คนอื่นๆในงานต่างพากันส่ายหัว ไม่มีใครมีข้อคิดเห็นที่ดีกันเลยสักคน อย่างน้อยก็ไม่มีข้อเสนอใดที่ดีไปกว่าของหวังลั่วตันแล้ว
เมื่อหยางโปได้รับข้อคิดเห็นที่มีประโยชน์แบบนี้ ก็ดีใจและดื่มมากขึ้นไปอีก
เมื่องานเลี้ยงเลิกรา ทั้งเจ้าภาพและแขกเหรื่อที่มาต่างก็มีความสุขกัน
เพิ่งจะออกมาจากโรงแรม หยางโปก็เห็นตำรวจเข้ามาล้อมตัวเขาไว้ เขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
แล้วก็นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าขึ้นมา หยางโปเหลือบไปมองลัวย่าวหัว
” เรื่องนี้ยกให้นายจัดการก็แล้วกัน ”
ลัวย่าวหัวทำอะไรไม่ถูกไปเล็กน้อย เขาปรายตาไปทางตำรวจ ” เดี๋ยวก่อน ขอผมโทรศัพท์ก่อน ”
หยางโปหันหลังกลับไปขึ้นรถและไม่สนใจเรื่องนี้อีก
หวงเชิงอี้ที่ยืนอยู่ข้างๆ ” เกิดเรื่องอะไรขึ้น ? ”
“ ไม่มีอะไร เมื่อเช้ามีเรื่องทะเลาะวิวาทกับคนอื่นเล็กน้อยน่ะ เขาเคลียร์ได้ ” หยางโปกล่าว
ก็ไม่รู้ว่าลัวย่าวหัวโทรหาใคร ไม่นานก็เคลียร์เรื่องนี้จบ
วันที่สอง หยางโปอดทนทำงานเป็นผู้เชี่ยวชาญตลอดทั้งวัน ช่วงเย็นก็นัดผู้บริหารของเมืองภาพยนตร์มากินข้าวด้วยกัน
ลัวย่าวหัวค่อนข้างจะมีเส้นสายเยอะในแวดวง เขาพาลูกชายเศรษฐีของเมืองมาเป็นเพื่อน
เลยทำให้พูดกับเจ้าหน้าที่ในท้องถิ่นและกลุ่มนักธุรกิจในท้องถิ่นง่ายขึ้น เรื่องที่หยางโปพูดถึง สำหรับพวกเขาแล้วมันไม่คุ้มที่จะเอ่ยถึงเลยด้วยซ้ำ
หยางโปประสบความสำเร็จในการพูดคุยกับผู้บริหารระดับสูงของเมืองภาพยนตร์ และยังดึงเมืองภาพยนตร์ไปร่วมลงทุนจัดตั้งขึ้นเป็นบริษัทใหม่ เขาเริ่มรับสมัครนักออกแบบกราฟิกในพื้นที่และดำเนินการออกแบบภาพลักษณ์บางส่วน
กุ้ยหลงจิ่วและคนอื่นๆ ต่างก็แยกย้ายกันกลับเช่นกัน ทีมงานรายการช่วยเหลือเขาเป็นอย่างมาก หากไม่ใช่งานเลี้ยงอาหารค่ำมื้อนั้น จนถึงตอนนี้หยางโปก็คงไม่รู้สถานการณ์ที่แท้จริง
โชคดีที่หวังลั่วตันเสนอข้อคิดเห็นดีๆแก่เขา เลยทำให้เขามองทิศทางออก จะทำรายได้จากรายการไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ทุกปีมีนักท่องเที่ยวมาที่เมืองภาพยนตร์จำนวนมาก การหารายได้จากนักท่องเที่ยวนั่นแหละง่ายที่สุด !
