หลังจากที่เขาพูด ชายร่างบึกบึนก็หันหลังออกจากสวนไป แล้วมุ่งหน้าไปยังยอดเขาเทียนฉินในขณะที่มีศิษย์ภายในกลุ่มใหญ่ตามหลังเขาไปด้วย

 

ในทำนองเดียวกันนั้นเอง มันก็มีภาพคล้ายกันนี้จากที่สนามอีกแห่งนึง กลุ่มของศิษย์ภายในกำลังตามหลังศิษย์หญิงที่มีหน้าตางดงามคนนึง ในขณะที่พวกเขากำลังรีบมุ่งหน้าไปยังยอดเขาเทียนฉิน

 

ในตอนที่ทั้งสองฝ่ายมาเจอกัน พวกเขาไม่ได้ทักทายอะไรกันแล้วรีบวิ่งไปต่อ ไม่นานนัก พวกเขาก็มาถึงยอดเขาเทียนฉิน

 

พอเห็นภาพของศิษย์ภายในกลุ่มใหญ่ ศิษย์ภายนอกหลายคนก็พากันเดินถอยห่างออกไปโดยไม่รู้ตัว

 

โดยเฉพาะพวกศิษย์ภายนอกที่อยู่มานานซึ่งรู้ถึงความแตกต่างระหว่างศิษย์ภายในกับศิษย์ภายนอกเป็นอย่างดี

 

ศิษย์ภายนอกของสำนักเทียนหยุนนั้นจำเป็นต้องฝึกฝนไปให้ถึงระดับฝึกพลังปราณขั้นที่เจ็ดเพื่อที่จะกลายเป็นศิษย์ภายในของสำนัก

 

ฝึกพลังปราณขั้นที่เจ็ดคือจุดเริ่มต้นที่สำคัญจุดแรกสู่หนทางแห่งการฝึกตน ในตอนที่ข้ามมาถึงขั้นที่เจ็ดแล้ว คนผู้นั้นจะไม่ได้พัฒนาขึ้นแค่ความแข็งแกร่ง แต่ยังรวมถึงอายุขัยด้วย

 

ดังนั้น พวกที่สามารถเข้าสู่ฝึกพลังปราณขั้นที่เจ็ดได้มักจะมีความหวังในการไปถึงขั้นสร้างรากฐาน

 

ศิษย์ภายในคือกลุ่มศิษย์ที่ถูกคาดหวังว่าจะไปถึงขั้นสร้างรากฐานได้และมีโอกาสกลายเป็นผู้อาวุโสของสำนักเทียนหยุนในอนาคต ศิษย์ภายนอกนั้นไม่สามารถเทียบเคียงกับพวกเขาได้เลย

 

 

“นั่นมันศิษย์ภายใน ศิษย์พี่ซุนเทียนกังและศิษย์พี่หญิงจ้าวเสี่ยวหยา!”

 

“พวกเขาเดินทางมาที่ยอดเขาเทียนฉินจริงๆด้วย ดูเหมือนว่าพวกเขามาที่นี่เพื่อมาดูผู้สืบทอดสินะ!”

 

กลุ่มศิษย์ภายนอกกระซิบพูดคุยกันเอง ถึงแม้ว่าผู้สืบทอดจะมีสถานะสูงกว่าศิษย์ภายใน แต่ซุนเทียนกังและจ้าวเสี่ยวหยานั้นเป็นศิษย์มากฝีมือที่ไปถึงขั้นสร้างรากฐานแล้วและพวกเขายังเป็นที่เคารพนับถือในสำนักมาเป็นเวลาหลายปี อำนาจที่พวกเขามีนั้นแน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งที่ผู้สืบทอดซึ่งโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้จะสามารถเทียบเคียงได้เลย

 

ซุนเทียนกังและจ้าวเสี่ยวหยาไม่ต้องให้คำแนะนำอะไรเลย แต่ศิษย์ภายในที่ติดตามพวกเขาก็ทำการสืบค้นเกี่ยวกับสถานการณ์ให้ก่อนแล้ว หลังจากที่รู้ว่าเฉินเฉินได้มาที่ยอดเขาแห่งนี้เพื่อมาหาเพื่อนสนิท เหล่าศิษย์ที่ติดตามพวกเขาก็รีบไปรายงานอย่างรวดเร็ว

