แม้จะตอบรับเช่นนั้น แต่รูแฮก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าวังเหนือมีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับเรื่องนี้ เขาได้แต่ตอบออกไปอย่างกระชับและจริงที่สุด วิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้เขาเข้าใจสถานการณ์อันแสนน่างงงวยนี้ได้ และก็จะทำให้ตนหลุดออกไปได้โดยเร็วที่สุดเช่นกัน
“เจ้าได้รับมอบหมายทั้งงานฝ่ายตุลาการและพิธีการแล้ว ใยจึงเกิดความโลภอยากเป็นพ่อทูนหัวของวังเหนืออีก”
ความโลภงั้นหรือ นี่มันคือคำพูดที่แฝงการประเมินคุณค่าลงไปด้วย และก็อย่างที่บีพาอันพูด รูแฮนั้นได้รับมอบหมายในฝ่ายตุลาการ ซึ่งเกี่ยวกับกฎหมายต่างๆ และรูแฮเองก็ได้รับรู้แล้วว่าการไต่สวนในครั้งนี้ เกี่ยวกับการไปเป็น ‘พ่อทูนหัวแห่งวังเหนือ’
มีเหตุร้ายเกิดขึ้นที่วังเหนือหรือนี่
หัวใจของรูแฮเต้นแรง การถูกจับกุมอย่างกะทันหัน และถูกสอบสวนหาใช่ปัญหาสำหรับเขาอีกต่อไป ที่จริงแล้วการไต่สวนที่บีพาอันรับผิดชอบนั้น มันก็น่าตระหนกตกใจอยู่ ทว่าก็ไม่ได้มีอะไรแปลกประหลาดถึงเพียงนั้น ครั้นพอรูแฮได้คาดการณ์ถึงเหตุร้ายที่วังเหนือ สีหน้าของเขาก็ดูมืดมัวลง เพราะบินซองคือน้องชายที่เขารักที่สุด และเขาก็ใส่ใจฮเยจินกับลูกในท้อง พอๆ กับที่เขาใส่ใจบินซองด้วย
“ฮวางเซจา ใยเจ้าจึงไม่ตอบคำถามข้า”
แย่แล้ว เพราะมัวแต่คาดการณ์สถานการณ์จนตอบคำถามช้าไป ปฏิกิริยาเช่นนี้ไม่เป็นผลดีต่อรูแฮแน่นอน
“มีเหตุร้ายเกิดขึ้นที่วังเหนือหรือพ่ะย่ะค่ะ เซจา บินซองนั้นปลอดภัยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
หากมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นที่วังเหนือจริง การพูดเช่นนี้ก็หาได้เป็นผลดีอันใดต่อรูแฮไม่ แต่เขาก็ทำได้แค่เพียงถามถึงสวัสดิภาพของบินซองเพียงเท่านั้น หาไม่เช่นนั้นเขาก็ไม่อาจจะทำให้ใจที่เต้นอย่างสังหรณ์ไม่ดีนั้นสงบลงได้เลย ส่วนบีพาอันก็มองลงมายังรูแฮด้วยหางตาเช่นเดิม เขามองไปยังริมฝีปากของรูแฮที่คล้ายกำลังกดต่ำลง รูแฮกัดริมฝีปากข้างในที่อ่อนนุ่มไปมา
“ฮวางเซจา เพียงตอบคำถามของเราเป็นพอ”
“บินซองนั้น…!” รูแฮตั้งใจจะถามซ้ำ ทว่าเงียบเสียงลง เพราะการทำท่าทีเช่นนี้ต่อไป เป็นสิ่งที่ไม่ควรนัก นอกจากไม่ควรแล้ว ยังดูไม่ดีอีกด้วย
“เซจาเป็นผู้มาขอร้องกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
“เซจาเป็นผู้เอ่ยปากร้องขอแก่เจ้าก่อนเช่นนั้นหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ เซจาเป็นผู้มาหากระหม่อม แล้วทำการขอร้อง”
“เพราะเหตุใดกัน” น้ำเสียงของบีพาอันราบเรียบ
