ผู้เฒ่าเขาหลีซานมองดูเหลียงเสี้ยวเซียวบนเปล เงียบไปพักใหญ่ แล้วจึงหันมองเจ๋อซิ่วที่อยู่ใต้ต้นไทร ก่อนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก?”
เจ๋อซิ่วหลับตา “ในเมื่อเขาสวามิภักดิ์พวกมาร ใครๆ ก็สามารถฆ่าได้ ซึ่งถ้าข้าฆ่าเขา ข้าก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังใคร แต่…ข้าไม่ได้ฆ่าเขา”
ในป่าเกิดเสียงฮือฮาขึ้นเล็กน้อย ผู้เฒ่าเขาหลีซานพูดอย่างเย็นยะเยียบพร้อมใบหน้าดุจน้ำแข็ง “ศิษย์หลานเหลียงก็ได้ตายไปแล้ว ไฉนเจ้าต้องสาดโคลนใส่คนตายด้วย ไม่รู้สึกละอายใจบ้างหรือ”
เจ๋อซิ่วในตอนนี้เพิ่งรู้ว่าเหลียงเสี้ยวเซียวตายแล้ว จึงเข้าใจเรื่องโดยรวมทั้งหมด พลันรู้สึกอ่อนล้ายิ่ง
จากคำพูดนี้ ศิษย์พรรคฉางเซิงสิบกว่าคนก็เข้าล้อมเจ๋อซิ่วไว้ รอบๆ ด้านยังมีผู้บำเพ็ญเพียรจากทางใต้ที่จับตามองความเคลื่อนไหวของเจ๋อซิ่ว ป้องกันไม่ให้เขาจู่โจมก่อน
และในตอนนี้เอง จูลั่วก็พูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “ช้าก่อน”
แปดมรสุมคือกลุ่มคนที่ได้รับการยกย่องว่าแข็งแกร่งสุด จึงมีสถานะพิเศษกว่าใคร วาจาของเขาแม้จะทำให้ผู้เฒ่าเขาหลีซานโกรธจัดอย่างไร ก็ต้องเย็นลงชั่วคราว
“ที่ข้าเกลียดสุดก็คือพวกที่ชอบจัดการเรื่องราว โดยไม่พูดจาให้เข้าใจกันเสียก่อน”
จูลั่วชี้ไปยังชีเจียนที่สลบอยู่ พลางว่า “ดูจากความหมายของพวกเจ้า ผู้ที่ฆ่าเหลียงเสี้ยวเซียว นอกจากเจ๋อซิ่วแล้ว ยังมีชีเจียน กระทั่งเฉินฉางเซิงด้วย?”
ผู้เฒ่าเขาหลีซานพูดเสียงอ่อนลง “นี่เป็นเรื่องของเขาหลีซาน โปรดให้เกียรติกันด้วย”
“นี่ไม่ใช่เรื่องของเขาหลีซาน แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสวนโจว” จูลั่วมองเขาพลางพูดต่อด้วยสีหน้าเฉยชา “การเปิดสวนโจวในปีนี้ มีข้าเป็นผู้รับผิดชอบใหญ่ เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นด้านใน เจ้าต้องให้ความกระจ่างกับข้าก่อน”
ผู้เฒ่าเขาหลีซานพยายามข่มความโกรธ แล้วว่า “หรือเรื่องนี้ยังไม่กระจ่างพอ?”
“ไม่กระจ่างเป็นอย่างยิ่ง” จูลั่วไม่สนใจปฏิกิริยาผู้เฒ่า พูดต่อ “เจ๋อซิ่วช่วยกองทัพต้าโจวสู้รบหลายต่อหลายครั้ง แต่พวกเจ้ากลับบอกว่าเขาสมคบคิดกับพวกมาร นี่ก็อย่างหนึ่ง และถ้าชีเจียนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ หรือเขาก็สวามิภักดิ์พวกมาร? เขาเป็นศิษย์เขาหลีซานของเจ้า เหตุใดต้องร่วมมือกับชายหนุ่มเผ่าหมาป่า ต่อกรกับศิษย์ในพรรคเดียวกันด้วย?”
