บทที่ 547 สุภาพ เพราะเป็นผู้ดี มิใช่เพราะรังแกได้ง่าย

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 547 สุภาพ เพราะเป็นผู้ดี มิใช่เพราะรังแกได้ง่าย
ข่าวที่ได้ยินวันนี้น่าตะลึงเสียจริง เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้ว่าจะตอบสนองอย่างไร นอกจากพยักหน้าอย่างเดียว

นางแน่จอีกครั้งว่า เสด็จอาเก้ามิได้หวัง ตงหลิงแคว้นเล็กๆ นี้ ไม่สามารถทำให้เสด็จอาเก้าอยู่ต่อเพื่อมันได้ และเสด็จอาเก้าเองก็มิได้เห็นว่ามันมีค่าเพียงใด

เมื่อคิดถึงความขัดแย้งในแคว้นหนานหลิง และความขัดแย้งภายในระหว่างตงหลิงและซีหลิงที่กำลังจะเกินขึ้น จู่ๆ เฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกว่าชายที่อยู่ตรงหน้าตนนั้นมิใช่ธรรมดา แต่แข็งแกร่งอย่างมาก

เขาทำให้การเมืองทุกแคว้นเกิดการเคลื่อนไหว โดยที่ไม่มีใครรู้ตัว เขาทำให้แผ่นดินที่เงียบสงบนี้โกลาหล ชายคนน่ากลัวอย่างมาก

จะต้องวางยิ่งใหญ่เพียงใด อดทนมากแค่ไหน วางแผนได้รอบคอบเพียงใดจึงจำสร้างสถาณการณ์เช่นนี้ขึ้นมาได้ และสามารถควบคุมสถานการณ์อย่างชาญฉลาดด้วยตนเองได้

เฟิ่ง ชิงเฉินไม่อยากจะเชื่อเลยว่าชายผู้นี้เป็นคนที่ละเอียดรอบคอบแค่ไหน หากว่าเอาความละเอียดรอบคอบนี้มาจัดการนาง จะเป็นอย่างไร?

เอ่อ… แค่คิดเรื่องนี้ เฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกน่ากลัวมากแล้ว

นางส่ายหัว และละทิ้งความคิดนี้ จู่ๆ เฟิ่งชิงเฉินก็นึกถึงเรื่องที่สำคัญมาก “เสด็จอาเก้า อาหารและเหล็กของพ่อและพี่ชายฮองเฮาเอาไปขายให้ใครหรือ?”

เฟิ่งชิงเฉินสงสัยว่าเป็นเป่ยหลิง แต่น่าเสียดายที่เฟิ่งชิงเฉินไม่ใช่เสด็จอาเก้า จึงไม่ได้คิดไปในทางเดียวกัน

“อะแฮ่ม หนานหลิงจิ่นฝาน” เสด็จอาเก้ารู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินมีความรู้สึกที่พิเศษต่อโจวสิง แต่ว่าการเมืองก็ส่วนการเมือง ความรู้สึกส่วนตัวก็ส่วนความรู้สึกส่วนตัว

“ห้ะ…” เฟิ่งชิงเฉินไม่คาดคิดเลยว่าจะเป็นหนานหลิงจิ่นฝาน “เจ้าไม่ถูกกับหนานหลิงจิ่นฝานมิใช่หรือ?”

“ธุรกิจคือธุรกิจ ความแค้นส่วนตัวก็ส่วนความแค้นส่วนตัว เขาให้ราคาสูงอย่างมาก” เสด็จอาเก้ากล่าวด้วยความรู้สึกผิด

เฟิ่งชิงเฉินมองเสด็จอาเก้าด้วยความไม่สบอารมณ์ “เอาล่ะ หาข้ออ้างเข้าไป เจ้าเห็นว่าหนานหลิงยังวุ่นวายไม่พอใช่หรือไม่ จึงหาเรื่องใส่พวกเขาอีก”

เฟิ่งชิงเฉินเป็นห่วงโจวสิง แต่นางเชื่อว่าเสด็จอาเก้าทำกระไรก็ต้องมีแผนของตน อีกอย่าง เสด็จอาเก้าและโจวสิงมิใช่ญาติหรือมีความสัมพันธุ์กระไรต่อกัน ฉะนั้นเสด็จอาเก้าจะช่วยเขาไปเพื่อการใด?

