวนัก ความรู้สึกอบอุ่นหัวใจแผ่ซ่านไปจนถึงริมฝีปากของกโยซึล
“ช่างเป็นคนที่น่าเอ็นดูเสียเหลือเกิน” กโยซึลหัวเราคิกคักออกมาโดยไม่รู้ตัว นางเบิกตาโต แล้วกดริมฝีปากของตนด้วยปลายนิ้ว
“น่าเอ็นดูอย่างนั้นหรือ สงสัยเราติดคำนี้มาจากชายาเซจาเป็นแน่”
นางเข้าใจดีว่าที่ชายาเซจาพูดว่าน่ารักนั้นเป็นอย่างไร เมื่อนึกถึงชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ที่กำลังใช้มือสัมผัสกับดอกไม้เล็กๆ ดอกนี้แล้ว ก็รู้สึกคันที่หัวใจยุบยิบ และคงไม่มีคำใดเหมาะสมไปกว่าคำว่าน่าเอ็นดูอีกแล้ว กโยซึลหยิบดอกไม้ที่ถูกวางไว้อย่างดีที่ขอบหน้าต่างขึ้นมา ที่ก้านของดอกซึ่งเหลือไว้เพียงไม่เกินนิ้วมือ มีกระดาษเปล่าผูกติดไว้เช่นเคย
“เมื่อวันก่อนเพิ่งให้จดหมายที่ยืดยาวถึงเพียงนั้นแก่เรามา แต่ก็ยังมีความในใจมากมายที่ไม่อาจถ่ายทอดออกได้มาได้อีกหรือ”
นางกระซิบกระซาบกับตัวเอง จากนั้นก็หยิบดอกไม้ขึ้นมา และเดินออกไปจากหน้าต่างอย่างร่าเริงราวกับกำลังเต้นรำอยู่มิปาน นางนั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือ พลางเปิดลิ้นชักชั้นล่างสุด ลิ้นชักนั้นจวนเจียนจะเต็มแล้วจากการที่มีดอกไม้ขนาดเล็กเท่านิ้วมืออยู่เต็มไปหมด เมื่อได้มองดูลิ้นชักที่ถูกย้อมด้วยสีน้ำเงินของดอกไม้แล้ว กโยซึลก็รู้สึกสุขใจยิ่งนัก
ดอกไม้หนึ่งดอกแทนช่วงเวลาที่เขาคิดถึงนาง ทุกช่วงเวลาที่เขาคิดถึงนางก็ถูกรวบรวมไว้เป็นกองสีน้ำเงินเช่นนี้ สามารถมองเห็นมันได้ด้วยตาอย่างชัดเจน
“วันนี้เขาจะมาหรือไม่”
กโยซึลไปที่ตำหนักบุกบีทุกวัน แต่ไม่กี่วันหลังจากรับจดหมายนั้นมาแล้ว นางก็ไม่ได้พบรูแฮที่นั่นอีกเลย ฮเยจินส่ายหน้าเมื่อกโยซึลลองแอบถามถึงเขาดู ดูเหมือนว่าเขาจะยุ่งด้วยงานราชการอีกแล้วสินะ กโยซึลที่เผลอไปคิดกังวัลก็ชะงักงัน และได้สติขึ้นมา “ทำแบบนี้สมควรแล้วอย่างนั้นหรือ”
ครั้นพอเมื่อมีความสุข ก็มักจะมีความวิตกกังวลเข้ามาด้วย นางรู้สึกผิดในใจ ไม่แน่ใจว่าตนสามารถชื่นชอบเขาอย่างเงียบๆ ต่อไปเช่นนี้ได้หรือไม่ กโยซึลมองเข้าไปในลิ้นชักด้วยใจที่สับสน นางขมวดคิ้วและกระตุกริมฝีปาก จากนั้นก็หลับตาแน่นสนิท แล้วปิดลิ้นชักลง
ปัง แม้จะปิดลิ้นชักเสียงดังไปแล้ว แต่กโยซึลก็ไม่อาจละมือจากที่จับออกมาได้ นางส่งแรงไปที่มือมากขึ้น จนปลายนิ้วซีดขาว
“เราคือพระชายาเอกแห่งองค์ฮวางแทจา” นางเม้มปากแน่น พลางปล่อยมือลง จากนั้นก็ลืมตาขึ้น แต่หลังจากลืมตาขึ้นมาแล้ว นางก็รู้สึกถึงสิ่งที่ทำให้ใจสลายขึ้นมาอีกครั้ง
“ทำไมกัน”
ตาของกโยซึลร้อนผ่าว นางทำใจให้สงบอย่างสุดกำลัง จากนั้นจึงละมือออกมาจากที่จับลิ้นชักนั้น เมื่อลืมตาขึ้นมาแล้ว สิ่งที่เข้ามาในสายตาของนางก็ไม่ใช่สิ่งอื่นใจนอกจากจดหมายหนาๆ พวกนั้นนั่นเอง แม้จะดูเหมือนคนโง่ แต่นางก็อ่านจดหมายนั้นซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง แม้จะอ่านความในใจของเขาที่มีอยู่เต็มหน้ากระดาษนั้นอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็มันก็ยังไม่พอ นางจึงวางมันไว้บนโต๊ะหนังสือ และนำมาอ่านพิจารณาแล้วพิจารณาอีกเมื่อมีเวลาว่าง ช่วยไม่ได้ที่มือของนางมักจะอยากเอื้อมไปหามันอยู่เสมอ
