ตอนที่ 503 แยกชิ้นส่วนอาณาจักรอินทรีสวรรค์
ในเสี้ยวพริบตาหมิงตงก็ได้เป็นที่ปรึกษาจักรพรรดิให้ทั้งสองอาณาจักรทั้งฉินหวงและเกอซุน แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้เป็นอย่างเป็นทางการแต่การจะได้เป็นนั้นก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นเอง ภายใน 3 ปีเขาก็น่าจะเข้าถึงระดับเซียนสวรรค์ได้และกลายเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปเทียนหยุน ในเวลาเดียวกันวาสนาของเขานั้นเปลี่ยนแปลงราวฟ้ากับดิน นั่นเป็นเพราะที่ปรึกษาจักรพรรดิของอาณาจักรฉินหวงนั้นมีความเป็นอยู่ที่ร่ำรวยยิ่งกว่าการเป็นเซียนสวรรค์ซะอีก
ตั้งแต่ที่หมิงตงเริ่มติดตามเจี้ยนเฉินตั้งแต่เมืองทหารรับจ้าง เขาได้ข้ามประตูมังกรและได้กลายเป็นมังกร ถ้าไม่ใช่เพราะการไปเมืองทหารรับจ้าง หมิงตงคงไม่สามารถเข้าถึงระดับเซียนปฐพีขั้น 6 ได้ในอายุเท่านี้
“ผู้พิทักษ์จักรพรรดิ สิ่งของทุกอย่างได้ถูกเก็บในแหวนมิติของพวกเราหมดแล้ว” หนึ่งในทหารได้รายงานการเก็บสิ่งของให้เจี้ยนเฉินฟังด้วยคามเคารพพร้อมกับส่งแหวนมิติเหล่านั้นให้เจี้ยนเฉิน
เจี้ยนเฉินเก็บแหวนนั่นพร้อมกับหันไปคุยกับฉินหวู่หมิงและราชาของอาณาจักรเกอซุน “พวกเราจะแบ่งปันผลประโยชน์กันอย่างไร รอให้มันเปลี่ยนเป็นเหรียญม่วงเสียก่อนแล้วค่อยนำมาแบ่งกัน”
“ไม่จำเป็น ! ” ฉินหวู่หมิงหัวเราะ “ผู้พิทักษ์จักรพรรดิ สิ่งของพวกนี้ไม่คุ้มค่าเสียด้วยซ้ำ แม้ว่าพวกเขาจะจ่ายเป็นจำนวนเงินทั้งหมด มันก็ไม่คุ้มค่าที่พวกเราจะชำเลืองมองเสียด้วยซ้ำ อาณาจักรเกอซุนและครอบครัวของท่านต้องการมันมากกว่าพวกข้า”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นสิ่งของพวกนี้จะเป็นของอาณาจักรเกอซุน” เจี้ยนเฉินไม่ได้ปฏิเสธ เขารู้ดีว่าสำหรับฉินหวู่หมิงแล้ว เงินแค่นี้ไม่คุ้มค่าเสียด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรเกอซุนและตระกูลเจียงหยางแล้วมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งสองกลุ่มไม่ได้ร่ำรวยเหมือนอาณาจักรฉินหวง เหรียญม่วงหลายแสนเหรียญนั้นไม่ใช่จำนวนเงินเล็กน้อยสำหรับพวกเขา อีกอย่างถ้าอาณาจักรเกอซุนและตระกูลเจียงหยางอยากจะขยายอาณาเขตออกไป แม้จะมีการช่วยเหลือจากอาณาจักรฉินหวงแล้วนั่นก็ยังไม่เพียงพอ พวกเขาต้องใช้เงินในการขยายอาณาเขตด้วย
