แม้การต่อสู้ครั้งสำคัญผ่านไปแล้ว ทุกคนก็ยังหยุดนิ่งและพูดไม่ออก ไม่คิดเลยว่าสถานการณ์ดุเดือดจะสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้
หานอวี้ก็พุ่งตรงไปที่ซากศพของหมาป่าเขี้ยวยักษ์ก่อนที่จะฟันมือออกไป จากนั้นมันก็กลับไปหาฉินอวี้โม่พร้อมกับเขี้ยวซี่ยักษ์ในมือ
“ท่านแม่ ท่านสามารถนำสิ่งนี้ไปหลอมเป็นกริชได้ มันจะกลายเป็นอาวุธที่มีระดับสูงทีเดียว”
มันยื่นเขี้ยวของอสูรหมาป่าที่ขึ้นชื่อในเรื่องความแข็งแกร่งทนทานให้กับฉินอวี้โม่พร้อมรอยยิ้มพึงพอใจ
การต่อสู้เมื่อครู่ดำเนินไปอย่างราบรื่นและหมาป่าเขี้ยวยักษ์ไม่ทันได้แสดงฝีมือด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม คมเขี้ยวของมันก็ยังคงมีคุณสมบัติแข็งแกร่งทนทานอย่างไร้ข้อกังขา
ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบมังกรน้อยเบาๆ หากว่าเขี้ยวหมาป่าถูกหลอมเป็นกริช เมื่อรวมกับกระบวนท่าโจมตีของนาง มันจะส่งผลลัพธ์ที่น่าทึ่งอย่างแน่นอน
“ท่านเทพมายา โปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วย!”
เวลานี้เลี่ยหยางและคนอื่นๆมีใบหน้าที่ซีดเผือดและลนลานอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเสียหน้ามากเพียงใด พวกเขาก็ไม่สนใจและคุกเข่าลงพร้อมกล่าวอ้อนวอนขอความเมตตาจากฉินอวี้โม่ทันที
“ท่านเทพมายา โปรดอภัยให้เราด้วย! พวกเราหลงผิดที่คิดเชื่อฉินส่าวชิง พวกเรามิได้มีเจตนากระทำสิ่งใดดูหมิ่นหรือไม่เคารพท่านเทพมายาเลยขอรับ”
บรรดาผู้ที่ร่วมกระทำผิดกับเจ้าเมืองฉินตระหนักถึงความผิดและอ้อนวอนขอความเมตตาจากเทพมายาคนใหม่อย่างพร้อมเพรียงกัน
“การไว้ชีวิตทุกคนย่อมได้ ทว่าพวกท่านจะต้องหลั่งเลือดสาบานต่อฟ้าดิน”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มเยือกเย็น นางไม่มีความคิดที่จะสังหารคนเหล่านี้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นสหายและคนใกล้ชิดของฉินส่าวชิง การไว้ชีวิตพวกเขาก็จะเป็นประโยชน์ต่อแผนการต่อไปของนาง
“ท่านเทพมายา ได้โปรดพูดมาเถอะ ไม่ว่าต้องกล่าวสัตย์สาบานอย่างไร พวกเราก็จะไม่คัดค้าน”
ด้วยความหวาดกลัวอย่างที่สุด แน่นอนว่าไม่มีทางที่พวกเขาจะขัดขืนคัดค้านวาจาของฉินอวี้โม่ พวกเขามองนางด้วยแววตาเคารพและปฏิบัติตามโดยดี
“แค่กล่าวสัตย์สาบานว่าพวกเจ้าจะไม่เอ่ยถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้กับผู้ใดและจะภักดีต่อข้าตลอดไป”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวอย่างสบายๆ
เมื่อได้ยินว่าตนเองต้องการกล่าวคำสาบานเพียงเท่านี้ คนเหล่านั้นก็ไม่รอช้าและหลั่งเลือดสาบานทันทีเพื่อพิสูจน์ต่อฟ้าดินว่าพวกเขาจะไม่มีวันทรยศฉินอวี้โม่
เลี่ยหยางก็กำลังจะเริ่มการหลั่งเลือดสาบานทว่าถูกฉินอวี้โม่ขัดจังหวะไว้เสียก่อน
“ฮ่าๆๆ ผู้นำเลี่ยหยาง ชีวิตของท่านขึ้นอยู่กับความเห็นของท่านปู่ซู”
ฉินอวี้โม่ไม่ต้องการแทรกแซงความบาดหมางระหว่างเลี่ยหยางและซูวั่งชวน สำหรับการจัดการกับเลี่ยหยางนั้นนางจึงปล่อยให้เป็นการตัดสินใจของซูวั่งชวน
“ผู้อาวุโสซู ข้าหน้ามืดตามัวไปกับความโลภในชั่วขณะหนึ่ง ข้าจึงสร้างความผิดครั้งใหญ่ ท่านก็เห็นว่าลูกชายของข้าต้องชดใช้เรื่องนี้ด้วยชีวิตของเขาไปแล้ว โปรดไว้ชีวิตข้าเถิด!”
