ตอนที่ 426 ข่ายอาคมใหม่

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ผ่านไปเพียงครู่เดียว สภาวะพลังของฉินส่าวชิงก็ทรงพลังขึ้นกว่าเดิมถึงหลายเท่าตัวและบรรลุถึงพลังขอบเขตเซียนขั้นสูงสุด

และอสูรมายาข้างกายเขาก็คือหมาป่าขนาดมหึมาซึ่งปกคลุมไปด้วยสีดำทะมึนทั่วร่างและดูแปลกประหลาดอย่างยิ่ง

“นั่นมันเทพสงครามของเผ่าพันธุ์หมาป่า—หมาป่าเขี้ยวยักษ์!”

มารยาขมวดคิ้วเล็กน้อยและจำอสูรมายาที่ปรากฏกายข้างฉินส่าวชิงได้ในทันที

เมื่อได้ยินวาจาของมารยา ฉินอวี้โม่เองก็ขมวดคิ้วเช่นกัน นางเคยได้ยินเกี่ยวกับหมาป่าเขี้ยวยักษ์ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นเทพสงครามของเผ่าพันธุ์หมาป่าและมีพลังทำลายล้างที่ทรงอำนาจอย่างยิ่ง ในปากของมันมีเขี้ยวที่แข็งแกร่งอย่างที่สุด ตำนานเล่าขานกันว่ามันสามารถเจาะทะลวงการป้องกันทุกอย่างได้ ซึ่งถือว่าเป็นอาวุธที่แหลมคมอย่างที่สุด

“นายหญิง หมาป่าเขี้ยวยักษ์ตัวนี้ทรงพลังเป็นอย่างมากและเป็นอสูรที่กระหายเลือดโดยธรรมชาติ ข้าคิดว่ามันมีความแข็งแกร่งอย่างน้อยในระดับอสูรเซียนขั้นแปด ท่านควรเรียกเสี่ยวเฮยและอสูรตัวอื่นๆกลับมาก่อน”

มารยาชำเลืองมองเสี่ยวเฮยและอสูรตัวอื่นๆซึ่งไม่มีท่าทีว่าจะถอยกลับมาพร้อมกล่าวกับฉินอวี้โม่

“เสี่ยวเฮย พวกเจ้าทั้งหมดกลับมาก่อน”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่ลังเลและเอ่ยเรียกอสูรมายากลับมาทันที นางทราบดีว่ามารยาพูดถูกและอสูรอย่างเสี่ยวเฮยไม่อาจเทียบชั้นกับหมาป่าเขี้ยวยักษ์ได้ เพียงแรงกดดันอันทรงพลังจากหมาป่าขนาดมหึมาก็ทำให้พวกมันไร้ซึ่งพลังแล้ว

แม้ว่าเสี่ยวเฮยและอสูรมายาตัวอื่นๆจะไม่เข้าใจคำสั่งของผู้เป็นนาย พวกมันก็ถอยกลับมาโดยดีและคอยคุ้มกันความปลอดภัยรอบด้าน

หานอวี้ไม่ขยับเขยื้อนใดๆ ทว่าลอยตัวอยู่ตรงหน้าหมาป่าเขี้ยวยักษ์พร้อมรอยยิ้มกว้าง “ไม่คิดเลยว่าหมาป่าเขี้ยวยักษ์จะมีหน้าตาน่าเกลียดเช่นนี้ แต่ก็คงมีแค่อสูรที่น่าเกลียดเช่นนี้เท่านั้นที่จะเหมาะสมกับฉินส่าวชิง”

เมื่อได้ยินวาจาเยาะเย้ยถากถางของหานอวี้ หมาป่าเขี้ยวยักษ์ซึ่งหลับตานิ่งก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมาและจ้องมองมันอย่างดุดัน

“หากไม่ใช่เป็นเพราะการที่ข้ายังไม่ได้วิวัฒนาการ การที่มีหมาป่าเขี้ยวยักษ์ตัวน้อยจ้องหน้าข้าเช่นนี้ นายน้อยผู้นี้จะต้องควักลูกตามันออกมาอย่างแน่นอน”

