ส่วนที่ 2 ภาคถนนสายนี้ไม่มีผู้มาก่อน ตอนที่ 76 เสียชีวิตหนึ่งคน (ตอนปลาย)

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ในป่าเงียบกริบ สายตานับไม่ถ้วนเพ่งเล็งไปที่ร่างของเจ๋อซิ่ว ด้วยอารมณ์แตกต่างกัน

จูลั่วค่อยๆ หรี่ตาลง ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ เหมยหลี่ซาเหมือนไม่อยู่ในเหตุการณ์ ก่อนหน้าที่ภูเขาชิงซานจะหายไป เขาจ้องมองสวนโจวที่หายไปตาไม่กะพริบ ใบหน้าชราเต็มไปด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” ผู้เฒ่าเขาหลีซานจ้องมองเจ๋อซิ่วพลางพูดขึ้นมาลอยๆ

เสียงฝีเท้ากับเสียงลมพัดดังมาจากในป่า เจ้าของเสียงคือผู้บำเพ็ญเพียรจากทางใต้ พรรคฉางเซิงกับกลุ่มต่างๆ ในเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ โดยไม่ต้องรอคำสั่ง พวกเขาค่อยๆ แยกย้ายกันกั้นขวางทางหนีทีไล่ของเจ๋อซิ่วในทุกๆ ทิศ ดูสภาพการณ์แล้ว คงลงมือในไม่ช้า พูดตามเหตุผลก็คือ ถ้าจวงห้วนอวี่ไม่ชี้ว่าเจ๋อซิ่วเป็นสายลับของพวกมาร กลุ่มคนก็มีเหตุผลที่จะเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยเหลียงเสี้ยวเซียวซึ่งนอนอยู่บนเปล กำลังจ้องมองเจ๋อซิ่วอย่างไม่ปิดบังความเกลียดชังและความหวาดระแวงในแววตา โดยมิได้ส่งเสียงคัดค้าน

เหลียงเสี้ยวเซียวเป็นหนึ่งในเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพ ส่วนจวงห้วนอวี่เป็นความภาคภูมิใจของสำนักเทียนเต้า การชี้ตัวคนผิดของทั้งสองคนจึงมีน้ำหนักอย่างยิ่ง ที่สำคัญสุดก็คือ เหลียงเสี้ยวเซียวในตอนนี้บาดเจ็บสาหัส พลังปราณแตกซ่าน กำลังจะตายอยู่รอมร่อ จึงไม่มีใครสงสัยในคำพูดของเขา ก่อนตายใครยังจะพูดปดเล่า?

เจ๋อซิ่วมิใช่ผู้บำเพ็ญเพียร และไม่เคยไปมาหาสู่กับผู้บำเพ็ญเพียรจากสำนักพรรคต่างๆ ในที่ราบภาคกลาง แต่เคยร่วมมือกับกองทัพต้าโจว ล่าสังหารพวกมารบนที่ราบหิมะ สร้างผลงานการต่อสู้ไว้ไม่น้อย คนชั้นสูงในจิงตูหลายคนจึงชื่นชอบในตัวเขามาก ซึ่งโดยธรรมชาติแล้ว ย่อมมีคนคิดแลกเปลี่ยนผลประโยชน์และเงื่อนไขกับเขา รวมทั้งคิดช่วยเหลือเขาด้วย

มุขนายกชุดแดงผู้ซึ่งมีตำแหน่งสูงส่งในวังหลี ที่เมื่อครู่เพิ่งรักษาอาการบาดเจ็บให้กับเหลียงเสี้ยวเซียวขมวดคิ้วน้อยๆ พลางคิดในใจ บาดแผลกระบี่บนร่างของเหลียงเสี้ยวเซียวดูไม่เหมือนวิธีการสังหารที่เจ๋อซิ่วชำนาญการ จึงพูดอย่างลังเลใจออกไป “ข้าเห็นว่าบาดแผลที่ปลิดชีวิตได้มากสุดน่าจะเป็น…บาดแผลจากกระบี่”

อาจารย์จากสำนักเด็ดดาราท่านหนึ่งก็จ้องมองจวงห้วนอวี่อย่างเย็นชาพลางว่า “ไม่ผิด เจ้าจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร? เจ๋อซิ่วมีผลงานในกองทัพมากมาย สังหารมารในที่ราบหิมะไปไม่รู้เท่าไหร่ เมื่อเจ้าบอกว่าเขากับมารสมคบคิดกันสังหารคนในสวนโจว ก็น่าจะมีอะไรที่ทำให้คนเชื่อได้มากกว่านี้”