หยางโปเช่าสำนักงานในพื้นที่และลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ ทุกๆวัน เขาจะคอยตรวจตราแผนการออกแบบแต่ละอย่างของนักออกแบบกราฟิกของบริษัทและทำการคัดเลือกและยังได้เชิญคนอื่นๆ มาร่วมคัดเลือกด้วย
ตั้งแต่งานเลี้ยงอาหารค่ำครั้งนั้น หยางโปและหวังลั่วตันก็ถือว่าเป็นคนรู้จักกัน ทั้งสองแลกเปลี่ยนข้อมูลการติดต่อกันไว้ คิดไม่ถึงว่าคนที่มาหาเขาบ่อยที่สุดกลับกลายเป็นหวงเชิงอี้ เมื่อหวงเชิงอี้เห็นแผนการออกแบบก็เสนอข้อคิดเห็นให้มากมาย ทำให้หยางโปรู้สึกขอบคุณเป็นอันมาก
หลังส่งหวงเชิงอี้กลับ หยางโปก็กลับมาที่ห้องทำงาน เขาเหลือบไปมองหน้าลัวย่าวหัว
” ฉันจำตอนอาหารค่ำนั้นได้ นายเอาแต่จ้องตาไม่กระพริบ ทำไมตอนนี้ดูหวาดกลัวไปแล้วล่ะ ? ”
ลัวย่าวหัวมองหยางโปตาขวาง “ ฉันกลัวงั้นเหรอ ? นี่ไม่ใช่ว่าฉันกลัวนะ นี่นายยังดูไม่ออกอีกเหรอว่าเธอชอบนาย ผู้หญิงคนนั้นตาสูงจริงๆ ไม่แม้แต่จะมองฉันด้วยซ้ำ เอาแต่มองคนที่หัวคิดดื้อรั้นอย่างกับท่อนไม้แบบนาย เธอไม่รู้สึกเบื่อหน่ายบ้างเลยหรือไง ? ”
“ คุณชายลัว ดื่มน้ำส้มสายชูไปมากแค่ไหนกันเนี่ย ? ทำไมถึงเปรี้ยวจัง ? ” หยางโปพูดพรางยิ้ม
ลัวย่าวหัวทำอะไรไม่ถูก เขาเหลือบมองที่หยางโป “ ไม่ใช่ว่าฉันว่านายนะ นายมองจุดประสงค์ของเธอไม่ออกเลยหรือไง ? ”
หยางโปมึนงง “ เรื่องแบบนี้มันเป็นไปไม่ได้ ฉันยังต้องกลับไปแต่งงานอยู่ ! ”
ลัวย่าวหัวมองหน้าหยางโป ด้วยความเกลียดชังที่หลอมเหล็กให้เป็นเหล็กกล้าไม่ได้ “ จะให้ฉันว่านายยังไงดี ผู้ชายอ่ะนะ ที่บ้านมีเมียอยู่แล้ว ยังจะมาหาเศษหาเลยนอกบ้าน ทำได้ขนาดนี้
ถึงจะเป็นชายชาตรีที่แท้จริง ! ”
“ ไม่น่าล่ะ ช่วงนี้ก็ว่าทำไมนายถึงไปมาเมืองภาพยนตร์ออกบ่อยๆ ทำไม ? ชอบใครคนไหนเข้าให้แล้วรึไง ? ” หยางโปถาม
ลัวย่าวหัวหันหลังเดินหนีไป ทิ้งให้เห็นเพียงเงาด้านหลังเลือนลาง “ ได้ นายคอยดูกันไปก่อน พรุ่งนี้ฉันจะพานายไปดูอะไรสนุกๆ ”
หยางโปยิ้มแต่ไม่พูดอะไร
พอตกกลางคืน หยางโปหยิบกระจกแสงจันทร์ออกมาอีกครั้ง เขาอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปทางเหนือ เขาอยู่ไม่ไกลจากทะเลสาบซีหูมากนัก จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นมาว่าเหยียนหรูหยูคงจะไม่กลับมาหรอกนะ ?
แน่นอนว่าหยางโปก็ไม่อาจทิ้งความเป็นไปได้นี้ แต่ระยะห่างระหว่างที่ตรงนี้กับทะเลสาบซีหูประมาณเจ็ดสิบถึงแปดสิบกิโลเมตร อีกฝ่ายไม่น่าจะสัมผัสถึงมันได้ ! ไอลีนโนเวล
เร็วๆนี้ หยางโปรู้สึกคราวๆ ว่าร่างกายของเขาเปี่ยมล้นไปด้วยพลังอันมหาศาล ราวกับว่ามันกำลังจะทะลักออกมา เขาพยายามสงบสติอารมณ์และทำการเคลื่อนย้ายพลังไม่หยุดที่จะกดอัดมันไว้ แต่พอพลังผ่านแสงเปร่งประกายในดวงตาก็ถูกบีบอัดลงไปมากแล้ว เขาพยายามอย่างหนักมาทั้งคืน แต่ก็ยังทำไม่สำเร็จ
เช้าวันที่สอง หยางโปพาลัวย่าวหัวออกกำลังกายตอนเช้าจนแล้วเสร็จ ลัวย่าวหัวก็ยิ้มและพูดว่า
” นายรีบไปอาบน้ำกินข้าว ฉันจะพานายไปยังสถานที่ถ่ายทำละคร ”
หยางโปตกตะลึงนิ่งอึ้งไปสักพัก “ สถานที่ถ่ายทำละคร ? ”
ลัวย่าวหัวเงยหน้าขึ้นอย่างหลงตัวเอง ” ถึงแล้ว เดี๋ยวนายก็รู้เอง ”