เมื่อเห็นหมาป่าเขี้ยวยักษ์จ้องมองมันตาเขม็ง มังกรน้อยก็เหลือบมองอีกฝ่ายด้วยความหยามเหยียดและกล่าววาจาดูถูก มันยอมรับว่าตนเองในเวลานี้ไม่ถือเป็นคู่ต่อสู้ของหมาป่าเขี้ยวยักษ์ มันจึงไม่คิดที่จะลงมือ ยิ่งไปกว่านั้น วันนี้มันก็ต้องการเพียงรับชมพลังของข่ายอาคมที่มารยาวางไว้ มันจึงมีท่าทางที่ผ่อนคลายมาก

“ฮ่าๆๆ ฉินอวี้โม่ วันนี้ข้าจะตัดหัวเจ้าและนำไปมอบให้ผู้นำฉินเหยียน จากนั้นข้าจะหาทางยึดกายเทพมายาของเจ้ามาเป็นของข้า หากข้าครองกายเทพมายามาได้ ข้าเชื่อว่าแม้แต่ผู้นำฉินเหยียนก็ต้องเคารพข้าอย่างที่สุด”

ฉินส่าวชิงมองฉินอวี้โม่และกล่าวพร้อมรอยยิ้มเย็นชา

“ช่างโง่เขลานัก กายเทพมายาเป็นสภาวะร่างกายพิเศษที่ต้องได้รับมาจากการสืบทอดเท่านั้น เจ้าจะยึดเอากายเทพมายาไปได้อย่างไรกัน? การใฝ่ฝันที่จะครอบครองกายเทพมายาเช่นนี้เป็นเพียงแค่ความฝันลมๆแล้งๆ!”

เมื่อได้ยินวาจาเพ้อฝันของเจ้าเมืองฉิน หานอวี้ก็อดชำเลืองมองเขาด้วยแววตาเหยียดหยามไม่ได้ ฉินส่าวชิงผู้นี้เสียสติไปแล้วจริงๆ

“เหอะ หนวกหู อย่ามาส่งเสียงดังหนวกหูแถวนี้ ไอ้หนู ไปเล่นที่อื่นเถอะไป”

เมื่อได้ยินน้ำเสียงของหานอวี้ ฉินส่าวชิงก็หันขวับมองเจ้าหนูน้อยด้วยแววตาเย็นชาและเหวี่ยงฝ่ามือวายุตรงไปที่ร่างของมันทันที

หานอวี้ก็มิได้หลบหลีก ทว่าเพียงรับฝ่ามือของฉินส่าวชิงไว้ได้อย่างปลอดภัยโดยที่ไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนใดๆ

อย่างไรก็ตาม การถูกเรียกว่า ‘ไอ้หนู’ ทำให้หานอวี้ซึ่งเป็นถึงมังกรทองสายเลือดสูงส่งโกรธเกรี้ยวอย่างที่สุด หากไม่ใช่เพราะมันยังไม่ผ่านพ้นการลงทัณฑ์สายฟ้าไป การจัดการกับคู่ต่อสู้ตรงหน้านี้คงไม่ต่างจากการบีบมดน้อยให้ตายคามือ

“มารยา จัดการพวกเขาซะ แสดงให้พวกเขาได้เห็นว่าเจ้าทรงพลังเพียงใด”

“รับทราบ นายหญิง ข้าจะจัดการเอง”

มารยายิ้มตอบและก้อนแสงสี่ก้อนปรากฏที่ปลายนิ้วมือของมันก่อนพุ่งไปในแต่ละทิศทางไม่ว่าจะเป็นทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศเหนือและทิศตะวันตก

ทันทีที่ฉินส่าวชิงและหมาป่าเขี้ยวยักษ์กำลังจะปล่อยการโจมตี ทั้งสองก็สัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลที่กดทับลงมาอย่างรุนแรงซึ่งน่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด

เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง พวกเขาก็พบกับฝ่ามือทรงพลังจำนวนนับไม่ถ้วนที่ปรากฏเหนือศีรษะซึ่งฟาดลงมาอย่างกะทันหัน

“ลองรับข่ายอาคมที่ข้าเพิ่งเรียนรู้มาซะเถอะ…คลื่นฝ่ามือคณานับ!”

