ส่วนที่ 4 ตอนที่ 8.1

ความลับแห่งจินเหลียน

เดิมพันหินเท่ากับเดิมพันชีวิต

 

 

 

 

ผู้คนที่เหลือกลับรู้สึกแปลกใจ ปกติแล้วหากผ่าหินแล้วเผยสีเขียวออกมาให้เห็น ถ้าหากไม่รีบเปลี่ยนมือมาขายให้ผูอื่นในราคาที่ดี ก็จะค่อยๆ ขัดผิวจากด้านข้างของสีเขียว เพื่อดูว่าสีเขียวมีความตื้นลึกหนาบางอยู่เท่าไหร่ จากนั้นค่อยคิดอีกทีว่าจะตัดออกมาอย่างไร 

 

 

ในตอนนี้การผ่าหินของผู้อาวุโสเจี่ยเผยสีเขียวออกมาแล้ว เขาเริ่มนำร่องมาจากสีเขียวที่อยู่รอบๆ และลงใบมีดซ้ำลงไปอีกครั้ง เขาก็ไม่เกรงกลัวเลยว่าใบมีดจะตัดสีเขียวออกไปจนหมด? การเดิมพันหินแต่เดิมที่สืบทอดมา ด้วยใบมีดเล่มหนึ่งก็สามารถทำให้เปลี่ยนสถานะในสังคมว่าจะกลายเป็นคนยากจนหรือมหาเศรษฐีได้ภายในชั่วคืนหนึ่ง นี่จึงถือว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ 

 

 

แน่นอนว่าผู้ที่ถูกผู้อาวุโสเจี่ยเชิญมาดูการตัดหินในครั้งนี้ย่อมเป็นนักธุรกิจค้าขายอัญมณีจากหลากหลายแห่ง ถึงพวกเขาจะไม่รู้จักกัน แต่ทุกคนก็รู้ว่าผู้อาวุโสเจี่ยคือราชาแห่งการเดิมพันหินตามชื่อเสียงที่ร่ำลือเอาไว้ แต่เขาก็ไม่ได้อยู่ภายใต้บริษัทเครื่องประดับอัญมณีแห่งไหน พูดได้ว่าการเดิมพันหินเป็นงานอดิเรกส่วนตัวล้วนๆ 

 

 

นอกจากนี้ทุกครั้งหลังจากที่เขาเดิมพันผ่าหินเสร็จนั้น หากชนะก็สามารถนำไปขายทอดสู่ตลาดได้ต่อ ถึงกระนั้นแน่นอนว่าเขาต้องเก็บหยกพวกนั้นไว้เป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัวไว้บ้าง 

 

 

ครั้งนี้ผู้อาวุโสเจี่ยเรียกพวกเขามาหาก็เพื่อที่ว่า หลังจากผ่าหินเสร็จแล้วก็เตรียมตัวที่จะขายต่อทันที ดังนั้นถึงผู้คนจะไม่เข้าใจกระบวนการตัดหินของเขาสักเท่าไหร่ แต่ในใจกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังและรอคอยเป็นที่สุด พวกเขาเฝ้ารอให้รีบตัดออกมาเพื่อดูเนื้อข้างในว่ามีหยกอยู่เท่าไหร่กัน 

 

 

ถึงจะจัดอยู่ในประเภทชนิดน้ำแข็งมรกต แม้ว่าสีเขียวจะไม่ถึงกับเข้มเด่นชัด แต่วัตถุดิบของหยกชนิดนี้ก็อยู่ในประเภทของหายาก ถ้าหากสามารถขายแบบก้อนใหญ่ได้ แน่นอนย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่า 

 

 

    

 

 

ตามเสียงใบมีดของเครื่องตัดหินที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่นั้น ทำให้จิตวิญญาณของผู้ชมถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง เพียงชั่วขณะโรงงานแปรรูปหยกก็เงียบสงัดขึ้นมา 

 

 

ซีเหมินจินเหลียนกลับรู้สึกประหลาดใจ คนพวกนี้จะกังวลใจไปทำไมกัน ถ้าหากเป็นผู้อาวุโสเจี่ยที่กังวลใจ เธอก็พอจะเข้าใจได้ เพราะนี่คือเนื้อหินหยกมูลค่าถึงแปดสิบล้าน เมื่อตัดต่อไปคงพ่ายแพ้ย่อยยับเป็นแน่ เพียงแต่ว่านักธุรกิจอัญมณีเหล่านี้ต่างพากันยืดชูคอจดจ่อทุกลมหายใจ 

 

 

เมื่อคิดดูแล้ว เธอก็หาเหตุผลมาอธิบายได้ นี่ต่างเป็นผลประโยชน์ร่วมกันทั้งนั้น ถ้าจะกังวลใจย่อมไม่แปลก 

 

 