เป็นเช่นนี้จริงๆ โดยเฉพาะบาดแผลกระบี่บนร่างของเหลียงเสี้ยวเซียว เห็นชัดว่ามิใช่ฝีมือของเจ๋อซิ่ว ข้อสงสัยนี้ยิ่งกว่าปลิดชีวิต หลายคนหันมองจวงห้วนอวี่อีกครั้ง อยากฟังว่าเขาจะอธิบายอย่างไร จวงห้วนอวี่ลังเลสักพักจึงว่า “หรือหลายปีมานี้เจ๋อซิ่วปิดบังตัวตน โดยใช้การต่อสู้ในสนามรบ ทำให้พวกเราเชื่อถือในตัวเขา”

“การชี้ว่าผิดฐานสมคบคิดกับพวกมาร ไม่สามารถใช้คำว่า ‘หรือ’ ได้” อาจารย์จากสำนักเด็ดดาราท่านนั้นพูดอย่างไม่เกรงใจ โดยไม่สนใจความเป็นมาและฐานะของจวงห้วนอวี่แม้แต่น้อย

จวงห้วนอวี่ตาแดงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าร้อนใจหรือหงุดหงิดใจ อ้าปากคิดอยากพูดอะไร แต่ที่สุดแล้วก็ไม่ได้พูดออกมา คล้ายสัญชาตญาณบอกให้มองไปที่เปลก่อน

เหลียงเสี้ยวเซียวส่ายศีรษะอย่างยากลำบาก แล้วว่า “อย่าพูดอีกเลย”

ผู้เฒ่าเขาหลีซานมองดูเหตุการณ์อยู่ คล้ายเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่ตนเดานั้นเป็นจริงจนได้ สีหน้าจึงเปลี่ยนเป็นซีดขาว รู้สึกหนาวสะท้านเล็กน้อย

ขณะฟังเสียงอันอ่อนแรงของเหลียงเสี้ยวเซียว จวงห้วนอวี่ก็หลับตาแน่น สีหน้าซีดขาว รู้สึกหนาวเหน็บเล็กน้อย เพียงแต่ความหนาวของเขากับผู้เฒ่าเขาหลีซานนั้นไม่เหมือนกัน

เขามองดูเหลียงเสี้ยวเซียวที่ร่างเต็มไปด้วยโลหิต พลางคิดถึงบทสนทนาในสวนโจวก่อนหน้านี้ อีกทั้งแสงจากคมกระบี่หลายสิบเล่ม ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาว

ตอนอยู่นอกป่าเขาในสวนโจว เหลียงเสี้ยวเซียวเห็นเจ๋อซิ่วแบกชีเจียนวิ่งไปที่ประตูทางออกสวนโจว เขาจึงอธิบายเรื่องบางอย่างกับจวงห้วนอวี่อย่างสงบนิ่ง จากนั้นก็ชักกระบี่ออกจากฝักอย่างไม่ลังเลใจโดยไม่ทราบสาเหตุ ก่อนสำแดงอานุภาพอันทรงพลังของเพลงกระบี่หนึ่งเพลง ซึ่งเป็นรูปแบบสุดท้ายของเพลงกระบี่หลีซานที่แข็งแกร่งและดุดัน สามารถทำให้ศัตรูบาดเจ็บได้มากสุด แต่ตนเองก็อาจตายภายใต้คมกระบี่ ซึ่งในการสอบใหญ่รอบแรก ที่โก่วหานสือขอถอนตัวออกจากการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ก็เพราะดูออกว่าเฉินฉางเซิงตัดสินใจใช้เพลงกระบี่นี้

ทว่าเหลียงเสี้ยวเซียวกลับใช้เพลงกระบี่โศกนาฏกรรมเย็นชานี้บนร่างของตนเอง

จวงห้วนอวี่ตกตะลึง เขาไม่เคยเห็นใครที่กระทำเย็นชาต่อตนเองได้ขนาดนี้ โหดเหี้ยมขนาดนี้มาก่อน นับประสาอะไรกับการกระทำต่อผู้อื่น