หลังจากนั้นพวกเขาทุกคนก็ได้ออกจากคลังสมบัติ พวกเขายืนอยู่หน้าประตูบานยักษ์ซึ่งประตูบานนั้นเจี้ยนเฉินได้มองมันมาหลายรอบ เขาพูดพึมพำกับตัวเอง “คลังสมบัตินี่ค่อนข้างถือว่าราคาแพงเลยทีเดียว ทำไมพวกเราไม่เอามันไปด้วยเลยล่ะ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นสายตาของราชาก็ส่องประกายออกมา เขาคิดแบบนั้นเช่นกันแต่เขารู้ว่าเขาคงไม่สามารถนำมันกลับไปได้ เมื่อเจี้ยนเฉินพูดเรื่องนี้ขึ้น เขาก็พูดเสริมขึ้นทันที “ลูกเขยที่รัก นั่นเป็นความคิดที่ยอดเยี่ยม คลังสมบัตินี้เป็นบางสิ่งที่ราชามองหาอยู่ มันสร้างมาจากเหล็กทังสเตนและถูกเสริมความแข็งแกร่งหลายร้อยครั้งจนความหนาของมันมีมากกว่า 5 ม. แม้แต่ผู้ที่อยู่ในระดับเซียนสวรรค์เองก็ยังต้องใช้เวลาในการพังมัน สิ่งนี้คงมีน้ำหนักประมาณ 500 ตันได้ “
“ใช่เลย มันถูกเสริมด้วยเหล็กมาหลายครั้ง ราคาของมันก็คงค่อนข้างสูงเช่นกัน ของอย่างนี้ไม่ควรมาอยู่ในที่เช่นนี้ พวกเราควรนำมันกลับไปด้วย เราควรสั่งให้ทหารเข้ามาแบ่งสมบัตินี่เป็นส่วน ๆ และนำมันเก็บลงในแหวนมิติเพื่อง่ายต่อการขนส่ง” หมิงตงเสนอขึ้นมา
เจี้ยนเฉินลังเลอยู่สักพักและได้พยักหน้าออกมา “เช่นนั้นแล้วพวกเราควรจัดหาช่างฝีมือที่เก่งที่สุดในอาณาจักรอินทรีสวรรค์มาที่นี่และมาแยกส่วนประกอบมัน อย่าลืมว่าเสนอค่าจ้างให้พวกเขาสูง ๆ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นหนึ่งในทหารก็ได้พูดขึ้น “รับบัญชา ผู้พิทักษ์จักรพรรดิ ทหารผู้นี้จะไปดำเนินการทำตามที่ท่านสั่ง”
เจี้ยนเฉินเงยหน้าขึ้นไปมองยังท้องฟ้า “นี่มันก็สายแล้ว วันนี้พวกเราได้ทำงานกันมาหนักมาก ทำไมพวกเราไม่ไปพักผ่อนและพูดคุยเรื่องที่ต้องทำในวันพรุ่งนี้ ? “
หลังจากนั้นทุกคนก็ได้เข้าไปยังพระราชวังในอาณาจักรอินทรีสวรรค์โดยที่พวกทหารได้ตั้งค่ายอยู่ข้างนอก ผู้ที่อยู่ในระดับเซียนปฐพีกว่าสองร้อยคนจากกองทัพดาบเทพตะวันออกได้เดินตรวจตราทั่วสถานที่ พวกเขาได้เดินตระเวนไปทั่วทั้งสถานที่แห่งนี้ เขตที่พักนั้นอยู่ภายใต้การคุ้มกันของยามและมีการป้องกันด้วยกุญแจที่แน่นหนา
ในตอนเย็น พระจันทร์ได้โผล่ขึ้นสูงพร้อมกับสาดแสงลงมาที่พื้น ความมืดเริ่มครอบงำโลกใบนี้พร้อมกับมีดวงดาวประดับบนท้องฟ้า
ค่ำคืนนั้นเงียบสงบและดวงจันทร์ที่สวยสดงดงาม ภายในพระราชวังของอาณาจักรเงียบเสียยิ่งกว่าข้างนอกอีก ถ้ามีใครยืนอยู่ชั้นบนของพระราชวังแล้วจะสามารถเห็นทั่วทั้งพระราชวังได้และเห็นได้ว่ามีชายที่ยืนเฝ้าตรวจตราแต่ละคนนั้นยืนนิ่งเหมือนกับรูปปั้น จากแสงจันทร์ที่สาดลงมา มันได้ส่องกระทบกับเกราะเงินที่ยามพวกนั้นสวมใส่
ภายในปราสาท องค์หญิงโหยวเยว่นั่งอยู่บนโต๊ะหินซึ่งตั้งอยู่ในสวนดอกไม้ มือทั้งสองของนางท้าวคางตัวเองไว้พร้อมกับดันให้สายตาของนางมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ใบหน้าของนางให้อารมณ์ที่ยากจะบอกได้ว่านางนั้นคิดสิ่งใดอยู่