เลี่ยหยางคุกเข่าตรงหน้าซูวั่งชวนและกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน เขาหน้ามืดตามัวไปกับผลประโยชน์ล่อตาล่อใจจนตัดสินใจทำในสิ่งที่ผิดพลาดลงไป มิฉะนั้นเขาคงไม่กล้าทำเรื่องชั่วร้ายทั้งหมดที่ผ่านมา
ซูวั่งชวนสบตากับฉินอวี้โม่และส่ายศีรษะเบาๆอย่างจนปัญญา อันที่จริงต่อให้ฉินอวี้โม่จัดการเลี่ยหยางด้วยตัวเอง เขาก็ไม่ติดใจสิ่งใด ทว่าการที่นางยกให้เป็นการตัดสินใจของเขาเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าสตรีจอมยุทธ์จากต่างแดนผู้นี้ให้เกียรติและมองเขาเป็นมิตรสหายอย่างแท้จริง สิ่งนี้ทำให้ซูวั่งชวน ซูชิงและคนอื่นๆซาบซึ้งใจอย่างยิ่งก่อนที่พวกเขาจะตัดสินใจได้
“เลี่ยหยาง ลืมมันไปเถอะ ข้าควรฆ่าเจ้าเพื่อล้างแค้นให้กับลูกสาวและลูกเขยของข้า ทว่าความแค้นก็เป็นบ่อเกิดของความแค้นที่ไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อลูกของเจ้าถูกสังหารโดยอาอู่ไปแล้ว มันก็ถือว่าเลิกแล้วต่อกัน ตราบใดที่หลั่งเลือดสาบาน ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า อีกทั้งตำแหน่งผู้นำชนเผ่าเพลิงคำรามก็ยังคงเป็นของเจ้า”
ซูวั่งชวนกล่าวตอบ เขาทราบดีว่าการปล่อยให้เลี่ยหยางมีชีวิตต่อไปจะเป็นประโยชน์ต่อแผนการต่อไปของพวกเขา เพราะเหตุนั้นเขาจึงไม่คิดที่จะสังหารอีกฝ่าย
“ขอบคุณมาก ผู้อาวุโสซู”
เมื่อเลี่ยหยางได้ยินวาจาของซูวั่งชวน เขาก็พยักหน้าหงึกหงักและซาบซึ้งในความเมตตาอย่างยิ่ง
จากนั้นเขาก็เริ่มการหลั่งเลือดสาบานทันทีราวกับกลัวว่าซูวั่งชวนและฉินอวี้โม่จะเปลี่ยนใจ
ฉินอวี้โม่พยักหน้าให้กับผู้อาวุโสซูเพื่อแสดงความหมายของการขอบคุณ นางทราบดีว่าการที่ซูวั่งชวนไว้ชีวิตเลี่ยหยางนั้นเกี่ยวข้องกับแผนการต่อไป แผนการดังกล่าวเป็นความคิดของนางเองและก็มีจุดประสงค์เพื่อนางเช่นกัน เพราะเหตุนั้นนางจึงรู้สึกซาบซึ้งกับการตัดสินใจเช่นนี้ของซูวั่งชวน
เมื่อทุกคนกล่าวสัตย์สาบานแล้ว จูเฟยชวี่ ซูชิงและซูวั่งชวนก็มองหน้ากันอย่างเข้าใจความคิดของกันและกัน
ทั้งสามเดินไปตรงหน้าฉินอวี้โม่และคุกเข่าลง