ผู้เฒ่าเขาหลีซานนึกถึงความหมายในแววตาก่อนตายของเหลียงเสี้ยวเซียว จึงเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนก้าวมายืนตรงหน้าจูลั่ว แล้วพูดเสียงต่ำ “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงอันดีงามของเขาหลีซาน โปรดอย่าถามละลาบละล้วง”
จูลั่วขมวดคิ้วน้อยๆ ต้องรู้ว่าชื่อเสียงและชื่อเสียงอันดีงามนั้นดูเหมือนคล้ายกัน แต่ความจริงแล้วต่างกัน
ผู้เฒ่าเขาหลีซานกดเสียงให้ต่ำลงอีก “ศิษย์หลานชีเจียน…กับเจ๋อซิ่วเกี่ยวข้องอะไรกันนั้น พวกเรายังไม่รู้ชั่วคราว แต่ไม่ควรถามต่อหน้าผู้คนมากมายเป็นอันขาด เพราะสถานะของนาง ไม่ธรรมดา”
การโต้ตอบครั้งนี้ มีเพียงคนทั้งสองที่ได้ยิน พอจูลั่วเห็นเขาระมัดระวังเช่นนี้ จึงถามกลับ “เขามีสถานะอย่างไร?”
ผู้เฒ่าเขาหลีซานเงียบไปสักพัก แล้วจึงว่า “นาง…คือบุตรสาว”
จูลั่วมองดูเจ๋อซิ่วที่อยู่ใต้ต้นไทร ก็คล้ายรู้อะไรบางอย่าง จึงว่า “มิน่าเล่าถึงต้องใช้คำว่าชื่อเสียงอันดีงาม”
ผู้เฒ่าเขาหลีซานตอบ “ขอท่านโปรดเข้าใจ”
จูลั่วส่ายหน้าแล้วว่า “นี่ยังไม่เพียงพอ ชื่อเสียงเขาหลีซานสำคัญก็จริง แต่สำคัญน้อยกว่าความจริงและความเป็นความตาย”
ผู้เฒ่าเขาหลีซานลังเลสักพัก ค่อยกัดฟันพูด “นางเป็นบุตรสาวของอาจารย์ปู่”
จูลั่วชะงักเล็กน้อย มองตาเขาพลางว่า “อาจารย์ปู่ไหน?”
ผู้เฒ่าเขาหลีซานพูดเสียงเบา “อาจารย์ปู่เล็ก”
พอได้ยินสามคำนี้ จูลั่วก็เงียบอยู่เนิ่นนาน
แปดมรสุมเป็นที่นับหน้าถือตาของผู้คนเป็นอย่างยิ่ง เป็นรองก็แต่ห้านักปราชญ์เท่านั้น พูดตามเหตุผลก็คือ ชื่อใดๆ ก็ไม่ทำให้เขาเกรงกลัว ยกเว้นคนผู้นี้
ที่แท้นางก็คือบุตรีของซูหลี มิน่าเล่าหัวหน้าพรรคถึงรับไว้เป็นศิษย์ปิดสำนักคนสุดท้าย อีกทั้งยังรักและทะนุถนอมดุจไข่ในหินแห่งเขาหลีซาน กระทั่งชิวซานจวินกับโก่วหานสือก็พากันประคบประหงมนาง
จูลั่วนึกถึงเรื่องเหล่านี้ แล้วจึงมองดูชีเจียนที่กำลังสลบไสล พลางส่ายศีรษะ
ผู้เฒ่าเขาหลีซานจึงว่า “ขอบคุณท่านที่เข้าใจ และแน่นอนว่า ถ้าชีเจียนทำเรื่องไม่ดีในสวนโจวจริง…โถงบทบัญญัติต้องใช้กฎของพรรคลงโทษแน่ ถึงตอนนั้นเขาหลีซานจะรีบแจ้งข่าวให้ท่านทราบ”
จูลั่วไม่ได้พูดอะไร เงียบไปโดยปริยาย นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสวนโจวอย่างแน่นอน แต่พรรคกระบี่หลีซานก็พูดมาจนถึงจุดนี้ได้ แถมยังดึงซูหลีเข้ามาเกี่ยวข้องอีก ซึ่งเขาไม่อยากให้เป็นเช่นนี้ แต่เหตุการณ์ในตอนนี้ นอกจากคำพูดของเขาที่มีน้ำหนักแล้ว ยังมีผู้เฒ่าอีกหนึ่งท่าน