“องค์หญิงโหยวเยว่ ท่านกำลังชื่นชมดวงจันทร์อยู่งั้นหรือ ? ทำไมท่านยังไม่นอนอีก ? ” เสียงดังขึ้นด้านหลังขององค์หญิง และเป็นเจี้ยนเฉินเองที่เป็นคนพูด ซึ่งเขาได้พูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม
คืนนี้เจี้ยนเฉินสวมชุดสีดำ ด้วยความมืดของค่ำคืนนี้แทบจะทำให้เขาดูกลมกลืนไปกับบรรยากาศรอบ ๆ ถ้าไม่สังเกตให้ดี ๆ พวกเขาอาจจะไม่เห็นเจี้ยนเฉินก็เป็นได้
เสียงของเจี้ยนเฉินนั้นดังขึ้นจากไหนไม่รู้ทำให้องค์หญิงที่นั่งเหม่ออยู่ ส่งเสียงออกมาด้วยความตกใจ และร่างกายของนางก็สะดุ้งขึ้น
นางลุกขึ้นจากโต๊ะหินนั่นพร้อมกันหันมาด้วยความโกรธ “เจ้าไม่ควรเข้ามาข้างหลังผู้อื่นเงียบ ๆ และทำให้ผู้อื่นตกใจเช่นนี้”
เจี้ยนเฉินหัวเราะก่อนที่จะป้องมือเข้าด้วยกัน “ข้าขออภัยด้วย ข้าทำให้องค์หญิงกลัว”
เมื่อได้ยินแบบนั้น คิ้วขององค์หญิงได้ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “เจียงหยางเซียงเทียน เจ้าคิดจะเรียกข้าว่าองค์หญิงอีกหรือ ? “
เจี้ยนเฉินผงะและรีบตอบกลับไป “เช่นนั้นต่อจากนี้ข้าจะเรียกท่านว่าโหยวเยว่”
ดูเหมือนว่าองค์หญิงจะชอบในคำตอบของเจี้ยนเฉิน นางยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับดวงตาคู่งามที่จ้องมายังบนใบหน้าอันหล่อเหลาของเจี้ยนเฉิน “ทำไมเจ้าถึงยังตื่นอยู่ หรือว่าเจ้านอนไม่หลับเช่นกัน ? “
เจี้ยนเฉินส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนที่จะเดินเข้าไปยังโต๊ะหินตรงหน้าองค์หญิงและพูดขึ้น “ข้าไม่อยากนอนแล้ว ข้านั้นมีปัญหาซึ่งต้องใช้เวลากว่าครึ่งวันในการแก้ปัญหา ซึ่งนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ข้ามาที่นี่เพื่อทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง”
องค์หญิงนั่งลงบนเก้าอี้พร้อมกับจ้องไปที่เจี้ยนเฉิน “สิ่งใดทำให้เจ้ามีปัญหาเช่นนั้น ? ถ้าไม่รังเกียจเจ้าสามารถพูดให้ข้าฟังได้ ให้ข้าได้ช่วยเจ้าคิด”
“มันเป็นเรื่องของอาณาจักรอินทรีสวรรค์” เจี้ยนเฉินรวบรวมความคิดก่อนจะพูดขึ้น ตอนนี้อาณาจักรอินทรีสวรรค์ได้รับการจัดการอย่างดีแล้ว สิ่งที่เหลือก็คือความโกลาหลอันน่ากลัวของอาณาจักร ตอนนี้ข้าคิดว่าข้าควรจัดการกับความโกลาหลวุ่นวายเหล่านั้นซะ ถ้าอาณาจักรอินทรีสวรรค์นั้นสูญเสียผู้ปกครองและผู้ควบคุมไป มันจะทำให้ทั้งอาณาจักรล่มสลาย หลายตระกูลหรือนิกายที่มีความแข็งแกร่งจะใช้ประโยชน์ตอนนั้นก่อกบฏ เมื่อถึงตอนนั้นอาณาจักรอินทรีสวรรค์ก็คงเข้าสู่สงครามที่แม้แต่ผู้บริสุทธิ์ก็จะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ด้วย”
