ส่วนที่ 2 ภาคถนนสายนี้ไม่มีผู้มาก่อน ตอนที่ 78 จับตามองสิงโตกลางคืนกับลูกน้อง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตอนเฉินฉางเซิงตื่นขึ้นมานั้น ก็พบว่าตนเองนอนอยู่บนพื้นหิมะ และฟ้าก็ใกล้มืดเต็มที แสงสลัวๆ ส่องมาจากเมืองเล็กๆ ที่อยู่ไกลออกไปทางทิศตะวันตก ส่องต้องซูหลีที่มีผ้าขาดคลุมตัวอยู่

ผ้าขาดผืนนี้ เฉินฉางเซิงเก็บได้ในบ้านร้างของชนเผ่านายพรานระหว่างวิ่งหนีตาย ขอบผ้าขาดลุ่ย พอถูกแสงสนธยาสาดส่อง ก็เหมือนจะเผาไหม้ขึ้นมา ซูหลีนั่งขัดสมาธิบนพื้นหิมะ ก้มศีรษะและใช้ผ้าขาดคลุมศีรษะไว้ ดูๆ ไปคล้ายคนชุดดำอยู่บ้าง เฉินฉางเซิงจึงเอ่ยปากถาม “ข้านอนอยู่บนพื้นหิมะ ผู้อาวุโส…ท่านไม่ใส่ใจเลยหรือ?”

เขาวิ่งไม่หยุด วิ่งข้ามที่ราบหิมะหมื่นลี้ไร้ขอบเขต ในที่สุดก็ห่างไกลจากอิทธิพลมารจนได้ พอจะนึกออกว่าเฉินฉางเซิงมุมานะและทุ่มเทเพียงใด อ่อนล้าถึงระดับไหน พอเห็นเมืองมนุษย์ จึงล้มลงตรงๆ ทันที ทว่าแม้อยู่ในสภาพเช่นนี้ ซูหลีก็ไม่คิดช่วยเขา ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง

เสียงที่เล็ดลอดผ่านผ้าขาดของซูหลี เห็นชัดว่าเปี่ยมความชอบธรรม “ถ้าข้ามีแรงเคลื่อนย้ายเจ้าได้ ยังจะให้เจ้าแบกไปไหนมาไหนอยู่หรือ? อีกอย่าง ตอนเจ้าล้มแล้วลุกไม่ขึ้น ก็ควรระวังท่าทางหน่อย อย่าลืมว่า ข้านั้นอยู่บนหลังของเจ้า ปุบปับล้มลงเช่นนี้ ข้าถูกทับอย่างอนาถ เจ้ารู้ตัวบ้างหรือเปล่า?”

เฉินฉางเซิงทำอะไรไม่ถูกจริงๆ ตลอดทางการหนี ตนพูดคุยกับผู้อาวุโสท่านนี้เป็นระยะ ซึ่งก็รู้อยู่แต่แรกว่าตนพูดไม่เก่ง ไม่มีทางเป็นต่อด้านการพูด ทั้งๆ ที่มีเหตุผลเหนือกว่า จึงค่อยๆ ยันกายที่ระบมไปหมดให้ลุกขึ้นยืนบนพื้นหิมะ เดินไปอยู่หน้าซูหลี แบกเขาขึ้นใหม่ แล้วเดินหน้าต่อ ไปยังเมืองที่อยู่ห่างไกล

ก่อนถึงเมืองมนุษย์ ฟ้าก็มืดค่ำแล้ว ดีที่กำแพงเมืองมีคบเพลิงหลายจุด จึงพอจะเห็นพื้นดินหน้ากำแพงอยู่บ้าง ทำให้เขาซึ่งอยู่ในสภาพอ่อนล้ายิ่ง ไม่ก้าวสะดุดขอบน้ำแข็งล้มหัวทิ่ม

นี่เป็นเมืองเล็กๆ ที่ผู้คนใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย แต่มีวินัยยิ่ง พูดให้ถูกก็คือ นี่เป็นค่ายทหารที่อยู่แนวหน้าสุดของกองทัพตะวันตกเฉียงเหนือแห่งต้าโจว ค่ายทหารมิได้ห้ามเข้าออก แต่ก่อนเข้า พวกเขาต้องถูกค้นตัวอย่างละเอียด ต้องรู้ว่านอกจากนักผจญภัยที่เก่งกล้าแล้ว ที่นี่ก็ไม่ค่อยปรากฏคนธรรมดาให้เห็น