เดิมทีเธอนั้นยากจน แต่เมื่อหลังจากที่รวยเพียงชั่วข้ามคืนแล้ว เธอก็คิดแต่ว่าเงินทองเป็นเพียงแค่สัญลักษณ์ๆ หนึ่ง สำหรับการใช้ความสุขเพลิดเพลินไปกับสิ่งของวัตถุภายนอกนั้น ไม่ได้ดึงดูดเธอแม้แต่เพียงนิดเดียว แต่สิ่งที่ดึงดูดเธอกลับกลายเป็นอัญมณีหยกนั่นเอง 

 

 

ก็แค่เล่นกับหิน แถมยังสิ้นเปลืองเงินอีก เมื่อคิดเช่นนั้นแล้วซีเหมินจินเหลียนคิดได้ว่าเธอไม่ได้มีเงินมากมายอะไร ครั้นตอนที่ซื้อหินหยกห้าชิ้นมาจากบ้านของชายชรา ทำให้เธอสูญเสียเงินไปถึงหนึ่งร้อยกว่าล้า 

 

 

แถมนี่ยังเป็นเพียงแค่บ้านหลังเดียวที่นายหน้าเหลาหลี่พาพวกเราไปดูสินค้าอีก ถ้าหากเธอไปสักหลายๆ หลังแล้วละก็…ซีเหมินจินเหลียนนึกแล้วก็หัวเราะอย่างขมขื่น เธอก็คงจะไม่มีโอกาสไปร่วมงานประมูลหยกเป็นแน่ ทำได้ดีที่สุดคือกลับบ้าน เพราะถึงจะไปเธอก็ไม่มีเงินอยู่ดี อีกทั้งได้ยินว่างานประมูลหยกนั้นช่างดุเดือดเสียมาก เป็นการทำลายล้างล้างกระเป๋าเงินอย่างไม่มีสิ้นสุด 

 

 

ตอนที่ซีเหมินจินเหลียนกำลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่นั้นเอง ใบมีดของเครื่องผ่าหยกก็หยุดเคลื่อนไหวลง ผู้อาวุโสเจี่ยเดินเข้าไปดู ภายในความช่วยเหลือของลูกน้องวัยหนุ่มสาวก็สามารถทำให้หินหยกชิ้นนั้นแยกออกมาจากกันจนได้ 

 

 

หินหยกที่แยกออกมาจากการตัด ด้านบนของก้อนหนึ่งมีลวดลายคล้ายกับเส้นผมสีเขียวอยู่เล็กน้อย ส่วนอีกก้อนหนึ่งมีความหนายาวประมาณยี่สิบเซนติเมตร บนนั้นมีลายเส้นเส้นหนึ่งของสีเขียวหยกปรากฏอยู่ 

 

 

ดูจากสีหน้าของผู้อาวุโสเจี่ยแล้วก็ดูไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ตอนนี้หินหยกสีเขียวก้อนยักษ์ถูกตัดผ่ากลางออกมา แต่ว่าผลลัพธ์ที่ตัดออกมานั้นกลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้ ถ้าหากมีเพียงแค่ชนิดน้ำแข็งสีเขียวมรกตอ่อน พนันไว้เลยว่านี่ยังคืนทุนที่เขาซื้อมาไม่ได้เลย 

 

 

ผู้ชมทั้งหมดต่างมีสีหน้าที่แตกต่างกัน ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาทั้งหมดก็ต่างตั้งใจเพื่อที่จะมารับหินหยกนี้ เมื่อเผยให้เห็นสีเขียวออกมาก็ถือว่าดีพอแล้ว ที่เหลือก็มาดูกันต่อว่าใครจะรับหยกน้ำแข็งสีเขียวมรกตอ่อนนี้ไป 

 

 

ในเวลาเพียงไม่ช้าผู้อาวุโสเจี่ยก็สามารถผ่าหยกออกมาได้อย่างหมดเปลือก ความยาวยี่สิบเซนติเมตร ความหนาประมาณหกเซนติเมตร ความลึกก็เท่าๆ กันห้าถึงหกเซนติเมตร 

 

 

“ผู้อาวุโสเจี่ย คุณต้องการที่จะขายหยกก้อนนี้ใช่ไหมครับ” ประธานเฉินในตอนนี้ ถึงลักษณะเขาจะดูเหมือนเป็นแค่ลุงพุงโตขี้เมาคนหนึ่ง แต่ความเร็วของเขากลับไวกว่าใครๆ จู่ๆ รีบชิงถามไปก่อน 

 

 

ผู้อาวุโสเจี่ยพยักหน้า ประธานเฉินยังไม่ทันได้ตั้งตัวพูดอะไรต่อ คนที่ใบหน้าเป็นรอยกระก็พูดราคาขึ้นมา “ยี่สิบล้าน!” 

 

 

ประธานเฉินได้แต่กัดฟันกรอดมองชายผู้นั้น เขาแทบที่จะพุ่งเข้าไปต่อยสักหมัดให้หายปากซ่า แต่ก็ยังคงเก็บอาการพูดต่อ “ยี่สิบสองล้าน!” 

