ตอนที่ 683 เด็กน้อย
แม้เวลาล่วงเลยมาถึงยามอู่คือเวลาที่อันหลิงเกอจะกลับจวน ทว่ามู่จวินฮานมิได้ลุกลี้ลุกลนเพราะระหว่างตนและหลิงเอ๋อมิได้มีอันใด เขารู้ว่าอันหลิงเกอย่อมเชื่อมั่นในตัวสามี
แต่หลิงเอ๋อยังมิทันได้ตั้งตัว กระดานหมากล้อมก็ยังมิได้เก็บ ถึงขนาดว่าทั้งคู่ยังมิทันลุกขึ้นเสียด้วยซ้ำ อันหลิงเกอก็มาถึงห้องหนังสือแล้ว
เมื่อครู่ตอนก้าวเข้ามาในห้องหนังสือ อันหลิงเกอรู้สึกคล้ายเห็นภาพลวงตาเพราะเห็นสตรีที่เหมือนกับตนราวกับคนเดียวกัน สตรีผู้นี้เป็นใคร ? เหตุใดจึงมาอยู่กับมู่จวินฮานได้ ?
มู่จวินฮานเห็นอันหลิงเกอเดินเข้ามาก็หาได้ตกใจไม่ นางจึงรู้ได้ทันทีว่าเขามิได้เข้าใจผิดว่าสตรีผู้นั้นคือนาง อันหลิงเกอจึงเบาใจ
นางคิดว่านี่เป็นแผนที่ต้องการทำให้จวินฮานสับสนเสียอีก แต่มองแล้วใบหน้าของสตรีผู้นั้นก็มิได้มีการแต่งเติมใด ๆ มู่จวินฮานเองก็ดูปกติมิได้มีอันใดเปลี่ยนไป นางคงคิดมากเกินไปกระมัง
“เกอเอ๋อ นี่คือหลิงเอ๋อซึ่งเหล่าที่ปรึกษาส่งมาก่อนหน้านี้” มู่จวินฮานเห็นอันหลิงเกอเดินเข้ามาจึงลุกขึ้นก่อนจูงมือของนางมานั่งพร้อมอธิบายให้ได้รู้
อันหลิงเกอจึงเข้าใจได้ทันที นี่คงเป็นสตรีที่หลายวันก่อนเหล่าที่ปรึกษามอบให้เป็นสนมของมู่จวินฮาน ช่างมีใบหน้าคล้ายคลึงกับนางโดยไร้ร่องรอยของการปลอมแปลง ดูท่าเหล่าที่ปรึกษาคงพยายามมิน้อยเลยทีเดียว
“เกอเอ๋อ หลายวันมานี้นางมาที่นี่แต่พวกเราก็เพิ่งพบกันมิกี่ครั้ง นางมิได้มีจุดประสงค์ร้ายอันใด แค่รู้สึกเบื่อเท่านั้น มิหนำซ้ำนางเพิ่งอายุสิบกว่าปี ข้าจึงเห็นนางเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง”
เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ อันหลิงเกอจึงกวาดตามองโดยรอบและมิได้เอ่ยสิ่งใดออกมา
ทว่าหลิงเอ๋อได้ยินมู่จวินฮานกล่าวเช่นนี้ ดวงตาของนางก็ดำมืดทันที เดิมทีนางคิดว่ามู่จวินฮานคงชอบตนบ้างไม่มากก็น้อย แต่เมื่อได้ยินเขากล่าวกับอันหลิงเกอขณะที่ทั้งสองต่างกุมมือกันเอาไว้ ภายในใจของนางจึงรู้สึกขมขื่นยิ่งนัก
อันหลิงเกอมองท่าทางของหลิงเอ๋อแล้วก็คิดว่าคล้ายกับตนมากจริง ๆ แต่มองแล้วก็มิได้มีพิษภัยอันใด อีกอย่างสตรีผู้นี้เพิ่งอายุสิบกว่าปีเท่านั้น คงไม่มีความคิดที่ซับซ้อนหรือเล่ห์เหลี่ยมอันใดหรอก
อันหลิงเกอก้าวไปหาโดยหวังที่จะประคองอีกฝ่ายขึ้นมา แต่หลิงเอ๋อคล้ายยังจมอยู่ในความหวาดกลัวจึงมิกล้ายืนขึ้น