“ข้า..จูเฟยชวี่..ขอหลั่งเลือดสาบานและปฏิญาณว่าจะจงรักภักดีต่อนายหญิงฉินอวี้โม่ตลอดไปโดยที่ไม่มีวันทอดทิ้งหรือคิดทรยศใดๆ”
ทันทีที่สิ้นเสียงของเขา กฎเกณฑ์แห่งฟ้าดินก็ก่อตัวรอบตัวเขาเพื่อบ่งบอกว่าการสาบานเสร็จสมบูรณ์
ซูชิงและซูวั่งชวนกล่าวสัตย์สาบานเช่นเดียวกัน
จากนั้นสมาชิกชนเผ่าเมฆาครามและวิหคโบยบินที่ติดตามพวกเขาเข้ามาในคฤหาสน์เฟิงหัวก็คุกเข่าลงและหลั่งเลือดสาบานเช่นเดียวกับผู้นำของพวกเขา
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก เมื่อฉินอวี้โม่เรียกสติและตอบสนองขึ้นมาได้ การสาบานของพวกเขาทั้งหมดก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว
นางถอนหายใจเบาๆ ช่างเป็นความรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างแท้จริงเมื่อได้ทราบว่าซูวั่งชวนและคนอื่นๆไว้วางใจนางถึงเพียงนี้
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ก็สังเกตได้เช่นกันว่าคำปฏิญาณที่พวกเขากล่าวครานี้เป็นการกล่าวโดยตรงว่าจะภักดีต่อ ‘ฉินอวี้โม่’ มิใช่ตัวตนของเทพมายาอีกต่อไป
ก่อนหน้านี้ซูวั่งชวนและจูเฟยชวี่แสดงท่าทีเคารพต่อนางเพราะนางเป็นเทพมายาคนใหม่ ทว่าคำสาบานครานี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเชื่อมั่นในตัวนางและยอมจำนนอย่างเต็มใจ
“เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนเชื่อใจข้าถึงเพียงนี้ ข้ารับประกันว่าจะนำทุกคนออกไปกอบกู้โลกมายากลับคืนมา ขับไล่ฉินเหยียนออกไปให้พ้นทางและนำพาโลกมายากลับคืนสู่ความรุ่งเรืองในอดีต นักรบผู้กล้าที่ล้มตายไปและผู้ที่ทรยศต่อเทพมายาคนก่อน ข้าจะสะสางปัญหาทั้งหมด ตราบใดที่เราทุ่มเทพยายามกันอย่างเต็มที่ เราทุกคนจะสามารถช่วยกันพัฒนาโลกมายาไปสู่ระดับที่สูงกว่าได้อย่างแน่นอน!”
ฉินอวี้โม่ยืนขึ้นและกล่าวอย่างมั่นใจโดยไม่อาจปิดบังความทะนงตนได้เลย
เมื่อสัมผัสได้ถึงความมั่นใจของฉินอวี้โม่ ซูวั่งชวนและคนอื่นๆก็ยิ้มออกมา พวกเขาเชื่อมั่นว่าตนเองตัดสินใจเลือกทางที่ถูกแล้ว
“ท่านเทพมายา ข้าควรทำอะไรต่อไป?”
เลี่ยหยางเอ่ยขึ้นก่อนเพื่อแสดงถึงความจริงใจของตนเอง
“ผู้นำเลี่ยหยางมีข้อเสนออะไรหรือไม่?”