ใช่ นี่คือหมากที่เหลียงเสี้ยวเซียวเดินอย่างกะทันหัน เขาใช้ความตายและบาดแผลจากกระบี่เหล่านี้ ป้ายสีว่าเจ๋อซิ่วและชีเจียนสมคบคิดกับพวกมาร แต่ที่มิได้เอ่ยชื่อชีเจียนต่อหน้าผู้คน ก็เพราะเขาเป็นศิษย์เขาหลีซานที่เห็นแก่มิตรภาพของศิษย์พรรคเดียวกัน และให้ความสำคัญกับชื่อเสียงเกียรติยศของพรรคมากกว่าชีวิตตนเอง แม้ต้องตายก็ไม่ยอมปล่อยให้ชื่อเสียงพรรคกระบี่หลีซานเสียหาย จึงยังคงสงวนท่าทีเย็นชากับศิษย์น้องไว้

เพราะเขาเป็นคนเช่นนี้ เวลาพูดอะไรจึงดูน่าเชื่อถือ และเพราะยอมใช้ชีวิตตนเองแลกกับผลประโยชน์

เหลียงเสี้ยวเซียวจึงเป็นคนที่น่ากลัวมาก แต่ที่น่ากลัวสุดก็คือ ก่อนตัดสินใจทำ เขาไม่ลังเลใจสักนิด และไม่สนใจด้วยว่าจวงห้วนอวี่จะทำตามแผนที่เขาวางไว้หรือไม่

แผนที่เหลียงเสี้ยวเซียวใช้ความตายของตนเป็นเดิมพัน ทำให้จวงห้วนอวี่หวาดกลัวมาก เขาอยากหนี แต่ก็รู้ว่าตนเองหนีไม่พ้น เริ่มจากตอนอยู่ข้างทะเลสาบที่พวกเฉินฉางเซิงถูกเหลียงเสี้ยวเซียวกับพวกมารลอบฆ่า และเขาไม่ได้เข้าช่วยเหลือ ตั้งแต่นั้นมาเขาก็เดินทางผิดแล้ว

ทั้งๆ ที่มีโอกาสกลับเนื้อกลับตัวอยู่หลายครั้ง รวมถึงครั้งนี้ด้วย เพียงพูดความจริงทุกอย่างออกไป แต่…ที่เขาไม่ทำ เพราะมันจะทำให้เขาจะกลายเป็นคนขี้ขลาดตาขาว ดังนั้นเขาจึงต้องเดินไปให้สุดทาง ไม่สามารถหันหลังกลับ ซึ่งดูเหมือนแรกเริ่มเหลียงเสี้ยวเซียวก็รู้อยู่แล้วว่าเขาจะเลือกทำอย่างไร

ขณะมองร่างบนเปลที่เต็มไปด้วยโลหิตและเหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายของเหลียงเสี้ยวเซียว จวงห้วนอวี่ก็รู้สึกว่าผู้ที่ตนกำลังมองนั้นคือมารตนหนึ่ง

เหลียงเสี้ยวเซียวก็กำลังมองเขาเช่นกัน ด้วยแววตาอันมืดมน ทว่าสงบนิ่ง

และการสบตาในครั้งนี้ ก็ได้ข้อสรุปของทุกสิ่งอย่าง

จวงห้วนอวี่เงียบไปสักพัก แล้วจึงค่อยๆ ก้มศีรษะลง พลางพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ขออภัย ข้าไม่อาจพูดอะไรได้ทั้งสิ้น”

ในสายตาผู้คน เห็นชัดว่าจวงห้วนอวี่กำลังลำบากใจและคล้ายไม่ยินยอม

คำว่า ‘ไม่อาจพูดอะไรได้ทั้งสิ้น’ อันที่จริงก็คือพูดไปมากแล้ว ซึ่งน่ากลัวกว่าพูดออกมาเสียอีก

จูลั่วขมวดคิ้วน้อยๆ มองดูกลุ่มคน และมองดูชีเจียนที่กำลังสลบไสล

ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกับชีเจียนบ้าง

“เจ้ามีอะไรจะพูดอีก?”

อาจารย์คนใหม่ของสำนักเทียนเต้าที่เพิ่งมาถึง ฟังแล้วก็รู้สึกหนาว หันมองเจ๋อซิ่วพลางถาม

เจ๋อซิ่วจึงพูดอย่างเฉยชา “เหลียงเสี้ยวเซียวเป็นสายลับของพวกมาร…แต่ข้าไม่ได้ฆ่าเขา”

เกิดความโกลาหลขึ้นอีกครั้ง ผู้เฒ่าเขาหลีซานรู้สึกหนาวเหน็บขณะถาม “เจ้าพูดอะไร?”