 

หลังจากได้ฟังรายงาน ยอดฝีมือทั้งสองก็ยืนรออยู่ที่ตีนเขาทางออกอย่างเงียบๆและในขณะที่รอพวกเขาก็เขม่นตาใส่กันเป็นบางครั้ง พวกเขาทั้งคู่ดูเหมือนจะไม่ถูกกันจริงๆ

 

 

ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา ในที่สุดเฉินเฉินก็เดินลงมาจากเขาด้วยกันกับจางจี ในตอนที่เขาเห็นศิษย์กลุ่มใหญ่มารวมตัวกันที่ตีนเขา เขาก็รู้สึกสงสัยและตกใจอย่างบอกไม่ถูก แต่เขาก็ยังไม่ได้คิดอะไรจริงจัง เขาแค่คิดว่าสำนักเทียนหยุนกำลังจัดกิจกรรมพิเศษ

 

“คนที่หน้าตาดีกว่าคือผู้สืบทอด!”

 

“เขาคือผู้สืบทอดคนใหม่ เฉินเฉิน!”

 

ผู้ติดตามของซุนเทียนกังและจ้าวเสี่ยวหยาชี้ไปที่เฉินเฉินแทบจะพร้อมกัน

 

เมื่อได้ฟังคำพูดของศิษย์คนอื่นๆ สายตาของพวกเขาก็ฉายแววขึ้นมาในทันทีในขณะที่พวกเขาเริ่มวิเคราะห์เฉินเฉิน

 

ซึ่งก็ไม่ได้มีแค่พวกเขา ศิษย์ภายในคนอื่นๆก็ตอบสนองในลักษณะเดียวกัน

 

พอถูกคนมากมายจ้องพร้อมกันแบบนี้ เฉินเฉินก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย

 

ถึงแม้ว่าเขาจะเข้าใจสาเหตุที่ทุกคนอยากเห็นเขา แต่สายตาพวกนี้มันรุนแรงเกินไป ซึ่งทำให้เขารู้สึกค่อนข้างไม่สบายใจ

 

“อะแฮ่ม จางจี เจ้าไม่ต้องยืนส่งข้าก็ได้ ข้าจะกลับไปที่ยอดเขาหลักด้วยตัวเอง แล้วก็จำสิ่งที่ข้าบอกไว้ก่อนหน้านี้ให้ดีหล่ะ”

 

“ครับพี่ใหญ่!” จางจีขานตอบ ในตอนนั้นเองในหัวของจางจียังคงครุ่นคิดเรื่องเงิน 40,000 ตำลึงที่เขาจะได้รับในวันเดียว เขาครุ่นคิดถึงมันหนักมากจนเขาไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดด้วยซ้ำ

 

หลังจากบอกลากับจางจีแล้ว เฉินเฉินก็เริ่มเดินตรงมาที่ตีนเขาทางออกด้วยท่าทีมีเลศนัยโดยไม่สนใจกลุ่มศิษย์ภายในเลย

 

เนื่องจากกลุ่มศิษย์พวกนี้อยากมาสังเกตการณ์เขา เขาก็เลยจะปล่อยให้พวกเขาทำแบบนั้นไป

 

มันเป็นเรื่องดีที่จะให้พวกเขาได้รู้ว่าเจ้าสำนักในอนาคตนั้นมีความพิเศษยังไง

 

ในขณะที่เฉินเฉินกำลังเดินผ่านกลุ่มศิษย์ภายใน แขนเสื้อของซุนเทียนกังก็ขยับเล็กน้อย ต่อมาทองขนาดเท่ากำปั้นก็หล่นลงมาอยู่แทบเท้าของเฉินเฉิน

 

