ตู๋กูซิงหลันช่างอ่อนโยนกับองค์หญิงใหญ่มากเกินไปแล้ว ความอ่อนโยนถึงเพียงนี้แม้แต่พระองค์เองก็ยังไม่เคยได้ทอดพระเนตรมาก่อน
ตู๋กูซิงหลันอุ้มซุ่นเออร์ออกมาจากในเรือน ค่อยนำเสด็จจีเฉวียนออกไปด้านข้างเรือน หันไปยกมือ”ไฮ” ทักเขาคำหนึ่ง
จีเฉวียนมองดูกิริยาของนาง ก็อดที่จะดึงนางเข้ามาในอ้อมกอดไม่ได้ เขารัดนางอย่างแนบแน่น
ซุ่นเออร์จึงได้แต่กลายเป็นไส้ขนมเปี๊ยอยู่ตรงกลาง
จีเฉวียนยื่นมือออกไปรับตัวเด็กน้อยมา ส่งต่อให้หลี่กงกง “พาท่านหญิงน้อยไปรับประทานอาหารเช้า”
หลี่กงกงไหนเลยจะกล้ารั้งอยู่นาน พอรับตัวท่านหญิงน้อยได้ก็จากไปอย่างรวดเร็วทันที
ฤดูหนาวยามเช้าฟ้าสว่างช้า รอบด้านยังขมุกขมัว ราวกับยามเย็นที่พระอาทิตย์พึ่งจะลับไป
จีเฉวียนยังคงกอดตู๋กูซิงหลันเอาไว้อย่างแนบแน่น นานอีกพักใหญ่ถึงได้ยอมปล่อยนาง
เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้อยากกอดนาง เขารู้สึกโหยหาอย่างประหลาด
เพียงแต่คิดว่าสตรีที่เยาว์วัยเช่นนาง ตนเองยังเป็นเพียงแค่สาวน้อยแท้ๆ กลับต้องไปปลอบประโลมผู้ใหญ่ที่อายุมากกว่าสิบปี เช่นนี้……..เห็นแล้วช่างน่าปวดใจเพียงไร
เขามิได้กล่าวอะไรออกมา ทำเอาตู๋กูซิงหลันงงงันไปอยู่เหมือนกัน
” ฝ่าบาท พระองค์เสด็จมาได้อย่างไรเพคะ? ” ตัวนางมีเลือดเปื้อนอยู่ เป็นกลิ่นคาวเลือดของตู๋กูจุน แม้แต่ตู๋กูซิงหลันยังรู้สึกไม่สบายตัวอยู่บ้าง
” ใกล้ช่วงสิ้นปีแล้วแท้ๆ กลับเกิดเรื่องเช่นนี้ที่ใต้หนังตาของเรา เรามิได้ตาบอด ย่อมไม่อาจทำเป็นนั่งดูโดยไม่เห็นได้ ” จีเฉวียนล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองออกมาผืนหนึ่ง จับมือของนางเช็ดให้อย่างละเอียดละออ
ตู๋กูซิงหลันตะลึงงันไป นางไม่รู้ว่าฮ่องเต้ที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นตัวจริงหรือตัวปลอมกันแน่
ฮ่องเต้ทมิฬกลายเป็นเจ้าชายกบที่อบอุ่นอ่อนโยนได้ด้วยหรือ?
ช่วงเวลาแบบนี้นางไม่ควรจะทำเรื่องอะไรให้เขาต้องหงุดหงิดอารมณ์เสียขึ้นมาสินะ
” เราเคยบอกแล้ว อย่าออกจากวังเพียงลำพัง ” จีเฉวียนทางหนึ่งเช็ดเลือดให้นาง ทางหนึ่งตรัสไปพร้อมกัน “องค์หญิงใหญ่ทรงฝึกฝนวรยุทธ์มาก่อน ย่อมรู้จักปกป้องตนเอง คนที่ถูกแค่ลมก็เป่าจนปลิวได้แบบเจ้า จะทำอะไรได้”
ตู๋กูซิงหลัน ” ข้าเอาหินมาถ่วงไว้บนอกก็ได้”
จีเฉวียน “………..”