“เป็นเช่นนั้นนี่เอง” เขาเองก็หวาดกลัวกับความสัมพันธ์ระหว่างชายาฮวางแทจากับตัวฮวางเซจาเช่นกัน “เขาไม่ได้จงใจจะหลอกเรา”
หลังที่ได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา ตนก็ไม่ถามอะไรเลย เอาแต่โกรธเคือง นางรู้สึกละอายใจที่ตนทำเช่นนั้น
“แต่ว่าจะให้ทำอย่างไรกัน”
แม้จะให้จดหมายมา มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร จะมีก็แต่ความรู้สึกห่างไกลที่หนักอึ้งของความสัมพันธ์ที่จะชัดขึ้นเพียงเท่านั้น
เท่าหัวใจของเขา เท่าความจริงใจ และช่วงเวลาที่คิดกังวล
กโยซึลหยิบจดหมายนั้นขึ้นมา แม้พยายามที่จะไม่อ่านความในใจที่ทำให้หัวใจสะท้านนี้เท่าใด แต่กโยซึลก็ยังหยิบจดหมายนั้นขึ้นมาอยู่ดี นางพับจดหมายเก็บ หนึ่งทบ สองทบ จากนั้นก็เปิดลิ้นชักที่เต็มไปด้วยดอกไม้นั้นออกมา นางค่อยๆ วางจดหมายหนานั้นลงบนกองดอกไม้อย่างระมัดระวัง และความทุกข์ใจของนางก็ยังคงดำเนินต่อไป นางต้องปิดลิ้นชักนั้นอีกครั้ง เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่นางต้องทุกข์ทรมานต้องโต้เถียงกับตนเองอย่างหนัก
“พระชายา! พระชายากโยซึลเพคะ!”
แม่นมวิ่งเข้ามาในห้องด้วยเสียงเอะอะโวยวาย กโยซึลรีบปิดลิ้นชักโดยที่ไม่มีเวลาให้คิดไตร่ตรองใด เป็นเวลาเดียวกันกับการที่ได้รับฟังข่าวที่จะทำให้หมดแรงจากปากของแม่นม
“พระชายาเซจาทรงหมดสติไปเพคะ!”
“อะไรนะ! หมดสติหรือ ไม่กี่วันก่อนเราเพิ่งไปตำหนักบุกบีมา นางยังดูสุขภาพดีอยู่เลย”
“พระชายาเพคะ โอ้ พระชายา เราจะทำอย่างไรดีเพคะ”
“ทำไมกัน มันเกิดอะไรขึ้นหรือ”
แม่นมจับมือกโยซึลด้วยความกังวลใจและไม่สามารถสงบใจลงได้ นางเลียริมฝีปากของตนด้วยลิ้น เพราะมันยากที่จะถ่ายทอดออกมาได้
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง…”
***
ในวันนี้รูแฮเองก็อยู่ที่ห้องของตน เนื่องจากมีคำอุทธรณ์ต่างๆ ที่ต้องจัดการมากมาย จึงยากที่จะลุกจากที่นั่งไปได้ แม้ในใจอยากที่จะรีบไปตำหนักบุกบีเพื่อพบหน้ากโยซึลมากเท่าใด แต่มันก็เป็นไปไม่ได้เลย
“โชคดีที่แบ่งเวลาไปมอบจดหมายให้พระชายาได้สำเร็จ”
โชคดีที่ได้มีโอกาสไปพบนางที่วังเหนือ โชคดีที่งานราชการเพิ่งจะมายุ่ง หลังได้ส่งมอบจดหมายนั้นไปแล้ว โชคดี และโชคดียิ่งนัก ที่จริงแล้วเขาเพียงพูดว่าโชคดีเพื่อกลบความคิดถึงต่างหาก ในขณะที่รูแฮกำลังยุ่งกับงานราชการอย่างสุดขีดอยู่นั้น
“ฝ่าบาทฮวางเซจาพ่ะย่ะค่ะ!”
ขันทีนายหนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างกระทันหันด้วยเสียงตะโกนที่ดังลั่น รูแฮมองไปยังประตูด้วยสีหน้าสงสัย พลันทหารราชองครักษ์ก็เข้ามาอย่างกะทันหัน ก่อนหน้าขันที พวกเขาหยาบคายไม่รักษามารยาทใด และตะโกนออกมาเสียงดังว่า
“จับกุมฮวางเซจา!”