ซุนเทียนกังเคยไปที่โลกของมนุษย์ธรรมดามาหลายครั้งแล้วและเขาก็รู้ว่าคนที่นั่นให้ความสำคัญกับเงิน เขารู้ว่าชาวบ้านจากเมืองบ้านนอกนั้นไม่สามารถต้านทานอำนาจเงินได้ ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงคิดในใจด้วยความตื่นเต้นว่า ‘เจ้านี่จะต้องหยิบเงินขึ้นมาแน่ ๆ’

 

เขาคิดว่าศิษย์ภายในและภายนอกสำนักจะพากันรังเกียจเฉินเฉินถ้าพวกเขาได้เห็นภาพแบบนั้น

 

ไม่เหมือนกับมนุษย์ ศิษย์สำนักนั้นคือผู้ฝึกตนที่ดูถูกดูแคลนวัตถุทางโลกและเงินของโลกมนุษย์

 

ซึ่งมันก็เป็นไปตามที่เขาคาดเอาไว้ เฉินเฉินหยุดเดินในทันทีหลังจากเห็นทองที่เท้าของเขา

 

จากนั้นเขาก็ลังเลอยู่พักนึง

 

พูดตามตรง เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจู่ ๆศิษย์ล่ำบึ้กคนนี้ถึงโยนก้อนทองออกมา

 

หลังจากเงียบไปสองวินาที เขาก็ชี้ไปยังก้อนทองแล้วพูดกับซุนเทียนกัง “ศิษย์น้อง เจ้าทำเงินตกนะ”

 

หลังจากที่เขาพูดจบ เฉินเฉินก็เดินไปข้างหน้าต่อ

 

สีหน้าของซุนเทียนกังบึ้งตึงในทันที มันไม่เป็นไปตามที่เขาคาดเอาไว้ ไอ้บ้านนอกเฉินเฉินคนนี้ไม่ได้คิดที่จะหยิบทอง หรือเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อด้วยซ้ำ ซึ่งนี่มันทำให้เขารู้สึกไม่ชอบใจเอามากๆ

 

และเขายิ่งไม่พอใจขึ้นไปอีกกับการที่ถูกเรียกว่า ‘ศิษย์น้อง’

 

มันผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว!

 

เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ไม่มีใครในสำนักเรียกเขาว่า ‘ศิษย์น้อง’!

 

อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา ซึ่งน่าจะมีอายุแค่ 16 หรือ 17 ปีกลับเป็นศิษย์พี่ของเขาจริงๆ!

 

“นี่คือทองของเจ้า!”

 

หลังจากกลั้นหายใจอยู่พักนึง ซุนเทียนกังก็อุทานขึ้นมา

 

เขาไม่เชื่อว่าไอ้บ้านนอกอย่างเฉินเฉินจะไม่โดนล่อลวง!

 

เมื่อได้ฟังเช่นนี้ เฉินเฉินก็หยุดเดินแล้วมองกลับไปที่ซุนเทียนกังอย่างจริงจัง และทำท่าทีเหมือนกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง ครู่ต่อมา ในขณะที่หยิบทองขึ้นจากพื้น สายตาของเขาก็ดูเข้าใจยากขึ้นในขณะที่เขาตระหนักถึงอะไรบางอย่างได้อย่างกระทันหัน

 

“ข้าไม่นึกเลยว่าจะมีคนพยายามติดสินบนข้าหลังจากที่ข้ากลายเป็นผู้สืบทอด เมื่อมีสถานะที่สูงขึ้น ก็จะมีแนวโน้มที่จะทุจริตมากขึ้นสินะ”

 

“น่าเสียดาย เจ้าโง่คนนี้ดูเหมือนจะเป็นคนใหม่และไม่รู้ว่าทองไม่สามารถดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกตนได้ นอกจากนี้ การโยนทองลงบนพื้นต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้มันเป็นการให้สินบนที่หน้าด้านจริงๆ แต่ไม่ว่ายังไงนี่ก็เป็นของขวัญชิ้นแรกที่ข้าได้รับ ข้าจะไม่ถือสาเขาในเรื่องนี้และในเวลาเดียวกันนั้นเอง ข้าจะบอกให้ศิษย์คนอื่นๆได้รู้ว่าตัวข้าเฉินเฉินนั้นเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากๆ”

 

ในตอนนั้นเอง เฉินเฉินก็รู้สึกเหมือนกับเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง

 

เมื่อคิดได้แบบนี้ เขาก็มองซุนเทียนกังอย่างจริงจังแล้วถามด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมมากๆ “ศิษย์น้องเจ้าชื่ออะไร?”