คำถามพรั่งพรูจากปากของเขาราวกับว่าเขาเตรียมคำถามไว้หมดแล้ว และกลัวว่าจะไม่มีคำถามให้รูแฮตอบอีก รูแฮกดความรู้สึกวุ่นวายใจเอาไว้ เขาไม่เร่งรีบแม้แต่น้อยและค่อยๆ ตอบคำถามออกไป
“ตัวกระหม่อมเองก็ไม่อาจคาดเดาความคิดของเซจาได้อย่างชัดแจ้ง แต่กระหม่อมคิดว่าเขารักบุตรในครรภ์มาก จึงมาขอให้กระหม่อมไปเป็นพ่อทูนหัวให้พ่ะย่ะค่ะ”
“การรักลูกในท้องของเขา เกี่ยวข้องอันใดกับการให้เจ้าไปเป็นพ่อทูนหัวหรือ”
“ตามที่เซจาเคยบอกกระหม่อมไว้ กระหม่อมนั้นทั้งมีความรู้ลึกซึ้งในด้านวิชาการ และเชี่ยวชาญด้านวรรณกรรม เขาจึงคาดหวังให้กระหม่อมเป็นพ่อทูนหัวให้แก่บุตรในครรภ์พ่ะย่ะค่ะ”
“ในพระราชวังแห่งนี้มีผู้มีความรู้ความสามารถมากมาย ในบรรดาคนเหล่านั้น เหตุใดบินซองจึงไปขอร้องฮวางเซจากัน”
“กระหม่อมและเซจาสนิทสนมกันมาก เขาอาจจะมองว่าในบรรดาคนทั้งหมด กระหม่อมคือผู้ที่ขอร้องง่ายที่สุดกระมังพ่ะย่ะค่ะ”
คำตอบของรูแฮค่อยๆ ยาวขึ้น และมักจะเป็นการให้เบาะแสอีกด้วย ส่งผลให้เขาต้องคาดเดาและอธิบายถึงความเป็นมาของความรู้สึก ในขณะที่เขาตอบออกไปอย่างคล่องแคล่วนั้น ในใจรูแฮเต็มไปด้วยความกังวลใจ แปลกเสียจริงที่คำถามกับคำตอบมันลงล็อคกันพอดีอย่างนี้ ราวกับว่ามันลื่นไหลไปตามที่บีพาอันคาดการณ์ล่วงหน้าเอาไว้ บีพาอันเว้นช่องและเฝ้ารอ จากนั้นก็ทำการถามต่อ
“ตามปกติแล้วฮวางเซจากับเซจา ไปมาหาสู่กันบ่อยหรือไม่”
“เราพบเจอกันบ่อยที่สุด ในบรรดารัชทายาททั้งสี่พ่ะย่ะค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้น”
ดวงตาของบีพาอันเปล่งประกายเฉียบคม มันเป็นรายละเอียดเล็กๆ แต่รูแฮก็สามารถมองเห็นได้ ขณะเดียวกันรูแฮก็รู้สึกได้ว่าเรื่องราวมันกำลังดำเนินไปในทางที่ไม่ถูกต้อง
“เช่นนั้นฮวางเซจาเองก็คาดการณ์ล่วงหน้าไว้ก่อนแล้วสินะ ว่าเซจาจะมาขอให้เจ้าไปเป็นพ่อทูนหัวให้แก่บุตรในครรภ์”
เป็นสิ่งนี้ คำถามนี้ทำให้รูแฮมั่นใจขึ้นมาทันทีว่าที่วังเหนือนั้น มีเหตุร้ายเกิดขึ้น และเป้าหมายนั้นหาใช่บินซองไม่ แต่เป็นฮเยจินนั่นเอง เห็นได้ชัดว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับลูกในท้องของฮเยจินอย่างแน่นอน
เช่นนั้น นี่คือการก่อกบฏหรือ
รูแฮร้อยเรียงชิ้นส่วนของเหตุและผลเข้าด้วยกัน และในครั้งนี้เขาได้รีบตอบออกไปอย่างรวดเร็ว
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ”
“เพราะเหตุใด ไหนว่าเซจาถือว่าเจ้าเป็นผู้รอบรู้ ทั้งยังสนิทสนมกันมากอีกด้วย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เซจาไว้ใจที่จะขอร้อง ฮวางเซจาเป็นคนพูดมันออกมาเองมิใช่หรือ”