เจ๋อซิ่วเล่าเรื่องตอนอยู่ข้างทะเลสาบให้ฟัง เขาพูดไม่เก่งจึงค่อยๆ เล่า แต่กลับทำให้เรื่องน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น

อาจารย์สำนักเด็ดดาราท่านนั้นจึงว่า “เรื่องที่เจ้าเล่ามา มีพยานหรือไม่?”

เจ๋อซิ่วกับเหลียงเสี้ยวเซียวต่างกล่าวหาว่าอีกฝ่ายเป็นสายลับมาร หลักฐานย่อมไม่มี จึงต้องหาพยานผู้เห็นเหตุการณ์มายืนยันเท่านั้น

ซึ่งในที่นี้ มีคนเพียงไม่กี่คนที่เชื่อในคำพูดของเจ๋อซิ่ว คำถามของอาจารย์สำนักเด็ดดาราจึงถือเป็นโอกาสที่เจ๋อซิ่วต้องรีบคว้าไว้อย่างไม่ต้องสงสัย

เจ๋อซิ่วเงียบไปพักหนึ่งค่อยว่า “ข้ารู้ว่าพวกท่านไม่เชื่อที่ข้าพูด รอให้ชีเจียนตื่นก่อน พวกท่านก็จะรู้เอง”

มุขนายกชุดแดงถูกสายตาทุกคู่มองมา จึงส่ายศีรษะแล้วว่า “บาดเจ็บสาหัส เส้นชีพจรเสียหายหนัก ไม่รู้ว่าเมื่อใดจึงจะฟื้นตื่น กระทั่ง…”

จวงห้วนอวี่แค่นหัวเราะเย็นชา ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงคับแค้นใจ “เพราะไม่ตื่นสิ ถึงได้…”

แม้ทั้งสองพูดไม่จบ แต่ผู้คนก็เข้าใจในความหมาย

ชีเจียนอาจเป็นเจ้าหญิงนิทราตลอดกาล

ถ้าเป็นเช่นนี้ จวงห้วนอวี่ก็จะสะใจมาก

ยังคงเป็นคำคำนั้น ถ้าไม่พูด หรือพูดไม่หมด อาจสังหารผู้คนได้มากกว่าพูดให้ชัดเจนอีก

รายละเอียดเหล่านี้ บวกกับบาดแผลกระบี่บนร่างของเหลียงเสี้ยวเซียว ทำให้หลายคนคิดว่าตนเองพอจะเดาอุบายที่เกิดขึ้นในสวนโจวออก จากการมองว่าเหตุใดจวงห้วนอวี่ถึงคับแค้นใจเช่นนี้ เหมือนอยากพูดอะไรแต่ก็ไม่พูด ส่วนเหลียงเสี้ยวเซียวที่กำลังจะตาย กลับไม่พูดอะไรมาก

“จากที่เจ๋อซิ่วเล่ามา ตอนนั้นเจ้าไม่อยู่ในเหตุการณ์” อาจารย์สำนักเด็ดดารามองหน้าจวงห้วนอวี่พลางถาม

จวงห้วนอวี่เงียบไปนาน ในที่สุดก็เงยหน้าขึ้น เขาตัดสินใจเลือกอย่างสงบนิ่งแล้ว

ระหว่างการเป็นคนขี้ขลาดไปตลอดชีวิต กับการเป็นผู้กล้าชั่วขณะ ง่ายมาก

เขาเป็นคนขี้ขลาดมาครั้งหนึ่งแล้ว เช่นนั้น เรื่องที่เขากำลังจะเล่าต่อไปนี้ เขาต้องเป็นผู้กล้า

แม้เขาชัดเจนดีว่า นี่คือพฤติกรรมของคนขี้ขลาดก็ตาม

…….

…….