อันหลิงเกอเห็นนางมีท่าทีเช่นนี้ก็เกิดความรู้สึกสงสาร มองแล้วที่ผ่านมานางคงไม่มีความสุขมากนัก เช่นนั้นคงมิเป็นถึงขนาดนี้
“ลุกขึ้นเถิด มิเป็นอันใดหรอก” น้ำเสียงของอันหลิงเกอเย็นชามาตั้งแต่ไหนแต่ไร บัดนี้เมื่อกล่าวกับสตรีที่อายุน้อยกว่า มิหนำซ้ำยังมีใบหน้าที่คล้ายตนถึงเพียงนี้ นางก็ลดเสียงลงและพูดช้า ๆ
ความอ่อนโยนที่มอบให้หลิงเอ๋อได้ผลเป็นอย่างดี เพราะหลิงเอ๋อยื่นมือให้อันหลิงเกอเพื่อดึงตนลุกขึ้นมา หลังจากหลิงเอ๋อยืนได้มั่นคงแล้วก็ยังลอบมองอันหลิงเกออีกครู่หนึ่ง
“ในจวนอ๋องมู่ไม่มีผู้ใดอยู่เป็นเพื่อนเจ้าเลยหรือ ? ” น้ำเสียงของอันหลิงเกอไร้แววของการตำหนิ แต่มองหลิงเอ๋อด้วยความเป็นห่วง ทำให้หลิงเอ๋อรู้สึกเกลียดสตรีผู้นี้มิลงจริง ๆ
หลิงเอ๋อส่ายหน้าก่อนจะก้มหน้าลงแล้วกัดริมฝีปากแน่น
อันหลิงเกอรู้ว่านิสัยเช่นนางคงเป็นคนขี้กลัว ส่วนมู่จวินฮานเป็นถึงท่านอ๋องของพวกตนก็คงทำให้นางรู้สึกปลอดภัยอย่างมาก
แต่การที่นางอายุยังน้อยมิได้หมายความว่าจะปลอดภัย อันหลิงเกอแม้เป็นห่วงแต่ก็มิอาจปล่อยให้นางอยู่กับมู่จวินฮานทุกวันได้ นางจึงยื่นข้อเสนอให้หลิงเอ๋อเพราะอย่างน้อยก็จะได้มิต้องอยู่กับมู่จวินฮานตลอดเวลา
“หากเจ้าเต็มใจก็มากับข้าเถิด”
มู่จวินฮานและหลิงเอ๋อต่างก็มิคิดว่าอันหลิงเกอจะเอ่ยออกมาเช่นนี้ หลิงเอ๋อมองมู่จวินฮานครู่หนึ่ง สายตาของนางมีแววขอร้องเพราะหวังว่าเขาจักให้นางอยู่ข้างกายเช่นนี้มิใช่อันหลิงเกอ
แต่มู่จวินฮานรู้สึกว่าวิธีนี้เหมาะสมแล้วจึงมิได้เอ่ยคัดค้านอันใด ก่อนจะปล่อยให้อันหลิงเกอพาหลิงเอ๋อออกไปเพราะรู้ว่าอันหลิงเกอไม่มีทางทำอันใดอีกฝ่ายแน่ เขาเชื่อใจอันหลิงเกอมาก
แม้หลิงเอ๋ออายุน้อยแต่การที่จะมาขลุกอยู่กับเขาทั้งวันก็มิใช่เรื่อง สู้ให้นางอยู่กับอันหลิงเกอคงดีกว่า
นอกจากอันหลิงเกอสามารถปกป้องนางได้แล้ว ยังเลี่ยงมิทำให้เกิดการเข้าใจผิดอีกด้วย
ขณะที่หลิงเอ๋อกำลังจะเดินไปนั้นก็ยังหันมามองมู่จวินฮานมิวางตา เห็นได้ชัดว่าภายในใจของนางไม่เห็นด้วยกับการทำนี้เลย มิเพียงแต่นางไม่คุ้นเคยกับอันหลิงเกอแล้วยังเป็นศัตรูหัวใจกันอีกด้วย ดังนั้นนางจึงหวังที่จะได้อยู่กับมู่จวินฮานมิใช่อยู่กับอันหลิงเกอ
มู่จวินฮานก็เห็นสายตาเช่นนั้นของหลิงเอ๋อ แต่ก็ตั้งใจทำเป็นมองมิเห็น สำหรับมู่จวินฮานแล้ว หลิงเอ๋อเป็นเพียงเด็กที่ต้องการความดูแล ดังนั้นจักอยู่กับผู้ใดก็เหมือนกัน