องค์หญิงคิดสักพักและตอบกลับไป “เจียงหยางเซียงเทียน เจ้าพูดได้ถูกต้องแล้ว ตอนนี้กองทัพของอาณาจักรฉินหวงนั้นได้ทำการดูแลทั้งอาณาจักรอินทรีสวรรค์ ขุมพลังอื่น ๆ ของอาณาจักรนั้นมิกล้าที่จะเคลื่อนไหวในตอนนี้ แต่ถ้าตอนที่อาณาจักรฉินหวงจากไป พวกเขาต้องเคลื่อนไหวเป็นแน่ นี่อาจก่อให้เกิดสิ่งที่เจ้าพูดขึ้นเมื่อตะกี้ แต่การแก้ปัญหานี้ก็ไม่ได้ยากเย็นเช่นกัน”
“ท่านมีความคิดเห็นประการใดหรือ ? ” เจี้ยนเฉินถาม
“นี่เจ้าไม่เคยคิดจะเข้าควบคุมอาณาจักรอินทรีสวรรค์เลยหรือ ? ” องค์หญิงเสนอขึ้นมา
เจี้ยนเฉินส่ายหน้า “ข้าเคยคิดเช่นนั้นมาก่อน แต่ข้าก็พบว่ามันยากที่จะทำให้เป็นเช่นนั้น เบื้องหลังของอาณาจักรอินทรีสวรรค์นั้นคือนิกายพยัคฆ์มังกรซึ่งยังรอคอยโอกาสอยู่ พวกมันแข็งแกร่งและยังไม่กลัวอาณาจักรฉินหวงอีกด้วย ถ้าพวกเราเอาคนไปควบคุมอาณาจักรอินทรีสวรรค์แล้วล่ะก็ เราก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงราษฎรผู้บริสุทธิ์ของอาณาจักร แทนที่จะต้องมาปวดเศียรเวียนเกล้ากับนิกายพยัคฆ์มังกรที่คอยแต่จะแทรกแซง อีกเหตุผลก็คืออาณาจักรอินทรีสวรรค์นั้นอยู่ห่างไกลจากอาณาจักรเกอซุนมาก มันไม่สะดวกที่จะไปมาหาสู่กัน ดังนั้นการเข้าควบคุมจึงเป็นเรื่องยาก และพวกเราเองก็ยังไม่แข็งแกร่งเท่าอาณาจักรฉินหวงด้วย”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น งั้นทำไมพวกเราไม่ยุบอาณาจักรอินทรีสวรรค์เลยล่ะ แบ่งพื้นที่ให้กับนิกายหรือตระกูลย่อย ๆ ซึ่งพวกนั้นต้องทำการสาบานตนว่าจะซื่อสัตย์ต่ออาณาจักรฉินหวงและให้ตำแหน่งให้กับพวกเขา สิ่งนี้จะหลีกเลี่ยงปัญหาภายในที่เกิดขึ้นและยังเป็นการกำจัดความพยายามของนิกายพยัคฆ์มังกรที่จะเข้าควบคุมอาณาจักรอินทรีสวรรค์อีกด้วย” องค์หญิงโหยวเยว่นั้นเคยชินกับเรื่องแบบนี้มากกว่าเจี้ยนเฉิน ดังนั้นนางจึงมีความคิดที่หลากหลายกว่า
เจี้ยนเฉินพึมพำพร้อมกับคิดในสิ่งที่องค์หญิงได้พูดออกมา และในที่สุดก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “แผนนี้ไม่เลว ไม่เพียงแต่อาณาจักรอินทรีสวรรค์จะหายไปเท่านั้น แต่ยังทำให้นิกายและตระกูลต่าง ๆ ถูกควบคุมโดยไม่มีนิกายพยัคฆ์มังกรเข้ามาเกี่ยวข้อง ปาก้อนหินก้อนเดียวฆ่านกได้ 3 ตัว ไม่เลว ความคิดของท่านนั้นดูเข้าทีเป็นอย่างยิ่ง”
เมื่อได้ยินเจี้ยนเฉินกล่าวชมเชย องค์หญิงก็ได้แสดงรอยยิ้มอันแสนหวานออกมา การได้ช่วยสะสางปัญหาให้เจี้ยนเฉินนั้นทำให้นางมีความสุข
“โหยวเยว่ นี่ก็ดึกมากแล้ว เจ้าควรเข้านอนได้แล้ว พรุ่งนี้เช้าข้าจะเริ่มทำตามที่เจ้าได้วางแผนไว้ ข้าเชื่อว่ามันต้องสำเร็จแน่ ๆ” เจี้ยนเฉินยิ้มไปให้โหยวเยว่
“อื้อ ! ” องค์หญิงพูดอย่างชื่อฟังพร้อมกับลุกขึ้นเดินไปยังห้องของนาง การที่เจี้ยนเฉินเรียกนางว่าโหยวเยว่นั้นทำให้หัวใจนางเต้นรัวด้วยความสุขและความเศร้าใจที่มีก่อนหน้านี้ได้หายไป