ตอนถูกค้นตัว เฉินฉางเซิงกังวลว่าซูหลีจะอารมณ์เสีย จึงจับตามองอย่างระทึกใจ แต่กลับคิดไม่ถึงว่า ซูหลีจะผ่านมาได้อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว เหมือนคนป่วยคนหนึ่งจริงๆ

ในค่ายทหาร พลทหารเริ่มสอบสวนตามหน้าที่ เฉินฉางเซิงไม่มีจดหมายรับรองหรือหนังสือผ่านทางใดๆ ขณะเตรียมบอกกล่าวสถานะของตน เพื่อให้กองทัพส่งคนมารับ พลันเห็นซูหลีส่ายหน้า ไม่ยอมให้สัมผัส ดวงตาใต้ผ้าคลุมศีรษะขาดวิ่นฉายแววเด็ดเดี่ยวที่ยากประนีประนอม

แต่จู่ๆ ไม่รู้ว่าซูหลีนำหนังสือผ่านทางสองฉบับออกมาจากส่วนไหนของร่างกาย หนังสือมีความสมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ รวมถึงสภาพทรุดโทรมของมัน สรุปแล้วทำให้พลทหารไม่ถามมากความ เพียงใช้สายตามองทั้งสองจากหัวจรดเท้า ฟังคำตอบของซูหลี แล้วจึงโบกมือให้ทั้งสองเข้าไป พลางชี้แจงถึงเรื่องที่ต้องระมัดระวัง

ในค่ายทหาร ที่พักสำหรับคนธรรมดามีเพียงโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง เป็นห้องแถวยาวต่อกันตามคาด แต่คืนนี้กลับมีแขกอย่างพวกเขาแค่สองคน เถ้าแก่โรงเตี๊ยมจอมตระหนี่และเย็นชาไหนเลยจะยอมก่อไฟให้ กระทั่งน้ำอุ่นก็ยังไม่มี เฉินฉางเซิงกับซูหลีจึงได้แต่ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มเหม็นอับ แต่จนแล้วจนรอดก็หลับไม่ลงสักที

เฉินฉางเซิงใช้ดวงตาอันใสกระจ่าง จ้องมองเพดานห้องที่เลอะไปด้วยคราบน้ำมัน พลางนึกถึงเรื่องสัพเพเหระ เช่น โรงเตี๊ยมนี้น่าจะดัดแปลงมาจากโรงครัวเก่า เสี่ยวเอ้อร์ที่ถูกเถ้าแก่ดุด่าน่าสงสารยิ่ง จากนั้นค่อยได้ยินเสียงซูหลีถอนหายใจ จึงถามด้วยความสงสัย

“ผู้อาวุโส ท่านพกหนังสือผ่านทางติดตัวไว้ตลอด แถมตอนถูกสอบสวนยังรู้สึกเฉยๆ น่าจะมีประสบการณ์ในการใช้ชีวิตนอกบ้านมามาก เหตุใดจึงนอนไม่หลับเล่า?”

ผู้คนล้วนรู้ดีว่า อาจารย์ปู่เล็กแห่งเขาหลีซานชอบท่องไปตามร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ น้อยครั้งนักที่จะกลับเขาหลีซาน ถ้าพูดถึงประสบการณ์การเดินทางแล้ว ย่อมไม่มีใครโชกโชนไปกว่าเขาอีก

แต่ซูหลีกลับตอบอย่างขุ่นเคือง “เจ้าคิดอะไรอยู่? ข้าเป็นใคร? จะนอนในที่โกโรโกโสเช่นนี้ได้อย่างไร”

เฉินฉางเซิงคิดในใจ ก่อนหน้านี้ถ้าบอกชื่อแซ่ของท่านไป ตอนนี้เราสองก็ไม่ต้องมานอนหนาวอยู่ในโรงเตี๊ยมอันวังเวงแห่งนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงแม่ทัพใหญ่ แม้แต่เจ้าหน้าที่ในจวนแม่ทัพยังต้องรีบส่งคนมารับ พอคิดถึงตรงนี้ ข้อสงสัยที่ติดอยู่ในใจเรื่อยมา ก็ถูกถามออกจนได้ “ผู้อาวุโส เหตุใดเราต้องปิดบังสถานะด้วย?”