มารยากระตุกมุมปากเล็กน้อยและสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ นี่เป็นข่ายอาคมระดับสูงและมีเฉพาะผู้ใช้ข่ายอาคมระดับเชี่ยวชาญเท่านั้นที่จะสามารถเรียนรู้ได้ อสูรสาวเองก็ศึกษาข่ายอาคมนี้ได้หลังเผชิญทัณฑ์สายฟ้าเมื่อไม่นานมานี้

แม้ว่ายังไม่เคยมีโอกาสทดสอบพลังของข่ายอาคมคลื่นฝ่ามือคณานับ มารยาก็มั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่ามันจะทำให้ทั้งฉินส่าวชิงและอสูรมายาของเขาบาดเจ็บสาหัสได้

ฉินส่าวชิงและหมาป่าเขี้ยวยักษ์ก็ไม่กล้าประมาทขณะแผ่พลังออกมาอย่างเต็มที่และเผชิญหน้ากับฝ่ามือขนาดใหญ่จำนวนมากที่พุ่งเข้ามาจากเหนือศีรษะ

ทั้งสองรู้สึกได้ว่าหากฝ่ามือเหล่านี้กระแทกเข้ามาที่ร่างกาย ทั้งมนุษย์และอสูรมายาจะได้รับบาดเจ็บอย่างแสนสาหัส

พลังมหาศาลของทั้งสองฝ่ายปะทะกันอย่างรุนแรงจนผู้คนโดยรอบที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดถึงกับต้องหยุดการเคลื่อนไหวเป็นการชั่วคราวและมองมาที่บริเวณนี้ด้วยความสงสัยใคร่รู้

จูเฟยชวี่อดถอนหายใจเบาๆไม่ได้ โชคดีที่การปะทะครั้งรุนแรงดังกล่าวเกิดขึ้นในคฤหาสน์เฟิงหัวของฉินอวี้โม่ หากมันเกิดขึ้นในชนเผ่าวิหคโบยบิน เกรงว่าพลังมหาศาลเช่นนี้จะทำให้ทั้งชนเผ่าพังราบเป็นหน้ากลอง

เมื่อผ่านไปถึงหนึ่งก้านธูป ฝ่ามือกลางอากาศก็ค่อยๆมลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยและแรงกดดันก็ค่อยๆอ่อนกำลังลง

ฉินส่าวชิงและหมาป่าเขี้ยวยักษ์ที่ต้านทานไว้อย่างสุดกำลังก็ต้องสูญเสียพลังงานไปมากและสภาวะพลังของทั้งสองก็อ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด

“ฮ่าๆๆ คิดว่ามันจบเพียงแค่นี้รึ?”

ทันทีที่เจ้าเมืองฉินและอสูรของเขามองมาที่ฉินอวี้โม่ เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งของมารยาก็ดังขึ้น

จากนั้นพลังมายาก็ก่อตัวเป็นฝ่ามือหนาแน่นกลางอากาศอีกครั้งและเหวี่ยงฟาดออกไป

ฉินส่าวชิงและหมาป่าเขี้ยวยักษ์ก็ไม่กล้าประมาทขณะเผชิญหน้ากับฝ่ามือดังกล่าวต่อไป

หลังจากการปะทะอย่างดุเดือดอีกสองครั้ง ความแข็งแกร่งทางร่างกายของทั้งฉินส่าวชิงและหมาป่าเขี้ยวยักษ์ก็หมดไปเป็นส่วนใหญ่และไม่ทรงพลังเหมือนก่อนอีกต่อไป

“ฮ่าๆๆ เป็นอย่างไรล่ะ? ข่ายอาคมคลื่นฝ่ามือคณานับของข้าไม่เลวเลยใช่ไหม”

เมื่อเห็นท่าทางอ่อนแรงของเจ้าเมืองฉินและหมาป่าเขี้ยวยักษ์ มารยาก็ยิ้มบางๆด้วยความพึงพอใจและกล่าวกับพวกเขา

“บัดซบ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีข่ายอาคมที่ทรงพลังถึงเพียงนี้!”

ฉินส่าวชิงแค่นเสียงเย็นชาขณะมองอสูรสาวด้วยความอาฆาตมาดร้าย ข่ายอาคมนี้น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง หากวันนี้เขากำจัดอีกฝ่ายไม่สำเร็จ สักวันหนึ่งเมืองมายาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจอย่างแน่นอน

“ฮ่าๆๆ หากเช่นนั้นก็ลองรับฝ่ามือสุดท้ายดูเถอะ”

มารยายิ้มมุมปากและประกบฝ่ามือทั้งสองเข้าด้วยกันอย่างแผ่วเบา

จากนั้นฝ่ามือขนาดมหึมาที่เกือบจะครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดก็ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะฉินส่าวชิงและอสูรมายาของเขาอย่างกะทันหัน