หยางโปค่อนข้างที่จะแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมาก เขาไปอาบน้ำและกินข้าวเช้า และขึ้นรถไปกับลัวย่าวหัว
ทั้งสองคนมาถึงที่นี่ได้พักหนึ่งแล้ว หยางโปถึงกับรู้สึกคุ้นชินกับชีวิตที่นี่แล้ว ที่ที่เงียบสงบแบบนี้มันทำให้รู้สึกสบายใจ
ไม่นาน รถก็ขับเข้าไปในเขตถนนกวางโจว ลัวย่าวหัวหยุดรถ และล้วงหยิบป้ายอกออกจากกระเป๋าแล้วห้อยไว้ที่หน้าอก แล้วยื่นให้หยางโปอีกหนึ่งชิ้น
หยางโปประหลาดใจมาก “ นายไปเอามาจากไหน ? ”
“ มาที่เมืองภาพยนตร์ก็นานแล้ว ฉันก็ไม่ได้มาแบบไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ฉันไม่ได้เหมือนนายที่หมกตัวอยู่แต่ในบ้าน ตอนนี้ฉันจะเป็นดาราแล้ว ! ” ลัวย่าวหัวคุยโว้โอ้อวด ยกหางตัวเอง
หยางโปรู้สึกหมดคำพูดมาก มองดูเขาโดยที่ไม่พูดอะไร
ไม่นานลัวย่าวหัว ก็เดินเข้ามาพร้อมกับหยางโป เมื่อหยางโปเห็นผู้กำกับเฉินนั่งอยู่หน้ากล้อง สายตาก็เอาแต่จับจ้องไปที่การแสดงด้านใน
ทั้งสองก็ไม่ได้เข้าไปรบกวนเช่นกัน ดูสถานที่ถ่ายทำละครกันอยู่สักพัก ผู้กำกับเฉินถึงละสายตาจากการแสดงนี้
เวลานี้ ลัวย่าวหัวเลยเดินเข้าไปหา “ อรุณสวัสดิ์ ผู้กำกับเฉิน ! ”
เมื่อผู้กำกับเฉินหันกลับมามองก็เห็นหยางโปและทั้งสองคน จึงรีบพยักหน้าให้ “ สวัสดีทั้งสองคน ตอนนี้มันก็สายมากแล้ว พวกเราเริ่มถ่ายทำกันตั้งแต่ห้าโมงเช้า ตอนนี้กำลังถ่ายทำกันไปได้สามชั่วโมงกว่าแล้ว ”
หยางโปตกใจ “ ลำบากแล้วจริงๆ ”
ผู้กำกับเฉินโบกมือ “ น้องลัว เมื่อวานคุณบอกว่าอยากได้ตัวประกอบสักคนใช่ไหม ? ผมเตรียมไว้ให้คุณแล้ว ”
“ จริงเหรอ ? ” ลัวย่าวหัวถามด้วยความประหลาดใจ
ผู้กำกับเฉินพยักหน้า จากนั้นเขาก็หันไปกวักมือเรียกคนทางด้านข้าง “ เหล่าหลิว มานี่เร็ว ”
หยางโปเห็นชายร่างผอมอายุสี่สิบกว่าวิ่งเข้ามาหา “ ผู้กำกับเฉิน ! ”
ผู้กำกับเฉินชี้ไปที่ลัวย่าวหัว “ ผมแจ้งคุณแล้วไม่ใช่หรือไงว่าให้เหลือตัวประกอบไว้ให้เขาสักคน ? ”
เหล่าหลิวรีบกล่าวว่า ” คุณ เชิญตามผมมา ผมจะพาคุณไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและแต่งหน้า ”
ผู้กำกับเฉินเหลือบมองหยางโปอีกครั้ง “ คุณหยาง คุณอยากจะลองดูสักหน่อยไหม ? ”
“ ผมเหรอ ? ” หยางโปตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ปัดมือแล้วพูดว่า “ ไม่ต้องมั้ง ? ”
“ มาด้วยกันสิ ! ” ลัวย่าวหัวดึงชายเสื้อผ้าของหยางโปแล้วลากเขาไปที่ห้องแต่งตัวด้วยกัน
หยางโปมองดูเสื้อผ้าที่ค่อนข้างจะสกปรกที่อยู่ข้างหน้าด้วยความรู้สึกหมดทางเลือก แต่เขายังรู้สึกถึงสิ่งแปลกใหม่ เพราะยังไงซะ มันก็เป็นครั้งแรกที่ได้สวมบทบาทเป็นตัวประกอบ มันก็ยังรู้สึกแปลกใหม่เอามากๆ
เมื่อเหล่าหลิวเห็นว่าลัวย่าวหัวเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ก็ยื่นกระดาษขาวให้เขาแผ่นหนึ่ง “ นี่คือบทของคุณ ”
หยางโปเปลี่ยนเสื้อผ้าและยื่นมือไปทางเหล่าหลิว “ ผมมีบทไหม ? ”
“ คุณไม่มีบท คุณเป็นแค่คนสัญจรไปมา เดี๋ยวสักครู่ตอนเข้าฉากคุณต้องปฏิบัติตามคำแนะนำ อย่าเที่ยววิ่งสะเปะสะปะ และอย่ามองไปรอบๆล่ะ อย่าจ้องมองไปที่กล้องเชียวนะ ได้ยินไหม ! ” เหล่าหลิวพูดด้วยเสียงอันดัง
หยางโปพยักหน้า นี่นับเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นตัวประกอบ