ซูหลีตอบ “เจ้ารู้หรือไม่ว่า ที่ข้าโด่งดังเพราะอะไร? ทำไมคนทั้งต้าลู่ถึงได้เกรงกลัวข้า?”

เฉินฉางเซิงคิดว่าตนเติบโตขึ้นในชนบทของเมืองซีหนิง อ่านคัมภีร์ลัทธิเต๋ามามาก แต่รู้เรื่องทางโลกน้อยนิด รู้เพียงซูหลีบำเพ็ญเพียรในขั้นสูง วิชากระบี่แข็งแกร่ง แต่เหตุใดผู้คนจึงเกรงกลัว แทนที่จะนับถือ?

เสียงที่เล็ดลอดออกจากผ้าห่มอันหนาวเย็นของซูหลี ให้ความรู้สึกหนาวเย็นกว่า “เพราะข้าสังหารมารไปมาก สังหารคนยิ่งมากกว่า นอกจากโจวตู๋ฟูแล้ว น่าจะไม่มีใครสังหารคนมากกว่าข้าอีก”

เฉินฉางเซิงพูดไม่ออก ในใจคิด ผู้อาวุโสเริ่มโอ้อวดตนตามเคย ถ้าเป็นเช่นนี้จริง นักฆ่าสองมือเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิตเช่นท่าน เหตุใดจึงไม่ถูกขับออกจากพรรคกระบี่หลีซานเล่า?

ราวกับเดาออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ซูหลีพูดขึ้นทันที “ในเขาหลีซานข้ามีสถานะสูงสุด แข็งแกร่งสุด จึงใหญ่สุด ทั้งโถงบทบัญญัติและคนเหล่านั้นไม่ชอบข้ามานาน แต่กล้าทำอะไรข้าเล่า?”

เฉินฉางเซิงตะลึงงันแล้ว

ซูหลีมิได้พูดถึงความถนัดในการฆ่าคนของตนต่อ เพียงว่า “ข้าฆ่าคน ย่อมมีเหตุผลของข้า เรื่องที่ไม่มีเหตุผลอย่าง ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ตัดรากถอนโคน ข้าไม่เคยทำมาก่อน ดังนั้นความเดือดร้อนต่างๆ ที่มี เป็นเพราะข้าฆ่าคนมามาก คนที่แค้นข้าจึงมากตาม จนถึงตอนนี้ ข้าเองก็จำไม่ได้แล้วว่ามีคนแค้นข้ามากน้อยแค่ไหน”

เฉินฉางเซิงตัวแข็งทื่อ ในใจคิด ไม่น่าใช่เรื่องจริง มิเช่นนั้นเหตุใดท่านถึงมีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ได้?

“แต่น้อยคนนักที่จะกล้ามาล้างแค้นกับข้า เพราะข้าแข็งแกร่งเกินไป แต่แน่นอน ย่อมมีคนที่ถูกความแค้นครอบงำจนสติเลอะเลือน ชนิดไม่สนใจความเป็นความตาย คิดแต่จะฆ่าข้า”

พอพูดถึงเรื่องราวเหล่านี้ ซูหลีก็รู้สึกแย่อย่างเห็นได้ชัด จึงพูดอย่างขุ่นเคือง “พอข้าตื่นตอนเช้า พวกเขาก็เข้ามาฆ่า ตอนข้าหลับ พวกเขาก็ยังมาฆ่าอีก คิดฆ่าข้าตลอดเวลา ครั้งแล้วครั้งเล่า จนทำให้ข้ารู้โดยปริยายว่าความสามารถของเจ้าพวกนั้นย่ำแย่เพียงไหน อย่างไรก็ฆ่าข้าไม่ได้แน่ แล้วยังมาฆ่าข้าอีกทำไม ไม่เหนื่อยหน่ายหรือไร พวกเขาไม่เหนื่อย แต่ข้าเหนื่อยนัก…”

เฉินฉางเซิงยิ่งพูดไม่ออก ใจคิด ต่อให้เป็นหรือตาย คนเหล่านั้นก็ต้องฆ่าท่าน เพราะพวกเขาแค้นฝังหุ่นท่านจริงๆ แต่ท่านยังพูดว่าฝ่ายตรงข้ามถูกความแค้นครอบงำจนสติเลอะเลือน ส่วนท่านเพียงเหนื่อยหน่ายหรือ?

