ตอนที่ 39-1 การสืบสวน

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

“จับกุมฮวางเซจา!” ราชองครักษ์ตะโกนออกมา ขันทีนายหนึ่งวิ่งเข้ามาราวกับจะหมดแรงล้มลง เขาเข้ามายืนบังข้างหน้ารูแฮเอาไว้

 

 

“กล้าดีอย่างไร ที่มาทำเสียมารยาทต่อฝ่าพระบาทฮวางเซจาเยี่ยงนี้!”

 

 

“ถอยไปเถิด”

 

 

“กล้าดีอย่างไร ทราบหรือไม่ว่าท่านผู้นี้คือใคร!”

 

 

“ขันทีจาง”

 

 

รูแฮผายมือทั้งสองข้างออกไปแตะบ่าของขันทีนายนั้นที่ขัดขวางทหารราชองครักษ์อย่างเอาเป็นเอาตาย ขันทีนายนั้นจึงหันมามองรูแฮด้วยใบหน้าซีดเผือด รูแฮยืนขึ้นอย่างสง่าผ่าเผยด้วยใบหน้านิ่งสงบ

 

 

“ไม่เป็นไร ขันทีจาง ถอยไปเถิด”

 

 

“ฝ่าพระบาทองค์ฮวางเซจา ทว่า”

 

 

“ขันทีจาง คนเหล่านี้คือทหารราชองครักษ์”

 

 

ราชองครักษ์คือทหารที่ทำหน้าที่ปกป้องพระราชวัง และเป็นกองทหารขององค์จักรพรรดิ ผู้ที่สั่งให้ทหารเหล่านี้กระทำการได้ มีเพียงผู้เดียวเท่านั้น นั่นก็หมายความว่าการกระทำนี้คือพระประสงค์ขององค์จักรพรรดิ ขันทีจางส่ายหัวด้วยตัวสั่นเทา แต่เขาก็ไม่อาจต้านทานแรงผลักเบาๆ ที่ไหล่ ของรูแฮได้

 

 

“ฝ่าบาทฮวางเซจาพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ขันทีจาง ตะโกนราวกับจะร้องไห้ออกมา ทิ้งตัวลงนั่งที่พื้น แล้วก้มหน้าผากลงจรดพื้น

 

 

“ฝ่าพระบาทฮวางเซจาพ่ะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมขอรบกวนพระองค์สักครู่พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

แม้ในสถานการณ์ตึงเครียดเช่นนี้ ทหารราชองครักษ์ก็ยังรักษามารยาทและทำความเคารพ รูแฮไม่ได้หวั่นไหวเลยแต่น้อย เขารักษาความนิ่งสงบไว้ พลางมองไปยังทหารเหล่านั้น

 

 

“การที่ต้องให้ราชองครักษ์มาจับกุม แสดงว่าต้องเป็นเรื่องร้ายแรงมาก เกิดเรื่องอะไรขึ้นในราชสำนักอย่างนั้นหรือ”

 

 

“กระหม่อมไม่อาจทูลแจ้งล่วงหน้าระหว่างที่คุมตัวพระองค์ไปได้พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“เรายินยอมไปกับพวกท่านแต่โดยดี แม้แต่ความผิดก็แจ้งไม่ได้เลยหรือ”

 

 

เชือกมัดนักโทษสีแดงของทหารเหล่านั้นถูกใช้มัดรอบต้นแขนของรูแฮ มันโอบรัดวนไปรอบอก ต้นแขน จนถึงไหล่ของเขา ลามไปจนถึงข้อมือ มันถูกผูกด้วยเงื่อนแบบพิเศษ ทหารเหล่านั้นจับกุมรูแฮด้วยความรวดเร็วและเชี่ยวชาญยิ่ง หัวหน้าของพวกเขาพิจารณาดูความสงบนิ่งของรูแฮแล้วพูดว่า

 

 

“ความผิดฐานวางแผนก่อกบฏพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ม่านตาของรูแฮหรี่เล็กลงไปชั่วขณะ เป็นข้อหาที่ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย กบฏอย่างนั้นหรือ รูแฮคนนี้เป็นกบฏเช่นนั้นหรือ ใบหน้าของเขาดูแข็งกระด้างขึ้นชั่วขณะ แล้วเขาก็ขยับมุมปากพูดอย่างนิ่มนวล

 

 

“ขันทีจาง”

 

 

“ฝ่าบาทฮวางเซจาพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีผู้นั้นก้มลงที่พื้นอีกครั้ง เขาร้องคร่ำครวญจนน้ำตาไหลพราก

 

 

“อย่ากังวลไปเลย เราจะรีบกลับมา”

 

 

“นี่มันสายฟ้าฟาดในวันแจ่มใสอะไรกันนี่ ฝ่าบาทฮวางเซจาใยจึงได้ถูก…”

 

 

“ถึงได้บอกว่าเราจะรีบกลับมาอย่างไรล่ะ” รูแฮจงใจยิ้มอย่างสบายๆ ความสงบนิ่งของรูแฮนั้น ทำให้เหล่าทหารที่เคยมีท่าทีแข็งกระด้าง อ่อนลงไปได้

 

 

“เชิญเสด็จพ่ะย่ะค่ะ” ทหารราชองครักษ์สองนายยืนประกบรูแฮไว้ทั้งสองข้าง พวกเขาจับที่ต้นแขน แล้วพารูแฮเดินออกไป

 

 

“ฝ่าพระบาทองค์ฮวางเซจา!” ขันทีจางคลานเข่าตามรูแฮออกไป

 

 

รูแฮยิ้มให้เขา แล้วพยักหน้าให้ รูแฮก้าวออกจากตำหนักนัมชอนด้วยความสง่าผ่าเผย เวลานั้นคือก่อนที่ดวงอาทิตย์ร้อนแรงแห่งฤดูร้อนจะอยู่กลางศีรษะเสียด้วยซ้ำ รูแฮเอียงคอแหงนขึ้นมองดวงอาทิตย์

 

 

กบฏเช่นนั้นหรือ

 

 

แม้รูแฮจะแสร้งทำเป็นมั่นใจเพื่อปลอบขวัญขันทีจาง ทว่าในใจของเขากลับวุ่นวายไปหมด แต่ก็ยังต้องรักษาท่าทีที่องอาจเช่นนี้เอาไว้

 

 

หากไปถึงคงจะได้รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร เพราะเราหาได้เคยก่อกบฏไม่

 

 

รูแฮปลอบใจตัวเอง พยายามก้าวเดินออกไปทั้งที่ขาสั่นระริก เขาไม่สามารถทำเป็นไม่สนใจสายตาของทหารราชองครักษ์ได้เลย รูแฮพยายามกดความรู้สึกว้าวุ่นและตกใจลงไป เขากำลังถูกพาไปยังพระราชวังกลาง

 

 

***

 

 

การไต่สวนเริ่มขึ้น ณ พระราชวังกลาง ศาลหลวงชั่วคราวได้ถูกตั้งขึ้น ณ กรมราชองครักษ์ซึ่งเป็นหน่วยงานส่วนกลางของเหล่าราชองครักษ์ รูแฮถูกล้อมไปด้วยทหารราชองครักษ์ ขณะถูกพาไปยังศาลหลวงนั้น เหล่าทหารให้รูแฮคุกเข่าลงที่พื้นดิน เสื้อผ้าที่ทำจากผ้าแพรเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบฝุ่น รูแฮกัดฟันกรามแน่น พลางส่งสายตาแน่วแน่

 

 

เราไม่มีความผิด

 

 

ไม่รู้เลยว่าตอนนี้กำลังอยู่ในสถานการณ์ใด แต่หากข้อหาคือกบฏ ตนก็ไม่ได้กังวลเลยสักนิด รูแฮเงยหน้าขึ้นอย่างใจเย็น เขามองไปยังบัลลังก์สูงขึ้นไปข้างหน้าเหนือขั้นบันได

 

 

หากเป็นข้อหากบฏ องค์จักรพรรดิจะต้องทรงลงมาไต่สวนเองเป็นแน่

 

 

รูแฮมั่นใจว่าออฮยูลเจจะมาทำการไต่สวนด้วยตัวเองอย่างแน่นอน และเพื่อทำให้เขาเห็นว่าตนไม่ได้กลัวความผิด จึงต้องรักษาสีหน้ามั่นใจเอาไว้ ทว่าหลังจากได้เห็นผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์แล้ว รูแฮก็เกิดอาการกระสับกระส่ายไปชั่วขณะ เป็นบีพาอันที่นั่งอยู่บนบัลลังก์นั้น

 

 

“ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก ที่เราได้มาพบเจ้า ณ ที่แห่งนี้” บีพาอันพูดคำหวานด้วยน้ำเสียงเนิบๆ และเย็นชา รูแฮขบกรามแน่น