ตู๋กูซิงหลันยังพูดอีกว่า ” ข้ายังตีฮ่องเต้สุ….”
คำสุดท้ายนั้นนางย่อมไม่ได้พูดออกมา แต่กลืนลงท้องไป ค่อยยิ้มออกมาอย่างอ่อนหวาน ” ตีท่านก็ได้”
จีเฉวียนยอกพระหัตถ์ขึ้นมาเขกศีรษะนางครั้งหนึ่ง ” เจ้าไปอยู่นิ่งๆ ให้เราเสียเถอะ”
เขาเขกนางไม่แรง เพียงแค่ทำให้นางรู้สึกเจ็บๆ คันๆ เท่านั้น
นางทำท่าน้อยอกน้อยใจไปในทันที ยามออกจากวังรีบร้อนจัดกระทั่งไม่ได้หยุดม้าเลยสักนิด พอมาถึงแม้แต่น้ำอุ่นก็ยังไม่ได้ดื่มสักอึก เรื่องวุ่นวายพึ่งจะจบลง ยามนี้หิวจนท้องโหวงเหวง
ท้องที่ว่างเปล่าของนางร่ำร้องออกมาดังครืดคราดต่อพระพักตร์จีเฉวียน
” มาเถอะ ไปทานอาหารเช้ากัน ” จีเฉวียนตรัสแล้ว เสด็จนำนางเข้าไปในห้องว่างห้องหนึ่ง
โดยไม่ทันรู้ตัว ห้องนั้นก็ตระเตรียมโจ๊กอุ่นและเครื่องเคียงต่างๆ เอาไว้แล้ว อีกทั้งยังมีแตงหวานที่นางชอบกินที่สุด กระทั่งไม้เสียบเล็กๆ ก็มี
ไม้เสียบทองคำ!
” ทำออกมาจากในวัง พึ่งส่งมาถึงเมื่อครู่นี้ รีบทานขณะยังร้อนเถอะ” จีเฉวียนประทับลงด้านหนึ่ง ทรงตักโจ๊กให้นางด้วยพระองค์เอง
โจ๊กละเอียดที่มีเนื้อบดผสม แค่ฝีมือปรุงโจ๊กก็นับว่าไม่ธรรมดา กลิ่นหอมของโจ๊กผสมกับกลิ่นเนื้อ เพียงดมไปครั้งหนึ่งก็ทำเอานางอยากอาหารขึ้นมา
ตู๋กูซิงหลันหันมาจดจ้องมองเขา
จีเฉวียนสีพระพักตร์เคร่งขรึมลง ใช้ช้อนตักไปคำหนึ่ง ชิมดูก่อนด้วยพระองค์เอง ” ไม่มีพิษ”
ตู๋กูซิงหลัน “………” เรื่องมีพิษหรือไม่นั้น ช่างมันไปเถอะ นางเพียงแต่รู้สึกหวาดกลัววิธีการต้มกบในน้ำอุ่นที่เขาใช้อยู่บ้างเท่านั้น
” รีบทาน ทานเสร็จก็กลับเข้าวัง เรายังต้องรีบกลับไปประชุมยามเช้า ” จีเฉวียนเร่งรัดนาง
ตู๋กูซิงหลันมองดูช้อนที่เขาเคยใช้ ก็ลังเลเล็กน้อย
นางเป็นคนที่เรื่องมากเรื่องของกินของใช้อยู่บ้าง ชามช้อนที่คนอื่นเคยแตะต้องหรือไม่สะอาดนางล้วนไม่ยอมใช้ ผลไม้ที่มีคนกัดแล้วนางไม่มีทางไปกัดเป็นคำที่สองแน่นอน
” ฝ่าบาท หากว่าให้ข้าใช้ช้อนที่พระองค์ทรงเสวยโจ๊กไปแล้วมากินข้าวละก็…..” ตู๋กูซิงหลันยังคงลังเล
” เราบ้วนปากแล้ว” จีเฉวียนทรงคิดไม่ถึงมาก่อยว่าตนเองจะถูกรังเกียจเช่นนี้
สตรีที่ไม่รู้ความผู้นี้! เขาไม่สมควรจะออกจากวังมาส่งข้าวเช้าให้นางเลย
ตู๋กูซิงหลันหงอยไปชั่วขณะ ค่อยตอบว่า ” ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้รังเกียจพระองค์ เพียงแต่…..นี้ไม่ใช่การจูบกันทางอ้อมหรอกหรือ? “
จูบกันทางอ้อม!
คำพูดไม่กี่คำนั้นทำเอาจีเฉวียนทรงตะลึงไปแล้ว เขาสมควรรู้แต่แรกว่าในสมองของสตรีผู้นี้มีแต่เรื่องเหลวไหลไร้สาระ
” จูบจริงๆ กับปากของเราก็เคยมาแล้ว เจ้ายังจะไปกังวลกับจูบทางอ้อมอีกทำไม หืม? “
ตู๋กูซิงหลัน “!!! ” อย่าไปพูดถึงเรื่องนี้ได้ไหม? มันน่าละอาย ทำไมนางถึงได้รู้สึกว่าทำผิดตำแหน่งแม่เลี้ยงนี้ไปแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น……หลายวันนี้เขาพึ่งจะไปโปรดปรานเสี่ยวซูเฟยมาเองไม่ใช่หรือ ไม่ทันไรก็หันมาใช้วิธีต้มน้ำอุ่น (ต้มกบ) กับนางเสียแล้ว มันจะดีหรือ?
ตู๋กูซิงหลันกระพริบตาปริบๆ มองดูจีเฉวียน
ฮ่องเต้ยุคโบราณช่างมากรักมากน้ำใจเสียจริง ถึงแม้จะบอกว่าในสามวังหกตำหนักเขาคิดจะโปรดปรานใครก็ย่อมได้ แต่ตู๋กูซิงหลันอย่างไรเสียก็มาจากโลกยุคปัจจุบัน มุมมองความรักของนางยังคงเป็นเรื่องของคนสองคนตราบจนสิ้นชีวิต
เอาเถอะ ถึงแม้ว่านางจะเป็นสตรีเจ้าชู้ที่ชอบชมดูสาวงามไปทั่ว
แต่ก็มีข้อจำกัดอยู่เพียงแค่การดูเท่านั้น อย่างมากที่สุดก็แค่จับมือลูบหน้าเป็นพอ
ตู๋กูซิงหลันครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ก็รู้สึกว่าตนเองมิได้เจ้าชู้จนเกินไป
วิญญาณทมิฬที่ได้กลืนกินปีศาจฝันร้ายในความฝันขององค์หญิงใหญ่ก็โผล่ออกมา ” เจ้าไม่ได้เจ้าชู้ แค่รักไปทั่วๆ “
คำนี้ตู๋กูซิงหลันยังชอบฟังอยู่บ้าง
จีเฉวียนเห็นนางนิ่งงันไปไม่พูดไม่จา ติ่งพระกรรณทั้งสองข้างก็แดงขึ้นมาบ้างแล้ว เขาเป็นถึงประมุขของแว่นแคว้นหนึ่ง จะพูดจาโดยไม่คิดเช่นนี้ได้อย่างไร
” เจ้าอย่าได้คิดมากไป ทุกวันนี้ในใจของเรามีซูกุ้ยเฟยอยู่แล้ว ย่อมไม่ได้คิดอะไรกับเจ้าหรอก”
ประโยคนี้น่าขัดใจนัก แต่เขากลับตรัสออกมาอย่างเป็นจริงเป็นจังที่สุด
ตู๋กูซิงหลันคนโจ๊ก รับคำเบาๆ นางถอนหายใจออกมาเบาๆ แย้มยิ้มทั้งหัวคิ้วและดวงตา “เช่นนั้นก็ดีเลย”
ถึงแม้ว่าจะคาดเอาไว้อยู่แล้วว่านางจะมีปฎิกิริยาเช่นนี้ แต่ว่าจีเฉวียนก็ยังคงรู้สึกเสียพระทัยอยู่ดี
หลายวันนี้หมอหลวงซุนมาจับชีพจรถวาย สภาพร่างกายเป็นปกติดี ไม่มีปัญหาในที่ใด แต่ว่าเป็นหัวใจของเขาที่มีปัญหา
จิตใจหดหู่ มีแต่ความวิตกกังวล
” ฝ่าบาท พระองค์ทรงมีผู้ใดอยู่ในพระทัยเข้าแล้ว ” หมอหลวงซุนจับชีพจรไปมาอยู่นาน ก็ถวายข้อสรุปออกมาเช่นนี้
ถึงวันนี้ผู้คนต่างก็รู้ว่า ฝ่าบาททรงยกซูกุ้ยเฟยเป็นคนโปรดในพระทัย
” พวกเราเหล่าบุรุษนั้น เมื่อชื่นชอบสตรีขึ้นมาสักคน จิตใจก็จะไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ร่างกายก็ไม่เป็นอิสระอีก”
” จิตใจเปลี่ยนแปลงง่าย อารมณ์ขึ้นลงรวดเร็ว เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องปกติ ขอเพียงพระองค์ทรงโปรดปรานประทับอยู่ร่วมกับซูกุ้ยเฟยอย่างกลมเกลียวอยู่เสมอ นานไปก็จะดีขึ้นเองพะยะค่ะ”
ฝีมือการประจบสอพอของหมอหลวงซุนนับว่าสูงส่งจนถึงก้นม้าแล้ว หลังจากที่ถวายการตรวจครั้งนี้แล้วจึงมีรับสั่งให้ลดขั้นเขา
จากหัวหน้าแพทย์หลวงเหลือเพียงเด็กต้มยาก็พอ
จีเฉวียนทรงคิดทบทวนถ้อยคำของหมอหลวงซุน ทรงรู้สึกว่าเขาผิดแล้ว
พระองค์ทรงเป็นฮ่องเต้ ฮ่องเต้ไม่อาจมีพระทัยให้กับสตรีใครใดคนหนึ่ง
ยิ่งไปกว่านั้น ซูเม่ยก็เป็นบุรุษทั้งแท่ง
แต่หากถอยมามองดูก้าวหนึ่ง ต่อให้เขาเกิดความสนใจในผู้ใด เขาย่อมไม่มีทางเอ่ยจากปากก่อนเป็นแน่
เมื่อนั่งอยู่บนบัลลังค์ฮ่องเต้ ก็ไม่อาจลำเอียงรักใคร่ใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น
ฉะนั้นมีแต่ต้องให้อีกฝ่ายแสดงความรู้สึกออกมาอย่างชัดเจน อย่างสุดจิตสุดใจ เขาค่อยฝืนตอบรับไปด้วยความลำบากใจ เช่นนี้จึงจะเหมาะสมและถูกต้อง
เพียงแต่คนที่เคยเทิดทูนเขาจนลอยขึ้นฟ้า ยามนี้กลับไม่ค่อยจะยอมเทิดทูนเขาอีกแล้ว
อยู่ๆ จีเฉวียนก็ทรงตรัสถามออกมาในทันใดว่า ” ตู๋กูซิงหลัน ตอนนั้นที่เจ้าปฎิเสธไม่ยอมแต่งงานกับเรา ยามนี้ไม่เสียใจอยู่บ้างจริงๆ หรือ? “