ซูหลีพูดต่อ “ดังนั้นข้าจึงไม่ค่อยอยู่เขาหลีซาน พอออกท่องทั่วดินแดนต้าลู่ ข้าก็ไม่เคยบอกสถานะที่แท้จริงกับใคร ซึ่งถ้าเจ้าไม่อยากถูกใครถืออาวุธกู่ร้องจนต้องตื่นไปเข้าห้องน้ำกลางดึกแล้วละก็ ทางที่ดีเจ้าก็ต้องทำเช่นนี้”

เฉินฉางเซิงคิดในใจ เป็นเพราะสถานการณ์ในคืนนี้ไม่ปกติต่างหาก

ในห้องเงียบสงบไปพักใหญ่ จากนั้นเสียงซูหลีก็ดังขึ้นอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้ น้ำเสียงไม่มีความเย่อหยิ่งหรือหงุดหงิดใจอีก แต่กลับสงบนิ่งอย่างเห็นได้ชัด

“พวกที่อยากให้ข้าตาย ก็เหมือนสุนัขฝูงหนึ่ง พวกมันไม่กล้าลงมือตรงๆ กระทั่งเห่าหอนก็ยังไม่กล้า ทำได้เพียงซ่อนตัวอยู่ห่างๆ ในที่มืด รอจนข้าอ่อนล้า รอจนข้าแก่ชรา รอจนข้าบาดเจ็บ”

เฉินฉางเซิงจ้องมองเพดาน คล้ายเห็นทุ่งหญ้ายามค่ำคืน สิงโตตัวหนึ่งกำลังมองไปรอบๆ บริเวณที่ศัตรูของมันเร้นกายอยู่ในความมืดจำนวนนับไม่ถ้วน

ถ้าสิงโตเดินเข้าหา ศัตรูเหล่านี้ต้องพุ่งเข้าใส่และฉีกมันเป็นชิ้นๆ แน่

“ข้าเข้าใจแล้ว” เฉินฉางเซิงพูด

ซูหลีว่า “เข้าใจก็ดี”

ยามรุ่งอรุณ ราวตีห้า เฉินฉางเซิงลืมตา แล้วลุกตื่นด้วยสีหน้าซีดเซียว ท่าทางอิดโรย แต่สภาพร่างกายถือว่าดีกว่าตอนหนีตายในที่ราบหิมะมาก เพียงความรู้สึกเท่านั้นที่ตึงเครียดกว่าตอนหนีตาย

เนื่องจากคำพูดเมื่อคืนของซูหลี ทำให้เขารู้สึกว่าเถ้าแก่โรงเตี๊ยม กระทั่งทหารทั้งค่ายล้วนเต็มไปด้วยอันตราย ถนนที่เงียบสงบหรือห้องครัวอุ่นๆ อาจปรากฏเงากระบี่ปลิดชีวิตได้ทุกเมื่อ

ผู้แข็งแกร่งระดับซูหลี ย่อมมีศัตรูคู่แค้นที่น่ากลัวสุดๆ เฉินฉางเซิงรู้ตัวว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนเหล่านี้ จึงได้แต่หวังว่าจะสามารถมองการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ออกก่อน จะได้เตรียมรับมือทัน แต่เขาก็รู้อีกว่า ตนอาจตื่นตูมเกินไป แต่เรื่องเกี่ยวกับความเป็นความตาย การตื่นตูมระวังตัว ก็ไม่ถือว่าเกินไป

โจ๊กไม่มีกลิ่นหอมของข้าว หมั่นโถวแข็งอย่างกับหิน ขณะนั่งกินอาหารเช้า เขาเหลือบมองรอบด้านอย่างเงียบๆ ท่าทางไม่เหมือนแขก เหมือนผู้คุ้มภัยมากกว่า ส่วนซูหลีกลับมีท่าทีสบายๆ คล้ายไม่แยแสเรื่องราวใดๆ