ขณะศิษย์พรรคกระบี่หลีซานทำตามคำสั่งของท่านผู้เฒ่า แบกเปลที่มีชีเจียนนอนสลบ และเปลที่วางศพเหลียงเสี้ยวเซียวออกไป
พอได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว เจ๋อซิ่วก็โถมตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย เหมือนคิดจะทำอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ ขณะเดียวที่ผู้เฒ่าท่านนั้นเปิดปากในที่สุด
ตั้งแต่สวนโจวล่มสลาย และภูเขาชิงซานหายสาบสูญ หัวหน้ามุขนายกเหมยหลี่ซาก็เอาแต่เหม่อมองหมอกควันอันหนาทึบ ใบหน้าแก่ชรา ยิ่งแก่ชราลง ดวงตาขุ่นมัว ยิ่งขุ่นมัวลง โดยมิได้สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นในป่าแต่อย่างใด จวบจนตอนนี้ เขาถึงหันมามอง ก่อนพูดอย่างไร้อารมณ์ “ทิ้งคนไว้ที่นี่”
ผู้เฒ่าเขาหลีซานจึงว่า “นี่เป็นคนของเขาหลี…”
“ผู้ตายคือศิษย์ของพวกเจ้าเขาหลีซาน ผู้ลงมือก็ดูเหมือนจะเป็นศิษย์ของพวกเจ้าเขาหลีซานอีก เรื่องแย่ๆ ภายในเขาหลีซานของพวกเจ้า ข้าคร้านจะยุ่งเกี่ยว แต่เจ๋อซิ่ว พวกเจ้าใช้สิทธิ์อันใดพาเขากลับไป? แค่คำพูดก่อนตายของเหลียงเสี้ยวเซียวหรือ? นี่หมายความว่า ถ้าเฉินฉางเซิงยังมีชีวิตอยู่ พวกเจ้าก็จะพากลับเขาหลีซานต่อหน้าต่อตาข้าด้วยว่าอย่างนั้นเถอะ?”
เหมยหลี่ซาก้าวเข้าไปในป่า มองผู้เฒ่าเขาหลีซานท่านนั้นแล้วว่า “มีเหตุผลเช่นนี้ด้วยหรือ?”
ผู้เฒ่าเขาหลีซานมิได้พูดอะไร กลับเป็นอาจารย์ผู้มาใหม่ของสำนักเทียนเต้าที่ลังเลก่อนพูดขึ้น “ใต้เท้า ถ้าเฉินฉางเซิงเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริง ก็ต้องสอบสวนให้ละเอียด”
“เมื่อคนตายพูดไม่ได้ พวกเจ้าคิดสาดโคลนใส่ใคร ก็ทำได้ตามใจอย่างนั้นหรือ? เมื่อครู่ข้าคลับคล้ายได้ยินคนพูดเช่นนี้” เหมยหลี่ซามองหน้าอาจารย์คนใหม่ของสำนักเทียนเต้า แล้วพูดอย่างเฉยชาต่อ “ถ้าคิดสอบสวนแล้วละก็…เฉินฉางเซิงเป็นหัวหน้าสำนักฝึกหลวง ส่วนเจ้าเป็นอาจารย์ต๊อกต๋อยคนหนึ่ง มีสิทธิ์อันใดสอบสวนเขา? นอกจากใต้เท้าสังฆราชแล้ว ใครมีสิทธิ์สอบสวนเขาอีก?”
เหมยหลี่ซามองเจ๋อซิ่วที่อยู่ใต้ต้นไทร แล้วว่า “ชื่อเสียงอันดีงามของพวกเจ้าเขาหลีซานสำคัญ หรือชื่อเสียงนิกายหลวงของข้าไม่สำคัญ? เจ้าหนุ่มหมาป่าคนนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงนิกายหลวง ข้าจะพาเขากลับจิงตู ใครจะว่าอะไร?”