เมื่อได้ยินวาจาของเลี่ยหยาง ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อยและกล่าวให้เขาเสนอความคิดที่มี
“ท่านเทพมายา ก่อนมาที่นี่ ฉินส่าวชิงส่งคนไปที่เมืองมายาเพื่อขอความช่วยเหลือโดยหวังว่าจะกำจัดชนเผ่าเมฆาครามและท่านไปในคราวเดียว ข้าเชื่อว่าคนเหล่านั้นจะมาถึงเมืองเพลิงมายาในไม่ช้า ตอนนี้ฉินส่าวชิงก็ตายไปแล้ว หากพวกเขารู้เข้า เกรงว่าจะมีปัญหาตามมามากมาย”
ในเมื่อเขายอมจำนนต่อฉินอวี้โม่แล้ว แน่นอนว่าเลี่ยหยางไม่กล้าปิดบังสิ่งใด การหลั่งเลือดสาบานเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง หากมีความขุ่นเคืองหรือมีความคิดเปลี่ยนใจแม้เพียงเสี้ยวหนึ่ง คนผู้นั้นจะถูกลงทัณฑ์โดยกฎเกณฑ์แห่งฟ้าดินโดยตรง
ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆตกตะลึงเล็กน้อยเมื่อได้ยินวาจาของผู้นำชนเผ่าเพลิงคำราม หากเลี่ยหยางไม่กล่าวออกมา เกรงว่าพวกเขาคงไม่มีทางทราบเรื่องนี้ได้เลย
“ข้อเสนอของข้าคือเราควรหาคนปลอมตัวเป็นเจ้าเมืองฉินและห้ามมิให้ผู้ใดรู้เรื่องนี้เด็ดขาด อีกทั้งด้วยสถานะของเขา เราสามารถขุดคุ้ยหาความลับได้อีกมาก ไม่ว่าท่านเทพมายาคิดจะทำสิ่งใดต่อไป มันน่าจะเป็นประโยชน์ไม่น้อยเลย”
บัดนี้เมื่อสาบานความจงรักภักดีต่อฉินอวี้โม่แล้ว เลี่ยหยางจึงรู้สึกผิดกับสิ่งชั่วร้ายที่ทำลงไปในอดีตและรู้สึกว่าตนเองโง่เขลายิ่งนัก เมื่อคิดไตร่ตรองในเวลานี้ เขาก็ตระหนักได้ว่าตนเองควรที่จะตัดสินใจทำอะไรอย่างชาญฉลาดมากกว่านี้
“ผู้นำเลี่ยหยางพูดถูก เพียงแต่เราไม่รู้จักตัวตนของฉินส่าวชิง หากคิดจะให้ใครปลอมตัวเป็นเขา เราต้องหาคนที่เหมาะสม”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบาๆ นี่คือแผนการก่อนหน้านี้ที่พวกนางคิดไว้ เดิมทีนางต้องการที่จะปลอมตัวเอง ทว่าด้วยครรภ์ที่โตชัดเจนทำให้ทางเลือกนั้นเป็นไปไม่ได้ จากนั้นนางจึงตัดสินใจที่จะส่งซูชิงไป ทว่าตอนนี้ดูเหมือนว่านางจะมีทางเลือกที่ดีกว่า
“ฮ่าๆๆ ผู้นำเลี่ยหยางมีความสัมพันธ์อันดีกับฉินส่าวชิงและน่าจะรู้จักเขาเป็นอย่างดี ข้าคิดว่าการให้ท่านปลอมตัวเป็นเจ้าเมืองฉินเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น เราก็มีอดีตสหายคนสนิทของฉินส่าวชิงหลายคนที่คอยช่วยอยู่เช่นกัน มันน่าจะไม่ยากเกินไป”
ซูชิงแสดงความคิดเห็นของตนเองพร้อมกับรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทั้งซูวั่งชวนและจูเฟยชวี่ก็พยักศีรษะเห็นด้วยทันที
เลี่ยหยางตกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าตนเองคือผู้ที่จะได้รับมอบหมายหน้าที่นั้น การปลอมตัวเป็นฉินส่าวชิงคือบทบาทที่สำคัญอย่างยิ่ง แม้ว่ากล่าวสัตย์สาบานต่อฟ้าดินแล้ว เขาก็ไม่คาดคิดว่าตนเองจะได้รับมอบหมายหน้าที่สำคัญเช่นนี้ เลี่ยหยางอดไม่ได้ที่จะหันไปมองฉินอวี้โม่เพื่อรอคำตอบของนาง
“ฮ่าๆๆ ข้าก็คิดเช่นเดียวกัน ผู้นำเลี่ยหยางรู้จักฉินส่าวชิงเป็นอย่างดีและน่าจะปลอมตัวเป็นเขาได้ไม่ยาก”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวเห็นด้วยกับวาจาของซูชิง
“ท่านเทพมายา เรื่องนี้มิใช่เรื่องเล็กๆ ท่านไว้วางใจให้ข้าปลอมตัวเป็นเจ้าเมืองฉินอย่างนั้นหรือ?”