เฉินฉางเซิงคิดเงียบๆ เถ้าแก่โรงเตี๊ยมจอมตระหนี่เย็นชายังถือว่าปกติ แต่เสี่ยวเอ้อร์ที่ถูกเขาดุด่าเมื่อคืนมีปัญหาอยู่บ้าง ในสถานที่เลวร้ายเช่นนี้ เหตุใดเสี่ยวเอ้อร์จึงยังมีอัธยาศัยดีอยู่ได้? เมื่อคืนเสี่ยวเอ้อร์มาถามเขาว่า อยากได้น้ำร้อนหรือไม่ สุดท้ายก็ถูกเถ้าแก่ดุด่า

ยิ่งตอนนี้ ไม่รู้ทำไมเถ้าแก่ถึงเริ่มดุด่าเสี่ยวเอ้อร์อีก แถมใส่คำหยาบให้ระคายหูไม่หยุด ส่วนซูหลีกินโจ๊กพลางเลิกคิ้วเป็นระยะ คล้ายกำลังกินคำด่าเหล่านี้แทนกับแกล้ม

พอด่าจบก็ตบตี เสี่ยวเอ้อร์เองก็ได้แต่จ้องหน้าเถ้าแก่ โดยไม่รู้สึกเคียดแค้น เพียงกุมศีรษะแล้ววิ่งรอบโรงเตี๊ยม ทำให้เฉินฉางเซิงต้องระวังให้มากยิ่งขึ้น

พอเสี่ยวเอ้อร์วิ่งมาข้างโต๊ะ เฉินฉางเซิงก็ชักกระบี่สั้นออกอย่างไม่ลังเลใจ

แต่เสี่ยวเอ้อร์คล้ายมองไม่เห็น พุ่งเข้าหากระบี่ในมือเขา ถ้าเขาเก็บกระบี่ หรือเบี่ยงกระบี่ไป เสี่ยวเอ้อร์ก็สามารถฉวยโอกาสจู่โจมในระยะประชิด

ว่ากันตามเหตุผล ในฐานะแขกคนหนึ่ง ซึ่งเมื่อคืนได้รับการเอาใจใส่จากเสี่ยวเอ้อร์ที่กำลังจะพุ่งชนคมกระบี่ ย่อมต้องเบี่ยงกระบี่ออกตามสัญชาตญาณ

เฉินฉางเซิงหายใจถี่เล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี เก็บกระบี่หรือ?

ถ้าคนผู้นี้เป็นเสี่ยวเอ้อร์จริง และเขาไม่เก็บกระบี่ ก็เท่ากับว่าหลับหูหลับตาฆ่าผู้บริสุทธิ์

แต่ถ้าคนผู้นี้ปลอมเป็นเสี่ยวเอ้อร์ และเขาเก็บกระบี่ ก็เท่ากับว่ากำลังรนหาที่ อีกทั้งทำให้ผู้อาวุโสซูหลีเดือดร้อน

เขาจึงไม่รู้ว่าควรเลือกเช่นไร

และแล้ว ซูหลีก็เลือกแทนเขา

ซูหลีใช้ตะเกียบในมือ แทงเบาๆ เข้าที่หัวไหล่ของเขา โดยมิได้ใช้พละกำลังและพลังปราณแต่อย่างใด จึงไม่มีเจตจำนงกระบี่ แต่กระบี่ในมือเฉินฉางเซิงกลับพุ่งออกอย่างรวดเร็ว

กระบี่มิได้พุ่งเข้าหาเสี่ยวเอ้อร์ เพราะแรกเริ่ม กระบี่ก็เบี่ยงออกอยู่แล้ว กระบี่พุ่งเข้าสู่ท้องน้อยของเถ้าแก่ที่ไล่ตามหลังเสี่ยวเอ้อร์มา

เสียงฉึกดังขึ้นคราหนึ่ง

กระบี่สั้นแทงลึกจนมิดด้าม

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมจึงเสียชีวิตลงด้วยประการฉะนี้