 

เมื่อเห็นว่าเฉินเฉินหยิบทองขึ้นมาในที่สุด ซุนเทียนกังก็เริ่มคิดว่าเขาจะทำอะไรต่อไปดีเพื่อทำให้ผู้สืบทอดอับอาย อย่างไรก็ตาม เขาได้ยินคำถามขึ้นมาอย่างกะทันหันแล้วตอบกลับไปด้วยความหยิ่งทะนงในทันที “ซุนเทียนกัง!”

 

ในความคิดของเขา ชื่อของเขาเป็นตระกูลที่อยู่ในสำนักเทียนหยุนและไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มเติมอะไรอีกเพื่อสร้างความตกใจให้คนอื่น

 

อย่างไรก็ตามเขาก็ต้องประหลาดใจ เฉินเฉินไม่รู้จริงๆว่าเขาเป็นใครและไม่เคยได้ยินชื่อของเขามาก่อนด้วย

 

เมื่อได้ยินชื่อของซุนเทียนกัง เฉินเฉินก็ตบไหล่ของเขาอย่างแรง พร้อมกับมองดูศิษย์ที่อยู่รอบๆด้วยสีหน้าจริงจัง จากนั้นก็พูดออกมาดังลั่น “นับจากนี้ไป ศิษย์น้องซุนเทียนกังจะเป็นลูกน้องของข้า ก่อนที่จะคิดรังแกเขา พวกเจ้าต้องนึกถึงผลที่จะตามมาให้ดีๆ ไม่อย่างนั้นก็อย่ามาโทษที่ข้าโหดร้ายหล่ะ!”

 

เมื่อได้ฟังคำพูดพวกนี้ ฝูงชนก็พากันเงียบกริบ และใบหน้าของซุนเทียนกังก็แดงก่ำขึ้นมาในทันที

 

ด้วยความคิดที่ว่าซุนเทียนกังน่าจะตื่นเต้น เฉินเฉินจึงหัวเราะคิกคักแล้วเอาก้อนทองขนาดเท่ากำปั้นไปใส่ไว้ในมือของซุนเทียนกัง หลังจากนั้นเขาก็พูดขึ้นมาอย่างจริงจัง “ศิษย์น้อง สิ่งนี้ไม่ได้ผลกับสำนักเซียนหรอกนะ เจ้ายังต้องตักน้ำต่อไปเพื่อแลกกับหินวิญญาณ เข้าใจไหม? แต่ว่าข้าได้รับรู้ความคิดของเจ้าแล้วและข้าก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผล ถ้าเจ้าถูกรังแกในอนาคตก็พูดชื่อของข้าออกไปนะ!”

 

เฉินเฉินส่งสายตาให้กำลังใจเทียนกังก่อนที่จะจากไปอย่างอ่อนโยน ในทันทีที่เขาหันหลังกลับ รอยยิ้มก็เบิกบานขึ้นบนหน้าของเขา

 

‘หลังจากนี้ทุกคนน่าจะเข้าใจแล้วใช่ไหม? ถ้าพวกเขาอยากได้รับการปกป้อง พวกเขาก็ควรหาของขวัญมามอบให้ใช่ไหมหล่ะ?’

 

“หึหึ ฉันนี้ทั้งฉลาดและเจ้าเล่ห์จริงๆ”

 

หลังจากที่ชื่นชมตัวเอง เฉินเฉินก็ออกไปจากยอดเขาเทียนฉินด้วยกำลังใจที่เต็มเปี่ยม ในขณะที่กลุ่มศิษย์ภายในและภายนอกถูกทิ้งเอาไว้ที่ตีนเขา