มือขนาดใหญ่ยักษ์นั้นเปี่ยมไปด้วยพลังมหาศาลส่งผลให้สีหน้าของทุกคนโดยรอบเปลี่ยนไปเล็กน้อยทันทีและเกิดความหวาดหวั่นในใจ

ฉินส่าวชิงและหมาป่าเขี้ยวยักษ์ซึ่งอยู่ในใจกลางขอบเขตของฝ่ามือขนาดมหึมาดังกล่าวแสดงสีหน้าที่เหยเกมากยิ่งขึ้น ทั้งสองสัมผัสได้ถึงวิกฤติที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

ผลัวะ!

ฝ่ามือยักษ์ใหญ่ฟาดเข้าใส่เจ้าเมืองฉินและหมาป่าเขี้ยวยักษ์อย่างเต็มแรง

ทั้งฉินส่าวชิงและอสูรมายาไม่กล้าประมาทและแผ่พลังทั้งหมดที่มีออกไปตั้งรับพร้อมกับควบแน่นม่านป้องกันขนาดใหญ่ขึ้นมาเหนือศีรษะเพื่อปกป้องหนึ่งมนุษย์และหนึ่งอสูร

ตู้ม!

มือขนาดใหญ่กระแทกเข้าที่ม่านป้องกันอย่างแรงจนเกิดเสียงดังสนั่นและหยุดลงแค่นั้น

เมื่อเห็นว่าม่านป้องกันของตนเองขัดขวางฝ่ามือขนาดใหญ่ได้สำเร็จ ฉินส่าวชิงก็โล่งใจเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาจะขัดขวางการโจมตีนั้นได้แล้ว

แคร็ก!

อย่างไรก็ตาม ขณะเขากำลังจะเอ่ยปากพูดบางอย่าง จู่ๆเสียงแตกของบางอย่างก็ดังขึ้นมา

ฉินส่าวชิงรู้สึกได้ทันทีว่าจู่ๆม่านป้องกันเหนือศีรษะของตนเองก็แหลกสลายก่อนที่ฝ่ามือมหึมาฟาดเข้ามาที่เหนือศีรษะของเขาอย่างรุนแรง

ฉินส่าวชิงก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นหมาป่าเขี้ยวยักษ์ที่อยู่ข้างตัว เขาก็ไม่ลังเลและฉวยโอกาสนี้ผลักมันออกไปขวางฝ่ามือนั้นไว้ทันที

“โฮกกกก!”

หมาป่าเขี้ยวยักษ์ถูกฝ่ามือฟาดเข้าอย่างจังและส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดก่อนที่จะกระเด็นออกไป

เมื่อมันพุ่งชนกระแทกเข้ากับกำแพงของคฤหาสน์เฟิงหัว กระแสความปั่นป่วนก็เกิดขึ้นและทุกคนที่อยู่ข้างในก็สั่นสะเทือนเล็กน้อย

ผลัวะ!

เสียงปะทะดังขึ้นอีกครั้งและครานี้เป็นฉินส่าวชิงที่กระเด็นออกไปทว่าพลังของฝ่ามือยักษ์ก็ลดลงไปพอสมควรแล้ว

หลังจากทุกคนทรงตัวได้ พวกเขาก็พบว่าหมาป่าเขี้ยวยักษ์ร่างใหญ่เมื่อครู่ได้กลายร่างเป็นหมาป่าธรรมดาทั่วไปซึ่งนอนแน่นิ่งไร้ลมหายใจและกลายเป็นเพียงซากศพ

เวลานี้ ลมหายใจของฉินส่าวชิงก็รวยรินเช่นกันและมีเลือดไหลออกจากมุมปากอย่างไม่ขาดสาย เขาหลับตาลงราวกับว่าหมดสติไปแล้ว

“ช่างเป็นบุรุษที่ชั่วช้าและไร้ยางอายจริงๆ ไม่คาดคิดว่าจะใช้อสูรมายาของตนเองเป็นเกราะกำบัง ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก!”