 

 

“ฝ่าพระบาทฮวางแทจา”

 

 

รูแฮไม่ได้ก้มหัวหรือแม้แต่ลดสายตาลงต่ำ เขามองตรงไปยังบีพาอัน พลางร้องเรียกบีพาอันราวกับต้องการทักทาย

 

 

“การไต่สวนนี้จะดำเนินการด้วยการสืบสวน ฮวางเซจาผู้รับผิดชอบฝ่ายตุลาการได้ถูกจับกุมในข้อหากบฏ ข้าฮวางแทจา ขอไต่สวนเจ้าในนามขององค์จักรพรรดิ”

 

 

บีพาอันทำเป็นไม่ได้ยินเสียงรูแฮ พลางทำการเปิดการไต่สวน ที่บันไดของกรมราชองครักษ์มีธงหลายผืนประดับไว้ ณ บนที่นั้นมีเก้าอี้อยู่หลายตัวด้วยกัน โดยบีพาอันนั่งอยู่บนบัลลังก์ตรงกลาง ข้างหลังเขามีอาลักษณ์นั่งอยู่กับโต๊ะ คอยจดบันทึกการไต่สวนนี้ ข้างซ้ายและขวามีเสนาบดีฝ่ายทหารและพลเรือน เสนาบดีฝ่ายตุลาการ นายพลราชองครักษ์ และอีกมากมาย นั่งประจำที่อยู่ ส่วนรูแฮนั่งคุกเข่าอยู่ที่ลานของกรมราชองครักษ์ล่างลงมาจากบันไดนั้น รอบๆ ลานมีทหารราชองครักษ์ยืนเข้าแถวล้อมรอบเอาไว้

 

 

ความร้อนแผดเผาต้นคอของรูแฮ กรมราชองครักษ์ ไม่สิ ศาลหลวงชั่วคราวมีบรรยากาศที่ตึงเครียดและเงียบงัน ไม่ต่างกับบรรยากาศของตำหนักดงชอนเลย การดำรงอยู่ของบีพาอันนั้น เปลี่ยนได้แม้ความหนาแน่นของมวลอากาศ บรรยากาศเงียบสนิททำให้รูแฮแทบหายใจไม่ออก เขาถูกจับมาราวๆ สองเค่อ (30 นาที) ได้แล้ว รูแฮไม่รู้ว่าที่ถูกจับในข้อหากบฏนั้น มันด้วยเหตุผลหรือข้อกล่าวหาใดกันแน่ เขาได้แต่อดทนกับแสงแดดร้อนระอุอย่างตั้งมั่น อากาศร้อนมากจนหากนำมือไปแตะซังทูกวันจะสัมผัสได้ถึงไอร้อนระอุ ต้นคอและแผ่นหลังก็ร้อนมากเช่นกัน คอของเขาแห้งผากราวกับกลืนฝุ่นผงเข้าไป

 

 

“ฮวางเซจา” และแล้วบีพาอันก็เอ่ยออกมา รูแฮยังคงเงยหน้ามองตรง เขาจ้องมองไปยังบีพาอันที่อยู่เบื้องหน้า “ฮวางเซจา เจ้าถูกนำตัวมาไต่สวนยังที่แห่งนี้ ด้วยเหตุอันใดหรือ”

 

 

บีพาอันถามด้วยน้ำเสียงเนือย และสงบนิ่งราวกับว่ากำลังถามคำถามทั่วไปในชีวิตประจำวัน บีพาอันนั่งพิงตัวเฉียงบนเก้าอี้ที่ตกแต่งอย่างสูงส่ง เขามองลงมายังรูแฮด้วยสายตากึ่งทอดลงต่ำ บีพาอันวางศอกลงบนที่วางแขนข้างหนึ่ง พลางใช้ปลายนิ้วสัมผัสริมฝีปากของตน รูแฮกัดกรามแน่น ส่วนบีพาอันก็กำลังจะเริ่มต้นการไต่สวนอันน่าเหนื่อยหน่ายในสายตาเขา

 

 

“ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“เจ้าไม่รู้หรือ” บีพาอันทวนคำตอบของรูแฮ พลางจัดท่านั่งของตนให้ตรง เสียงอันเย็นชาถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากบาง  “เจ้าได้รับหน้าที่เป็นพ่อทูนหัว ณ วังเหนือใช่หรือไม่”

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ”