ตอนที่ 158 เมื่อใจไม่อยู่กับตัว ตัวก็ไร้อิสระ

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ตู๋กูซิงหลันช่างอ่อนโยนกับองค์หญิงใหญ่มากเกินไปแล้ว ความอ่อนโยนถึงเพียงนี้แม้แต่พระองค์เองก็ยังไม่เคยได้ทอดพระเนตรมาก่อน 

 

 

ตู๋กูซิงหลันอุ้มซุ่นเออร์ออกมาจากในเรือน ค่อยนำเสด็จจีเฉวียนออกไปด้านข้างเรือน หันไปยกมือ”ไฮ” ทักเขาคำหนึ่ง 

 

 

จีเฉวียนมองดูกิริยาของนาง ก็อดที่จะดึงนางเข้ามาในอ้อมกอดไม่ได้ เขารัดนางอย่างแนบแน่น 

 

 

ซุ่นเออร์จึงได้แต่กลายเป็นไส้ขนมเปี๊ยอยู่ตรงกลาง 

 

 

จีเฉวียนยื่นมือออกไปรับตัวเด็กน้อยมา ส่งต่อให้หลี่กงกง “พาท่านหญิงน้อยไปรับประทานอาหารเช้า” 

 

 

หลี่กงกงไหนเลยจะกล้ารั้งอยู่นาน พอรับตัวท่านหญิงน้อยได้ก็จากไปอย่างรวดเร็วทันที 

 

 

ฤดูหนาวยามเช้าฟ้าสว่างช้า รอบด้านยังขมุกขมัว ราวกับยามเย็นที่พระอาทิตย์พึ่งจะลับไป 

 

 

จีเฉวียนยังคงกอดตู๋กูซิงหลันเอาไว้อย่างแนบแน่น นานอีกพักใหญ่ถึงได้ยอมปล่อยนาง 

 

 

เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้อยากกอดนาง เขารู้สึกโหยหาอย่างประหลาด 

 

 

เพียงแต่คิดว่าสตรีที่เยาว์วัยเช่นนาง ตนเองยังเป็นเพียงแค่สาวน้อยแท้ๆ กลับต้องไปปลอบประโลมผู้ใหญ่ที่อายุมากกว่าสิบปี เช่นนี้……..เห็นแล้วช่างน่าปวดใจเพียงไร 

 

 

เขามิได้กล่าวอะไรออกมา ทำเอาตู๋กูซิงหลันงงงันไปอยู่เหมือนกัน 

 

 

” ฝ่าบาท พระองค์เสด็จมาได้อย่างไรเพคะ? ” ตัวนางมีเลือดเปื้อนอยู่ เป็นกลิ่นคาวเลือดของตู๋กูจุน แม้แต่ตู๋กูซิงหลันยังรู้สึกไม่สบายตัวอยู่บ้าง 

 

 

” ใกล้ช่วงสิ้นปีแล้วแท้ๆ กลับเกิดเรื่องเช่นนี้ที่ใต้หนังตาของเรา เรามิได้ตาบอด ย่อมไม่อาจทำเป็นนั่งดูโดยไม่เห็นได้ ” จีเฉวียนล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองออกมาผืนหนึ่ง จับมือของนางเช็ดให้อย่างละเอียดละออ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันตะลึงงันไป นางไม่รู้ว่าฮ่องเต้ที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นตัวจริงหรือตัวปลอมกันแน่ 

 

 

ฮ่องเต้ทมิฬกลายเป็นเจ้าชายกบที่อบอุ่นอ่อนโยนได้ด้วยหรือ? 

 

 

ช่วงเวลาแบบนี้นางไม่ควรจะทำเรื่องอะไรให้เขาต้องหงุดหงิดอารมณ์เสียขึ้นมาสินะ 

 

 

” เราเคยบอกแล้ว อย่าออกจากวังเพียงลำพัง ” จีเฉวียนทางหนึ่งเช็ดเลือดให้นาง ทางหนึ่งตรัสไปพร้อมกัน “องค์หญิงใหญ่ทรงฝึกฝนวรยุทธ์มาก่อน ย่อมรู้จักปกป้องตนเอง คนที่ถูกแค่ลมก็เป่าจนปลิวได้แบบเจ้า จะทำอะไรได้” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน ” ข้าเอาหินมาถ่วงไว้บนอกก็ได้” 

 

 

จีเฉวียน “………..” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยังพูดอีกว่า ” ข้ายังตีฮ่องเต้สุ….” 

 

 

คำสุดท้ายนั้นนางย่อมไม่ได้พูดออกมา แต่กลืนลงท้องไป ค่อยยิ้มออกมาอย่างอ่อนหวาน ” ตีท่านก็ได้” 

 

 

จีเฉวียนยอกพระหัตถ์ขึ้นมาเขกศีรษะนางครั้งหนึ่ง ” เจ้าไปอยู่นิ่งๆ ให้เราเสียเถอะ” 

 

 

เขาเขกนางไม่แรง เพียงแค่ทำให้นางรู้สึกเจ็บๆ คันๆ เท่านั้น 

 

 

นางทำท่าน้อยอกน้อยใจไปในทันที ยามออกจากวังรีบร้อนจัดกระทั่งไม่ได้หยุดม้าเลยสักนิด พอมาถึงแม้แต่น้ำอุ่นก็ยังไม่ได้ดื่มสักอึก เรื่องวุ่นวายพึ่งจะจบลง ยามนี้หิวจนท้องโหวงเหวง 

 

 

ท้องที่ว่างเปล่าของนางร่ำร้องออกมาดังครืดคราดต่อพระพักตร์จีเฉวียน 

 

 

” มาเถอะ ไปทานอาหารเช้ากัน ” จีเฉวียนตรัสแล้ว เสด็จนำนางเข้าไปในห้องว่างห้องหนึ่ง 

 

 

โดยไม่ทันรู้ตัว ห้องนั้นก็ตระเตรียมโจ๊กอุ่นและเครื่องเคียงต่างๆ เอาไว้แล้ว อีกทั้งยังมีแตงหวานที่นางชอบกินที่สุด กระทั่งไม้เสียบเล็กๆ ก็มี 

 

 

ไม้เสียบทองคำ! 

 

 

” ทำออกมาจากในวัง พึ่งส่งมาถึงเมื่อครู่นี้ รีบทานขณะยังร้อนเถอะ” จีเฉวียนประทับลงด้านหนึ่ง ทรงตักโจ๊กให้นางด้วยพระองค์เอง 

 

 

โจ๊กละเอียดที่มีเนื้อบดผสม แค่ฝีมือปรุงโจ๊กก็นับว่าไม่ธรรมดา กลิ่นหอมของโจ๊กผสมกับกลิ่นเนื้อ เพียงดมไปครั้งหนึ่งก็ทำเอานางอยากอาหารขึ้นมา 

 

 

ตู๋กูซิงหลันหันมาจดจ้องมองเขา 

 

 

จีเฉวียนสีพระพักตร์เคร่งขรึมลง ใช้ช้อนตักไปคำหนึ่ง ชิมดูก่อนด้วยพระองค์เอง ” ไม่มีพิษ” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “………” เรื่องมีพิษหรือไม่นั้น ช่างมันไปเถอะ นางเพียงแต่รู้สึกหวาดกลัววิธีการต้มกบในน้ำอุ่นที่เขาใช้อยู่บ้างเท่านั้น 

 

 

” รีบทาน ทานเสร็จก็กลับเข้าวัง เรายังต้องรีบกลับไปประชุมยามเช้า ” จีเฉวียนเร่งรัดนาง 

 

 

ตู๋กูซิงหลันมองดูช้อนที่เขาเคยใช้ ก็ลังเลเล็กน้อย 

 

 

นางเป็นคนที่เรื่องมากเรื่องของกินของใช้อยู่บ้าง ชามช้อนที่คนอื่นเคยแตะต้องหรือไม่สะอาดนางล้วนไม่ยอมใช้ ผลไม้ที่มีคนกัดแล้วนางไม่มีทางไปกัดเป็นคำที่สองแน่นอน 

 

 

” ฝ่าบาท หากว่าให้ข้าใช้ช้อนที่พระองค์ทรงเสวยโจ๊กไปแล้วมากินข้าวละก็…..” ตู๋กูซิงหลันยังคงลังเล 

 

 

” เราบ้วนปากแล้ว” จีเฉวียนทรงคิดไม่ถึงมาก่อยว่าตนเองจะถูกรังเกียจเช่นนี้ 

 

 

สตรีที่ไม่รู้ความผู้นี้! เขาไม่สมควรจะออกจากวังมาส่งข้าวเช้าให้นางเลย 

 

 

ตู๋กูซิงหลันหงอยไปชั่วขณะ ค่อยตอบว่า ” ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้รังเกียจพระองค์ เพียงแต่…..นี้ไม่ใช่การจูบกันทางอ้อมหรอกหรือ? “ 

 

 

จูบกันทางอ้อม! 

 

 

คำพูดไม่กี่คำนั้นทำเอาจีเฉวียนทรงตะลึงไปแล้ว เขาสมควรรู้แต่แรกว่าในสมองของสตรีผู้นี้มีแต่เรื่องเหลวไหลไร้สาระ 

 

 

” จูบจริงๆ กับปากของเราก็เคยมาแล้ว เจ้ายังจะไปกังวลกับจูบทางอ้อมอีกทำไม หืม? “ 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “!!! ” อย่าไปพูดถึงเรื่องนี้ได้ไหม? มันน่าละอาย ทำไมนางถึงได้รู้สึกว่าทำผิดตำแหน่งแม่เลี้ยงนี้ไปแล้ว 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น……หลายวันนี้เขาพึ่งจะไปโปรดปรานเสี่ยวซูเฟยมาเองไม่ใช่หรือ ไม่ทันไรก็หันมาใช้วิธีต้มน้ำอุ่น (ต้มกบ) กับนางเสียแล้ว มันจะดีหรือ? 

 

 

ตู๋กูซิงหลันกระพริบตาปริบๆ มองดูจีเฉวียน 

 

 

ฮ่องเต้ยุคโบราณช่างมากรักมากน้ำใจเสียจริง ถึงแม้จะบอกว่าในสามวังหกตำหนักเขาคิดจะโปรดปรานใครก็ย่อมได้ แต่ตู๋กูซิงหลันอย่างไรเสียก็มาจากโลกยุคปัจจุบัน มุมมองความรักของนางยังคงเป็นเรื่องของคนสองคนตราบจนสิ้นชีวิต 

 

 

เอาเถอะ ถึงแม้ว่านางจะเป็นสตรีเจ้าชู้ที่ชอบชมดูสาวงามไปทั่ว 

 

 

แต่ก็มีข้อจำกัดอยู่เพียงแค่การดูเท่านั้น อย่างมากที่สุดก็แค่จับมือลูบหน้าเป็นพอ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ก็รู้สึกว่าตนเองมิได้เจ้าชู้จนเกินไป 

 

 

วิญญาณทมิฬที่ได้กลืนกินปีศาจฝันร้ายในความฝันขององค์หญิงใหญ่ก็โผล่ออกมา ” เจ้าไม่ได้เจ้าชู้ แค่รักไปทั่วๆ “ 

 

 

คำนี้ตู๋กูซิงหลันยังชอบฟังอยู่บ้าง 

 

 

จีเฉวียนเห็นนางนิ่งงันไปไม่พูดไม่จา ติ่งพระกรรณทั้งสองข้างก็แดงขึ้นมาบ้างแล้ว เขาเป็นถึงประมุขของแว่นแคว้นหนึ่ง จะพูดจาโดยไม่คิดเช่นนี้ได้อย่างไร 

 

 

” เจ้าอย่าได้คิดมากไป ทุกวันนี้ในใจของเรามีซูกุ้ยเฟยอยู่แล้ว ย่อมไม่ได้คิดอะไรกับเจ้าหรอก” 

 

 

ประโยคนี้น่าขัดใจนัก แต่เขากลับตรัสออกมาอย่างเป็นจริงเป็นจังที่สุด 

 

 

ตู๋กูซิงหลันคนโจ๊ก รับคำเบาๆ นางถอนหายใจออกมาเบาๆ แย้มยิ้มทั้งหัวคิ้วและดวงตา “เช่นนั้นก็ดีเลย” 

 

 

ถึงแม้ว่าจะคาดเอาไว้อยู่แล้วว่านางจะมีปฎิกิริยาเช่นนี้ แต่ว่าจีเฉวียนก็ยังคงรู้สึกเสียพระทัยอยู่ดี 

 

 

หลายวันนี้หมอหลวงซุนมาจับชีพจรถวาย สภาพร่างกายเป็นปกติดี ไม่มีปัญหาในที่ใด แต่ว่าเป็นหัวใจของเขาที่มีปัญหา 

 

 

จิตใจหดหู่ มีแต่ความวิตกกังวล 

 

 

” ฝ่าบาท พระองค์ทรงมีผู้ใดอยู่ในพระทัยเข้าแล้ว ” หมอหลวงซุนจับชีพจรไปมาอยู่นาน ก็ถวายข้อสรุปออกมาเช่นนี้ 

 

 

ถึงวันนี้ผู้คนต่างก็รู้ว่า ฝ่าบาททรงยกซูกุ้ยเฟยเป็นคนโปรดในพระทัย 

 

 

” พวกเราเหล่าบุรุษนั้น เมื่อชื่นชอบสตรีขึ้นมาสักคน จิตใจก็จะไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ร่างกายก็ไม่เป็นอิสระอีก” 

 

 

” จิตใจเปลี่ยนแปลงง่าย อารมณ์ขึ้นลงรวดเร็ว เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องปกติ ขอเพียงพระองค์ทรงโปรดปรานประทับอยู่ร่วมกับซูกุ้ยเฟยอย่างกลมเกลียวอยู่เสมอ นานไปก็จะดีขึ้นเองพะยะค่ะ” 

 

 

ฝีมือการประจบสอพอของหมอหลวงซุนนับว่าสูงส่งจนถึงก้นม้าแล้ว หลังจากที่ถวายการตรวจครั้งนี้แล้วจึงมีรับสั่งให้ลดขั้นเขา 

 

 

จากหัวหน้าแพทย์หลวงเหลือเพียงเด็กต้มยาก็พอ 

 

 

จีเฉวียนทรงคิดทบทวนถ้อยคำของหมอหลวงซุน ทรงรู้สึกว่าเขาผิดแล้ว 

 

 

พระองค์ทรงเป็นฮ่องเต้ ฮ่องเต้ไม่อาจมีพระทัยให้กับสตรีใครใดคนหนึ่ง 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น ซูเม่ยก็เป็นบุรุษทั้งแท่ง 

 

 

แต่หากถอยมามองดูก้าวหนึ่ง ต่อให้เขาเกิดความสนใจในผู้ใด เขาย่อมไม่มีทางเอ่ยจากปากก่อนเป็นแน่ 

 

 

เมื่อนั่งอยู่บนบัลลังค์ฮ่องเต้ ก็ไม่อาจลำเอียงรักใคร่ใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น 

 

 

ฉะนั้นมีแต่ต้องให้อีกฝ่ายแสดงความรู้สึกออกมาอย่างชัดเจน อย่างสุดจิตสุดใจ เขาค่อยฝืนตอบรับไปด้วยความลำบากใจ เช่นนี้จึงจะเหมาะสมและถูกต้อง 

 

 

เพียงแต่คนที่เคยเทิดทูนเขาจนลอยขึ้นฟ้า ยามนี้กลับไม่ค่อยจะยอมเทิดทูนเขาอีกแล้ว 

 

 

อยู่ๆ จีเฉวียนก็ทรงตรัสถามออกมาในทันใดว่า ” ตู๋กูซิงหลัน ตอนนั้นที่เจ้าปฎิเสธไม่ยอมแต่งงานกับเรา ยามนี้ไม่เสียใจอยู่บ้างจริงๆ หรือ? “