เลี่ยหยางลังเลเล็กน้อยและอดเอ่ยถามความสงสัยออกไปไม่ได้
“จะใช้คนก็อย่าระแวง หากระแวงใครก็อย่าใช้เขา ในเมื่อพวกท่านหลั่งเลือดสาบานและจำนนต่อข้าแล้วก็ถือว่าเราเป็นพันธมิตรกัน ข้าไม่กังวลหรอก”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มบางๆ นี่คือหลักปรัชญาในการใช้ชีวิตของนาง หากไม่เชื่อมั่นหรือไว้วางใจในผู้ใด นางก็จะไม่ใช้งานพวกเขาอย่างแน่นอน
ในเมื่อเลี่ยหยางและคนอื่นๆกล่าวสัตย์สาบานต่อฟ้าดินแล้ว พวกเขาก็คงไม่มีความคิดทรยศใดๆ ยิ่งไปกว่านั้น นางเชื่อว่าตัวตนของนางทำให้เลี่ยหยางและคนอื่นๆยอมจำนนอย่างแท้จริง
เมื่อได้ยินวาจาของเทพมายาคนใหม่ เลี่ยหยางและพวกก็มองหน้ากันด้วยความรู้สึกเคารพฉินอวี้โม่ยิ่งกว่าเดิม เห็นทีว่าการจำนนต่อคนผู้นี้มิใช่เรื่องที่เลวร้าย นางไม่สนใจเรื่องบาดหมางที่ผ่านมาและปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างพันธมิตร สิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเขาซาบซึ้งใจไม่น้อยเลย
“ในเมื่อท่านเทพมายาไว้วางใจในตัวข้ามากเช่นนี้ ข้าจะรับหน้าที่ปลอมตัวเป็นฉินส่าวชิงเองและจะพยายามสืบข้อมูลให้ได้มากที่สุด”
เลี่ยหยางพยักศีรษะอย่างแรงและตัดสินใจที่จะทุ่มเทอย่างเต็มที่
“ส่วนเรื่องชนเผ่าเพลิงคำราม ท่านควรจะเลือกหาคนที่มีความสามารถและเชื่อใจได้เพื่อรับผิดชอบดูแลมันต่อ”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะพร้อมกล่าวให้เลี่ยหยางจัดการเรื่องของชนเผ่าเพลิงคำรามเสียก่อน
“ฮ่าๆๆ ไม่ต้องหรอก ชนเผ่าเพลิงคำรามควรเป็นของบิดาอาอู่ตั้งแต่แรก ตอนนี้ข้าจะคืนมันให้กับเจ้าของที่แท้จริงและให้อาอู่รับตำแหน่งผู้นำชนเผ่า”
เลี่ยหยางกล่าวอย่างสบายๆ เวลานี้ความชิงชังที่เขามีต่ออาอู่มลายหายไปเช่นกัน นี่คือสิ่งที่ควรที่จะเป็นตั้งแต่แรกแล้ว การตัดสินใจของเขาจึงไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาดเกินไป
“เอาล่ะ เราจะถามความคิดเห็นของอาอู่ก่อน”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบาๆและไม่คิดว่าเลี่ยหยางจะยอมสละตำแหน่งผู้นำชนเผ่าอย่างง่ายดายและไม่ทุกข์ร้อนเช่นนี้
“หากเป็นเช่นนั้นก็เริ่มกันเถอะ ข้าได้ยินมาว่าผู้นำจูชำนาญด้านศิลปะการปลอมตัวและคงจะเตรียมความพร้อมไว้นานแล้ว”
เลี่ยหยางกล่าวและกวาดสายตาไปที่จูเฟยชวี่
เมื่อได้ยินวาจาของอีกฝ่าย จูเฟยชวี่ก็ยิ้มออกมาเช่นกัน ฉินอวี้โม่และทุกคนทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี เขาสามารถเปลี่ยนเลี่ยหยางให้กลายเป็น ‘เจ้าเมืองฉิน’ ได้อย่างแน่นอน!
.