หลังฟังจวงห้วนอวี่เล่าจบ บรรยากาศก็เงียบสงัดอีกครั้ง

ใต้ต้นไทร เจ๋อซิ่วรู้สึกว่าผู้คนที่อยู่รอบๆ มองเขาด้วยสายตาแปลกๆ และสัมผัสได้ว่าแรงกดดันค่อยๆ คลายลง จึงก้มศีรษะเล็กน้อยอย่างไม่เข้าใจ

เขาในตอนนี้มองไม่เห็นอะไร ทำให้ยิ่งไม่เข้าใจว่า เหตุใดมนุษย์จึงสามารถลืมตาพูดปดได้อย่างสบายใจเช่นนี้ การจะสรุปคำโกหก ย่อมต้องโกหกหลายเรื่อง จึงอาจหลุดบ้างในบางเรื่อง เรื่องที่จวงห้วนอวี่เล่ามาทั้งหมด เป็นเรื่องที่เหลียงเสี้ยวเซียวแต่งขึ้นอย่างกะทันหัน รายละเอียดทุกอย่างย่อมรับประกันไม่ได้ว่าสมบูรณ์แบบ ทำให้จูลั่วที่เงียบมาตลอดพลันถามขึ้น “เฉินฉางเซิงก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย?”

เรื่องที่เจ๋อซิ่วเล่า เฉินฉางเซิงมีบทบาทสำคัญมาก แต่เรื่องที่จวงห้วนอวี่เล่า เฉินฉางเซิงกลับไม่มีบทบาทใดๆ เจ๋อซิ่วไม่เข้าใจ จึงว่า “ถูกต้อง เฉินฉางเซิงเป็นพยานได้”

อาจารย์สำนักเทียนเต้ามองเขาพลางขมวดคิ้วน้อยๆ แล้วว่า “เฉินฉางเซิงไม่ได้ออกจากสวนโจว จึงน่าจะเสียชีวิตแล้ว…เจ้ารู้เรื่องนี้ จึงจงใจพูดเช่นนี้สินะ?”

พอได้ยินว่าเฉินฉางเซิงเสียชีวิตในสวนโจว เจ๋อซิ่วก็เงียบ ไม่พูดอะไรอีก

เหลียงเสี้ยวเซียวจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรงลงเรื่อยๆ “ที่แท้เขาก็ไม่สามารถออกจากสวนโจว…เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว”

พูดจบเขาก็ถอนหายใจ รู้สึกเสียดายอยู่บ้าง พอใจอยู่บ้าง เสียใจอยู่บ้าง สรุปแล้ว ซับซ้อนอย่างยิ่ง

ในป่าเงียบลงอีก ผู้คนกำลังตะลึงงัน

หรือว่า…ไม่เพียงแต่เจ๋อซิ่วสมคบคิดกับพวกมาร ยังมีเฉินฉางเซิงร่วมด้วย?

ทำอย่างไรจึงจะสามารถร้อยเรียงคำโกหกให้สมบูรณ์แบบ? ย่อมมิใช่การเสริมเรื่องโกหกใหม่ๆ เข้าไป ก็เหมือนกับการวาดภาพ ต้องรู้การเว้นพื้นที่ว่างเปล่าไว้ ให้คนขบคิดเรื่องที่เหลือ

เหลียงเสี้ยวเซียวก็ทำเช่นนี้ และทำสำเร็จด้วย

แน่นอน แม้ตอนนี้เรื่องโกหกที่เล่ามายังพูดไม่ได้ว่าสมบูรณ์แบบ เพราะอย่างไรคำพูดของคนเป็นย่อมไม่น่าเชื่อถือเท่าคำพูดของคนตาย… เมื่อชีวิตเป็นสิ่งซึ่งน่าทะนุถนอมมากสุดในโลก การร้องทุกข์กล่าวโทษเพื่อชีวิตก็ย่อมมีประสิทธิภาพมากสุด กระทั่งหลายครั้งยังมีน้ำหนักกว่าความจริงเสียอีก

พูดได้ว่า ถ้าตอนนี้เหลียงเสี้ยวเซียวตายลง แผนใส่ร้ายป้ายสีเจ๋อซิ่ว ชีเจียน และเฉินฉางเซิง ถึงจะสมบูรณ์แบบ

เขาหลับตาลง แย้มยิ้มออกมาอย่างอ่อนล้าอยู่บ้าง

สีหน้าของเขาแสดงให้เห็นอารมณ์อันซับซ้อน มีทั้งไม่ยินยอม คับแค้นใจ ปลดพันธนาการ และ…ใจกว้าง

จากนั้น เขาก็เสียชีวิตลง