หลิงเอ๋อตามอันหลิงเกอกลับมาที่เรือนของตน อันหลิงเกอมองไปโดยรอบเรือนอย่างผ่าน ๆ ความสะอาดเรียบร้อยช่างเหมาะกับสตรีผู้นี้นัก อันหลิงเกอจึงมิได้ย้ายที่อยู่ให้นางแต่อย่างใด
หลังอันหลิงเกอจัดการเรื่องของหลิงเอ๋อเรียบร้อยแล้วจึงกลับมาที่เรือนฝูหลิงเพื่อทานข้าวร่วมกับมู่จวินฮาน
ส่วนมู่จวินฮานก็รอนางอยู่ก่อนแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เขามิได้รู้สึกร้อนตัวแต่อย่างใด อันหลิงเกอเองก็มิได้โมโห
สำหรับหลิงเอ๋อแล้ว ทั้งสองคนมิได้คิดร้าย พวกตนรู้ว่าสตรีที่ไร้เดียงสาเช่นหลิงเอ๋อก็เป็นเพียงเด็กคนหนึ่งเท่านั้นและหวังว่าจะสามารถปกป้องนางจากการต่อสู้แย่งชิงเหล่านี้ได้
“เรื่องของหลิงเอ๋อ…” มิว่าอย่างไรมู่จวินฮานก็ยังรู้สึกว่าควรอธิบายต่ออันหลิงเกอเสียหน่อย แต่อันหลิงเกอมิได้กล่าวอันใดเพียงส่ายหน้ายิ้ม ๆ เพราะภายในใจของนางเรื่องนี้หาได้สำคัญไม่
“ใช่สิ ลูกของเรามีสัญญาณว่าใกล้จะตื่นขึ้นมาแล้วเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอยังนึกถึงเรื่องวันนี้ นางรู้ว่าฟางหลิงซู่และบุตรชายต้องตื่นขึ้นมา นี่ต่างหากคือเรื่องสำคัญสำหรับพวกตนและเป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การรอคอย ส่วนหลิงเอ๋อนั้นมิควรค่าแก่การเอ่ยถึงด้วยซ้ำ
“พวกเราตั้งชื่อให้ลูกกันเถิดเจ้าค่ะ” ใบหน้าที่มีความสุขของอันหลิงเกอเต็มไปด้วยความคาดหวัง บัดนี้เขากำลังจะตื่นขึ้นมาแล้วนางย่อมตื่นเต้นและยินดียิ่งนัก
“อืม…มู่เยว่” แววตาของมู่จวินฮานแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนเพราะย่อมเป็นห่วงและรอคอยเช่นกัน
“ดี เช่นนั้นข้าตามใจท่านเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอยิ้มอย่างมีความสุข นางรู้ว่าการตื่นขึ้นมาของบุตรคนนี้เปรียบเสมือนชีวิตใหม่ของพวกตนที่สามารถเริ่มต้นทุกสิ่งทุกอย่างใหม่ได้ มิต้องจมอยู่กับความรู้สึกผิดและความเสียใจอีกแล้ว
แม้เรื่องทั้งหมดเกิดจากความผิดของอิ่งจือ แต่นางก็มิได้โทษเขา อย่างไรเขาก็ได้ใช้ชีวิตชดใช้แก่นางแล้ว อีกทั้งการที่พวกตนต้องมาพัวพันกันก็ถูกชะตากำหนดไว้และผู้ใดก็มิอาจหนีพ้น
มู่จวินฮานเห็นอันหลิงเกอมีความสุขเช่นนี้ก็มีความสุขตามไปด้วย เพียงแต่เมื่อนึกถึงเรื่องของฟางหลิงซู่ เขาก็อดรู้สึกอิจฉาขึ้นมามิได้เพราะในใจของอันหลิงเกอเห็นฟางหลิงซู่เป็นคนพิเศษมาโดยตลอด
“จวินฮาน” อันหลิงเกอคล้ายเข้าใจความกังวลของมู่จวินฮาน นางจึงวางมือไว้บนฝ่ามือของเขาโดยมิได้กล่าวสิ่งใด แค่เรียกชื่อเขาเบา ๆ เท่านั้น