เมื่อเหล่าอสูรมายาของฉินอวี้โม่มองเห็นจุดจบของหมาป่าเขี้ยวยักษ์ที่ทรงพลัง พวกมันก็รู้สึกชิงชังฉินส่าวชิงมากขึ้นกว่าเดิม พวกมันเคยชินกับการมีนายหญิงอย่างฉินอวี้โม่และคิดเพียงว่านางเป็นนายหญิงที่ดีที่สุดในโลกหล้า เพราะเหตุนั้นเมื่อเห็นผู้อื่นปฏิบัติต่ออสูรมายาของตนเช่นนั้น พวกมันจึงรู้สึกรังเกียจอย่างที่สุดและเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้นว่าฉินอวี้โม่คือนายหญิงที่ดีที่สุดซึ่งควรค่าแก่การติดตามไปตลอดชีวิต

“ฉินส่าวชิง อย่ามาเสแสร้งแกล้งตายที่นี่”

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่สัมผัสได้ว่าฉินส่าวชิงเพียงบาดเจ็บสาหัสทว่ายังไม่ตาย นางเอ่ยขึ้นเบาๆเพื่อให้อีกฝ่ายยุติการแสร้งทำเช่นนี้

“ฮ่าๆๆ ฉินอวี้โม่ ข้าประเมินเจ้าต่ำเกินไปจริงๆ”

เมื่อได้ยินวาจาของสตรีจอมยุทธ์ เจ้าเมืองฉินก็พยุงร่างตัวเองลุกขึ้นและยิ้มเยาะ

“คฤหาสน์ของเจ้ายอดเยี่ยมและแข็งแกร่งทีเดียว เพียงแต่ข้าไม่คิดว่ามันจะต้านทานพลังงานจากการระเบิดตัวเองของข้าได้ ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้มันทนได้ พวกเจ้าหลายคนก็ไม่มีทางออกไปจากที่นี่ได้ทัน เมื่อถึงตอนนั้นข้าอยากเห็นนักว่าฝ่ายใดจะสูญเสียไปมากกว่ากัน!”

หลังจากกล่าวจบ ฉินส่าวชิงก็หัวเราะอย่างเสียสติและร่างของเขาเริ่มพองโตอย่างรวดเร็ว

วาจาของเจ้าเมืองฉินทำให้สีหน้าของทุกคนถอดสีเล็กน้อย ผู้ที่ร่วมมือกับเขาก่อนหน้านี้มีสีหน้าหวาดหวั่นอย่างชัดเจนและใบหน้าซีดเซียวเจือความรู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม สีหน้าของซูวั่งชวนและจูเฟยชวี่ยังคงเรียบเฉย เป็นเพราะพวกเขาเห็นสีหน้าราบเรียบไม่สะทกสะท้านของฉินอวี้โม่ พวกเขาจึงเชื่อมั่นว่าจะไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

“ฮ่าๆๆ ฉินส่าวชิง เจ้าคิดรึว่าจะมีโอกาสนั้น!?”

ฉินอวี้โม่หัวเราะเบาๆก่อนหันไปพยักหน้าให้กับพลับพลึงแดงข้างกาย

เสี่ยวม่านยิ้มตอบและขลุ่ยปรากฏในมือของมันทันที ริมฝีปากของมันจรดประทับที่ปลายขลุ่ยและท่วงทำนองแผ่วเบาดังขึ้นในโสตประสาทของทุกคน

จากนั้นเปลวเพลิงก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าฉินอวี้โม่และโหมกระหน่ำรอบตัวฉินส่าวชิงอย่างรวดเร็ว

“อ๊ากกกกก!”

ฉินส่าวชิงแผดเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดอย่างที่สุด การระเบิดตัวเองของเขาหยุดชะงักลงทันทีและร่างของเขากลิ้งตะเกียกตะกายอยู่บนพื้นด้วยความทุกข์ทรมาน

ภายในเวลาเพียงครู่เดียว เปลวเพลิงโหมกระหน่ำก็แผดเผาร่างของฉินส่าวชิงจนเหลือเพียงเถ้าถ่าน แม้แต่จิตวิญญาณของเขาก็แหลกสลายไป

เมื่อเห็นการตายอันน่าเวทนาของเจ้าเมืองฉิน เลี่ยหยางและคนอื่นๆก็ทรุดตัวล้มลงพื้นและมองฉินอวี้โม่ด้วยสีหน้าแววตาหวาดกลัว แม้แต่ฉินส่าวชิงผู้ทรงพลังก็ยังถูกสังหารไปอย่างง่ายดายเช่นนี้..แล้วพวกเขาจะต่อกรได้อย่างไรอีก?…