การเมืองไม่ได้เกี่ยวกับความรู้สึกของคนเรา อีกอย่างเสด็จอาเก้ามีเป้าหมายที่กว้างใหญ่ คนที่ขวางทางเขาล้วนเป็นศัตรูของเขา แม้แต่หลานตัวเองเขาก็วางกลอุบาย นับประสากระไรกับโจวสิง?

หากว่ามีใจเมตตา เช่นนั้นไม่สามารถทำการใหญ่ได้

“คือว่า ฟ้ามืดแล้ว เราไปพักผ่อนกันเถอะ พรุ่งนี้มีงานต้องทำอีก” สายตาของเสด็จอาเก้าล่อกแล่กไปมา แต่เขาไม่ยอมมองไปที่เฟิ่งชิงเฉิน

เขารู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินเกลียดชังหนานหลิงจิ่นฝาน แต่เรื่องบางเรื่อง เราใช้ความรู้สึกในการจัดการมิได้ ในแคว้นหนานหลิง คนที่สามารถแข่งขันกับหนานหลิงจิ่นสิงได้ มีเพียงหนานหลิงจิ่นฝาน ฉะนั้น ตอนนี้หนานหลิงจิ่นฝานจะแพ้ไม่ได้ หรือกล่าวอีกนัยคือ จะแพ้โดยเร็วเช่นนี้มิได้ เพราะความขัดแย้งภายในของหนานหลิงเพิ่งจะเริ่มขึ้น จะสยบลงเร็วเช่นนี้ได้อย่างไร

“ได้ ถ้าอย่างนั้นข้ากลับห้องก่อนนะ” เฟิ่งชิงเฉินไม่โกรธเสด็จอาเก้า นางเองก็รู้ดีว่าเสด็จอาเก้าเองก็เกลียดชังหนานหลิงจิ่นฝานอย่างมาก เพียงแต่ตอนนี้ยังปล่อยให้เขาตายมิได้

สิ่งที่มีประโยชน์ที่สุดของคนเราคือ เขาไม่มีผลประโยชน์ใดๆ เลย แต่เมื่อบุคคลสำควรตาย ก็เท่ากับว่าเขาไม่มีค่าใดๆ แล้ว

“เดี๋ยวก่อน เราคุยกันอีกหน่อยแล้วกัน” เสด็จอาเก้าหยุดนางเอาไว้

เขาลืมไปว่าที่นี่คือพระราชวังและแม้ว่าจะเข้านอน เป็นไปมิได้ที่เฟิ่งชิงเฉินจะเข้านอนห้องเดียวกับเขา เมื่อคิดไปคิดมา จึงรู้สึกว่าห้องหนังสือเหมาะสมที่สุด

วันนี้เขาขอริมรสสิ่งที่คนโบราณกล่าวว่ามีหญิงงามเคียงกายยามอ่านหนังสือ

“คุยกระไรอีกหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินไม่รังเกียจที่จะใช้เวลากับเสด็จอาเก้ามากอีกสักน้อย เมื่อได้ยินสิ่งที่เสด็จอาเก้ากล่าว เฟิ่งชิงเฉินจึงอิงกายที่อ้อมกอดของเขา และม้วนผมที่อยู่ข้างหูของเสด็จอาเก้าเล่น

เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา นางกับเสด็จอาเก้าอาจจะไม่สามารถเจอกันในระยะยาว พ่อและพี่ชายของฮองเฮาล้มลง นี่มิใช่เรื่องเล็ก