จูลั่วพูดขึ้น “ข้าไม่ว่าอะไร”
เมื่อเขาไม่ว่าอะไร ผู้ที่อยู่ที่นี่ทั้งหมดก็ไม่มีสิทธิ์ว่าอะไร รวมถึงผู้บำเพ็ญเพียรจากทางใต้กลุ่มนั้นและผู้เฒ่าเขาหลีซานที่เห็นๆ กันอยู่ว่า อยากว่าอะไรมากมาย เหมยหลี่ซามองผู้เฒ่าเขาหลีซาน พลางพูดเสียงเย็นชา “ถ้าเขาหลีซานอยากว่าอะไร ก็ให้หัวหน้าพรรคของพวกเจ้าหรือซูหลีมาว่า”
ผู้เฒ่าเขาหลีซานอดรนทนไม่ไหว จึงพูดอย่างเดือดดาล “คนที่ตายคือศิษย์เขาหลีซานข้า!”
“คนตายมีสิทธิ์พิเศษหรือไร? หรือพอตายไป เรื่องนี้ก็สามารถคิดมั่วซั่วโดยเต็มไปด้วยข้อผิดพลาดได้?” เสียงของเหมยหลี่ซาเย็นชาลงเรื่อยๆ “อีกอย่างตอนนี้ข้าอารมณ์ไม่ดี ใต้เท้าสังฆราชก็กำลังจะอารมณ์ไม่ดี คนในนิกายหลวงทั้งหมดล้วนกำลังจะอารมณ์ไม่ดี เพราะเฉินฉางเซิงตายแล้ว หัวหน้าสำนักฝึกหลวงเฉินฉางเซิงตายแล้ว!”
ผู้เฒ่าเหมยมองไปยังท้องฟ้านอกป่า พลางพูดอย่างอารมณ์เสีย “ยังมีเรื่องอะไรสำคัญกว่านี้อีกหรือ? ต่อให้เจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพตายหมด หรือสามารถทำให้คนเศร้าเสียใจไปกว่านี้ได้?”
……
……
เฉินฉางเซิงพอจะนึกออกว่า ผู้คนที่อยู่นอกเมืองฮั่นชิว ต้องคิดว่าเขาตายไปแล้วแน่ เพราะเขามิได้ออกจากสวนโจวทางประตู แต่ออกมาด้วยวิธีการมหัศจรรย์พันลึก ก่อนจะปรากฏตัวบนที่ราบหิมะที่ห่างออกไปหลายหมื่นลี้ เขายังนึกออกอีกว่า หลายคนพอรู้ข่าวการตายของเขา ต้องมีปฏิกิริยาที่แตกต่างกันมากมาย บางคนน่าจะดีใจมาก บางคนน่าจะรู้สึกโล่งอก
และบางคนต้องรู้สึกเศร้าโศกเสียใจ ซึ่งคนเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่รักเขาจริงๆ เช่นลั่วลั่ว ถังซานสือลิ่ว เซวียนหยวนผ้อ เสนาธิการจิน ม่ออวี่ หรืออาจรู้สึกเสียดาย กระทั่งยังนึกถึงความรู้สึกของโก่วหานสือ กวนเฟยไป๋ และศิษย์พรรคกระบี่หลีซานเหล่านั้น ไม่ต้องพูดถึงผู้อาวุโสในนิกายหลวงเหล่านั้น ยังมีแม่นางจากเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์อีกคน
เขาไม่อยากให้คนเหล่านี้เสียใจและกังวลใจ ดังนั้นเขาจึงร้อนใจ อยากรีบกลับโลกมนุษย์ เพื่อนำข่าวที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่กระจายไปทั่วจิงตูให้เร็วที่สุด ทำให้ทุกคนรู้ว่าตนปลอดภัย แต่น่าเสียดาย ที่ราบหิมะในอาณาเขตมารห่างไกลจากโลกมนุษย์มากเกินไป อีกทั้งผู้อาวุโสซูหลียัง…หนักมากจริงๆ
การหนีออกจากที่ราบหิมะในอาณาเขตมารของพวกเขาเดิมทีก็ราบรื่นดี