“เพราะในทางธรรมเนียมปฏิบัติแล้ว พ่อทูนหัวนั้น ตามปกติจะมอบหมายให้ขุนนางฝ่ายทหารและพลเรือนเป็นผู้รับหน้าที่พ่ะย่ะค่ะ ไม่เคยปรากฏมาก่อนว่ามีการให้องค์รัชทยาทด้วยกันรับหน้าที่ ดังนั้นแม้จะสนิทกันเพียงใด แต่ตัวกระหม่อมคิดเพียงว่าพ่อทูนหัวนั้น จะต้องเป็นเหล่าเสนาบดีเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ การร้องขอของเซจาเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายอย่างมากพ่ะย่ะค่ะ”
“ถึงกระนั้นฮวางเซจา ผู้ที่เดิมทีก็ยุ่งจากหน้าที่ในฝ่ายตุลาการกับพิธีการอยู่แล้ว ยังไปรับหน้าที่เป็นพ่อทูนหัวอีกอย่างนั้นหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ มันเกิดจากการที่กระหม่อมเองไม่อาจปฏิเสธคำร้องขอของน้องที่เป็นที่รักของกระหม่อมได้…”
“พอได้แล้ว” บีพาอันตัดบทคำโต้แย้งของรูแฮ จากนั้นก็ชี้ไปทางด้านหลัง รูแฮได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของราชองครักษ์จากทางด้านหลัง
“เจ้าไปๆ มาๆ วังเหนือได้นานเท่าไรแล้ว”
“ถึงตอนนี้ได้ประมาณหนึ่งเดือนกว่าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“หากเทียวไปมาได้เดือนกว่าแล้ว ต้องรู้จักเหล่าข้ารับใช้ของที่นั่นบ้างใช่หรือไม่”
เป็นคำถามที่ผู้ใดฟังแล้วก็ต้องว่าแปลก รูแฮตอบพลางขมวดคิ้ว “ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าไม่เคยได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนที่วังเหนือบ้างเลยหรือ”
“กระหม่อมไปที่ตำหนักดงบี ก็มีที่ได้คุยเรื่องทั่วไปอยู่บ้าง แต่ที่สนิทกันนั้นหาได้มีไม่พ่ะย่ะค่ะ”
บีพาอันลากนิ้วผ่านคางของตน เขาฟังคำตอบของรูแฮ แล้วสั่งทหารราชองครักษ์ด้านหลังรูแฮว่า
“นำนางกำนัลจากวังเหนือเข้ามา”
รูแฮได้ยินเสียงลาก ครืดๆ ของบางสิ่งจากข้างหลัง เขารู้สึกขนลุก พยายามไม่แสดงออกและไม่หันไปมอง เงาหนึ่งทอดมาข้างๆ รูแฮ ศาลหลวงเงียบงันลงอีกครั้ง บีพาอันสั่งการด้วยน้ำเสียงนิ่งว่า
“ฮวางเซจา จงหันหน้าไปมองนางกำนัลที่อยู่ตรงนั้น”
รูแฮเว้นระยะสักครู่ แล้วจึงหันไป มีเก้าอี้ไม้ขนาดใหญ่วางอยู่ข้างเขา บนเก้าอี้ตัวนั้นมีนางกำนัล ร่างกายบอบบางไม่เหมาะกับขนาดของเก้าอี้เอาเสียเลยนั่งสลบอยู่ และถูกพันธนาการไว้กับเก้าอี้โดยเชือกฟาง เสื้อผ้าสีขาวของนางมีรอยขาดไปทั่ว และเปื้อนรอยเลือดเต็มไปหมด เชือกฟางนั้นผูกมัดผิวอ่อนบอบบางของหญิงสาวเอาไว้อย่างไร้ความปราณี ใบหน้าของนางบาดเจ็บและบอบช้ำ จนแทบมองไม่ออกว่าเป็นใคร
“แม่นางคนนี้…” รูแฮค่อยๆ พิจารณาใบหน้าบอบช้ำ และปูดบวมของนาง จากนั้นถึงดูออก และเอ่ยปากออกไปโดยไม่ตั้งใจ
นางคือหญิงสาวที่เขาได้พบเจอโดยบังเอิญที่หน้าประตูเล็กของตำหนักดงบี เมื่อสิบห้าวันก่อนนั่นเอง