“อืม… คุยเรื่องเย่เย่และซูหว่าน เจ้าอยากจะจัดการพวกเขาอย่างไร?” เมื่อครุ่นคิดแล้ว หัวข้อนี้ปลอดภัยที่สุดและสามารถคุยกันนานๆ ได้

องค์รัชทายาท ลั่วอ๋อง ซีหลิงเทียนเหล่ย เย่เย่และซูหว่าน ทั้งหมด5คน พวกเขาอยู่ในห้องเก็บซากศพงูไปครึ่งวันกับอีกหนึ่งคืน และไม่ได้กินกระไรมาครึ่งวันกับหนึ่งคืนเช่นกัน โชคดีที่ตอนนี้เป็นช่วยปลายฤดูใบไม้ผลิ อากาศเย็น หากว่าเป็นช่วยหน้าร้อนกลิ่นศพเหล่านั้นสามารถฆ่าพวกเขาตายได้

ยกเว้นซูวาน อีกสี่คนไม่ได้นอนทั้งคืน เย่เย่ร่างกายอ่อนแอแต่ก็พยายามอดทนเพื่อที่จะได้ดูแลซูหว่าน

เมื่อเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินกินอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว พวกเขาเดินไปอย่างมีชีวิตชีวา ระหว่างเดินพวกเขาเห็นทั้งสี่คนที่เศร้าหมอง ขอบตาดำและหนวดเคราเต็มหน้า

ทั้งสี่ล้วนเป็นขุนนางผู้ดี ไม่เคยเจอเรื่องลำบากเช่นนี้มาก่อน เสด็จอาเก้าทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่ทรมานพวกเขาทางกาย แต่ทรมานพวกเขาทางใจด้วยซ้ำ เขาเหยียบศักดิ์ศรีของพวกเขาเอาไว้ และเล่นงานกับความเย้อหยิ่งของพวกเขาอย่างหนัก

“เสด็จอาเก้า” องค์รัชทายาทเรียกเขาอย่าทรมาน หวังว่าจะได้รับความห่วงใยจากเสด็จอาเก้า

“เสด็จอาเก้า” ตงหลิงจื่อลั่วทำความเคารพอย่างเรียบร้อย ซีหลิงเทียนเหล่ยและเย่เย่ พ่นลมออกมาอย่างเย็นชา ดวงตาของพวกเขาดูไม่เป็นมิตร คราวนี้เสด็จอาเก้าทำให้พวกเขาขุ่นเคืองอย่างมาก

“ข้าสั่งให้คนเตรียมอาหารเช้าและน้ำร้อนเอาไว้ หากว่าองค์รัชทายาทและลั่วอ๋องไม่มีธุระใดๆ ก็ไปล้างตัวเปลี่ยนผ้าเสีย อย่าได้เสียหน้าราชวงศ์เรา” คนที่กล้ากักขังองค์รัชทายาทและองค์ชายที่ฝ่าบาททรงโปรดปรานที่สุด เมื่อสิ้นงานก็ยังกล้าที่จะต่อว่าอีกฝ่าย ความกล้าที่จะทำเรื่องนี้คงมีแค่เสด็จอาเก้าที่กล้าทำ

“ขอบใจเสด็จอาเก้า” กักขังเขาแล้วเขายังจะกล่าวขอบใจ เช่นนี้คงมีแค่เสด็จอาเก้าที่ทำได้

“แล้วองค์รัชทายาทเหล่ยล่ะ? อยู่ที่นี่กับเย่เย่ หรือว่าไปล้างตัวเปลี่ยนเสื้อเสียก่อน?” เสด็จอาเก้าต้องการคุยกับเย่เย่เกี่ยวกับเรื่องเมื่อวาน และเขาถามซีหลิงเทียนเหล่ยว่าจะเข้ามายุ่งหรือว่าจะอยู่ดูเฉยๆ

มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะแสวงหาผลกำไรและหลีกเลี่ยงอันตราย เสด็จอาเก้ากล้าที่จะกักขังพวกเขาไว้ที่นี่ แสดงว่าเขามั่นใจอย่างมากว่าจะชนะ ฉะนั้นซีหลิงเทียนเหล่ยเลือกแบบที่สองอย่างไม่ลังเล

“มารับใช้องค์รัชทายาทเหล่ยล้างตัวเปลี่ยนเสื้อ” เสด็จอาเก้ามิได้ทำให้ซีหลิงเทียนเหล่ยต้องลำบากใจ เขาให้เกียรติซีหลิงเทียนเหล่ยไปอย่างมาก ในที่สุดซีหลิงเทียนเหล่ยก็ได้ความมั่นใจกลับมาอีกครั้งอย่างเล็กน้อย

เมื่อวานถูกเสด็จอาเก้าเล่นงานอย่างแรง สถานะของเขาสูงกว่าเสด็จอาเก้า แต่เสด็จอาเก้ากลับขนขี่เขาจนไม่มีแรงสู้

ในที่สุด ซีหลิงเทียนเหล่ยใช้อยู่คนเดียว เราอาศัยเขาอยู่ เช่นนั้นก็ต้องปลอบใจตัวเอง

หลังจากที่ซีหลิงเทียนเหล่ยจากไป เสด็จอาเก้าก็ให้ทหารถอยลงไป “ท่านเย่ เราจะคุยที่นี่หรือไปที่อื่น?”

เมื่อตื่นขึ้นเขาก็เห็นเฟิ่งชิงเฉิน ทำให้เสด็จอาเก้ามีความสุขอย่างมาก ฉะนั้นน้ำเสียงของเขาจึงสุภาพขึ้นเล็กน้อย แต่เย่เย่กลับมองว่าความสุภาพของเสด็จอาเก้านั้นเป็นสิ่งที่เขาสามารถพาลได้

“คุย? เสด็จอาเก้าจะคุยเรื่องกระไรหรือ? ระหว่างเรามีเรื่องกระไรให้คุยหรือ? เมื่อวานเสด็จอาเก้าเก่งนักมิใช่หรือ? เหตุใดวันนี้จึงคิดอยากจะคุยกับข้า เสด็จอาเก้ามาเอ่ยเรื่องนี้ตอนนี้ มันสายเกินไปหรือไม่?” เย่เย่คิดว่าเมื่อวานนี้เสด็จอาเก้าสืบไม่เจอกระไร และเขาไม่มั่นใจจึงมาหาตนเพื่อคุยกัน

เขาทนมานานเช่นนี้ จะยอมง่ายๆ แบบนี้มิได้

ฮ่าๆๆ … เสด็จอาเก้ารู้สึกว่าตลกอย่างมาก

มีเพียงเจ้าเมืองที่มีทั้งพ่อแม่และมีอำนาจล้นฟ้าเท่านั้น จึงสามารถเลี้ยงดูคนอย่างเย่เย่ที่ไม่รู้ที่ต่ำที่สูงเช่นนี้ออกมาได้

“ท่านเย่ เจ้าคิดว่านี่คือเมืองเย่เฉิงหรือว่าเมืองหนานหลิง?” เมื่ออยู่ที่เมืองเย่เฉิง เย่เย่เทียบเท่ากับองค์รัชทายาท ในเมืองหนานหลิง มีตระกูลซูเป็นตระกูลภรรยา ฉะนั้นจึงไม่มีใครกล้าหักหน้าเย่เย่ ทำให้เย่เย่นั้นเหลิงไปใหญ่ ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง มิเช่นนั้น ตอนนั้นเขาเองก็จะไม่ทำให้ปู้จิงหยุนอับอายเช่นนั้น

“เสด็จอาเก้า เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” เย่เย่ไม่ได้โง่เขลา ความกล้าหาญที่นางรวบรวมมาทั้งหมดได้ค่อยๆ จางหายไปทีละน้อย…