ผู้เอกอุในเส้นทางกระบี่แท้จริงแล้วต้องมีภูมิปัญญามาก ไม่ว่าจะอยู่สาขาใด เช่นผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร ผู้เชี่ยวชาญด้านชา เนื่องจากหมื่นเส้นทางล้วนมีจุดที่คล้ายคลึงกัน อย่างการหนีหรือพูดอีกอย่างว่าล่าถอย เดิมทีเป็นยุทธวิธีทางทหารอย่างหนึ่ง ซึ่งซูหลีเชี่ยวชาญยิ่ง
กระบี่เดียวที่เขาฟันลงบนท้องฟ้า ประณีตมากจริงๆ
เป็นกระบี่ที่เปิดเส้นทางกระบี่ไปไกลหลายร้อยลี้ มุ่งตรงสู่ทิศใต้ และบ่งบอกความหมายที่แท้จริงของเส้นทางกระบี่… ตรงไปตรงมาคือใกล้สุด ใกล้สุดคือเร็วสุด แต่ใครจะคาดคิดเล่าว่าที่ที่กระบี่ตกลงจริงๆ กลับเป็นพื้นที่ในสันเขาหิมะแห่งหนึ่งทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
คนชุดดำคล้ายสัมผัสพบอะไรอยู่บ้าง แต่พอกองทัพมารเปลี่ยนยุทธวิธีค้นหาเป็นล้อมสันเขาหิมะระหว่างทิศตะวันออกกับตะวันตกไว้นั้น ในบ่อน้ำร้อนก็เหลือเพียงคราบโลหิตประปราย และดอกมะลิที่ถูกเด็ดอีกหนึ่งดอก
ตอนนั้น ซูหลีก็มาถึงธารน้ำแข็งที่ห่างออกมาสี่ร้อยลี้แล้ว
แน่นอนว่า เขาอยู่บนหลังของเฉินฉางเซิง
ร่างที่ถูกโลหิตมังกรชะล้างของเฉินฉางเซิง คล้ายมีพลังอันไร้ขีดจำกัด ก่อเกิดกำลังมหาศาล เพียงพอต่อการสำแดงความเร็วอันน่าตื่นตะลึง สามารถวิ่งได้ไกลสี่ร้อยลี้ในระยะเวลาอันสั้น ช่างน่าตกใจจริงๆ โดยแม้แต่ซูหลีก็รู้สึกตกใจ เพียงแต่ตอนพายุหิมะตีแสกหน้า ให้ความรู้สึกเหมือนคมมีดกรีดใบหน้าอย่างไรอย่างนั้น บ่อยครั้งที่เขาคิดชมเชยเฉินฉางเซิง แต่พออ้าปากทีไรเป็นต้องกลายเป็นติเตียนอย่างหงุดหงิดใจไปทุกครั้ง
ทั้งสองมิได้หยุดพักบนธารน้ำแข็ง เฉินฉางเซิงวิ่งต่ออย่างบ้าคลั่งไปตามรอยแยกของน้ำแข็งที่มุ่งสู่ทิศใต้ พอรู้สึกกระหาย ก็ใช้มือชกเข้าไปในก้อนน้ำแข็งข้างกาย ทำให้ก้อนน้ำแข็งสีฟ้าอ่อนงามๆ แตกออกเป็นสองก้อน เกล็ดน้ำแข็งปลิวว่อน เขาคว้าเกล็ดน้ำแข็งยัดเข้าปาก รู้สึกว่าร่างกายที่ร้อนผะผ่าวจากการวิ่งอย่างรวดเร็วค่อยๆ เย็นลง จนรู้สึกสบายตัว
เฉินฉางเซิงค่อยแบกซูหลีวิ่งต่อไม่หยุด เขาวิ่งข้ามธารน้ำแข็งและที่ราบหิมะ วิ่งพลิกภูเขาใหญ่และสันเขาหิมะ ยามกระหายก็เคี้ยวเกล็ดน้ำแข็ง ยามหิวก็…อดทนไว้ วิ่งชนิดหามรุ่งหามค่ำ ไม่หลับไม่นอน จวบจนวันหนึ่ง ในที่สุดก็เห็นเมืองซึ่งมีผู้คนอาศัย ปรากฏให้เห็นจากระยะไกล
ที่ราบหิมะหมื่นลี้ในอาณาเขตมาร ก็ถูกเขาวิ่งผ่านด้วยประการฉะนี้
และเขา ก็ยืนหยัดต่อไม่ไหวอีก จึงหงายหลังล้มลงตรงๆ