 

 

“ยี่สิบสามล้าน!” มีเสียงคนผู้หนึ่งดังออกมาท่ามกลางผู้คน 

 

 

“ยี่สิบห้าล้าน!” เหนือความคาดหมายของซีเหมินจินเหลียน หลินเสวียนหลานเป็นคนพูดขึ้นมา 

 

 

ประธานเฉินไม่ได้เอ่ยปากคัดค้านอะไร ส่วนผู้มีรอยกระบนใบหน้าคนนั้นก็เช่นกัน เมื่อผู้อาวุโสเจี่ยเห็นว่าไม่มีใครพูดอะไรอีก เขาก็เลยรีบปิดราคา “ถ้าอย่างนั้นก็ตกลง หินหยกก้อนนี้เป็นของคุณหลิน…” 

 

 

“สามสิบล้าน!” ชายร่างอ้วนแซ่เหอมองไปที่หลินเสวียนหลานแบบเย็นยะเยือก ก่อนจะแค่นลมหายใจออกมา 

 

 

หลินเสวียนหลานชักสีหน้าไม่พอใจ นี่เป็นหยกที่น้ำงามเลยทีเดียว ถึงแม้จะเทียบไม่ได้กับคุณภาพของหยกชนิดกระจกใส สีไม่ค่อยดึงดูดเท่าไหร่ เป็นเพียงสีเขียวอ่อนธรรมดาเท่านั้น แต่ถ้าทำให้ดีและใช้วัสดุชิ้นดีแล้วละก็ สามารถทำเป็นกำไลได้อย่างสบาย ราคาสามสิบล้านถือว่าไม่แพง 

 

 

เพียงแต่ บ้านตระกูลหลินไม่มีเงินนี่น่ะสิ! 

 

 

ครั้งนี้ไม่มีใครเพิ่มราคาหยกน้ำแข็งสีเขียวอ่อนก้อนนั้น ถ้าอย่างนั้นเจ้าของก็ตกไปเป็นของชายร่างอ้วนแซ่เหอ ชายร่างอ้วนแซ่เหอปรึกษากับผู้อาวุโสเจี่ยอยู่พักหนึ่ง ตอนนี้เป็นเวลากลางคืนคงจะต้องรอพรุ่งนี้ถึงจะไปโอนเงินให้ที่ธนาคารได้ 

 

 

ผู้อาวุโสเจี่ยไม่มีความเห็นแต่อย่างใด เพียงแต่ครั้งนี้เขาเสียเดิมพันจากหยกก้อนนี้ไป แถมยังยอมขาดทุนไปเพื่อขายให้กับชายร่างอ้วนแซ่เหอ 

 

 

“ลำบากพวกคุณที่คืนนี้พากันมาดูชายแก่อย่างผมผ่าหยกแล้ว!” ผู้อาวุโสเจี่ยพูดต่อหน้าทุกคน 

 

 

ผู้ชมที่ได้ยินเช่นนั้นก็พากันทอดถอนใจอย่างเสียดาย ต่างคนต่างคิดว่าแม้อยู่ต่อไปคงไม่มีอะไร เช่นนั้นจึงค่อยๆ ทยอยกันออกไปจากที่นี่ ประธานเฉินอยากจะออกไปพร้อมกับซีเหมินจินเหลียน แต่เมื่อเห็นเธอกับจ่านป๋ายอยู่ด้วยกัน มองเห็นความรักของพวกเขาฟุ้งกระจายไปทั่วอณูนั้น ตนจะไปเป็นก้างขวางคอทำไมกัน ดีที่สุดทำได้แค่ทักทายเธอก่อนจากไปและออกไปพร้อมกับชายร่างอ้วนแซ่เหอและประธานหม่า ส่วนกลุ่มคนเจ็ดคนนั้นก็ได้พากันออกไปแล้ว 

 

 

ทางด้านหลินเสวียนหลาน เขาก็พยายามหาโอกาสเพื่อพูดคุยกับซีเหมินจินเหลียน แต่ทว่าลู่เฟยอวี๋กลับตามติดแนบกายเขาตลอด แถมข้างกายของซีเหมินจินเหลียนยังมีจ่านป๋ายคอยยืนอยู่… 

 

 

ท้ายที่สุดเขาจึงทำได้แค่ออกไปแบบไร้จิตวิญญาณ วันนี้ถูกคนอื่นตัดหน้าการซื้อหยกน้ำแข็งก้อนนั้นไป ภายในใจก็รู้สึกอึดอัดยิ่งนัก แถมเขายังเข้าใจกว่าทุกคนดีว่าสถานการณ์บ้านตระกูลหลินตอนนี้ต้องการหินหยกชนิดนี้เป็นอย่างมาก 

 

 

เมื่อมองดูคนอื่นๆ ออกกันไปหมดแล้ว ผู้อาวุโสเจี่ยจึงถอนหายใจออกมา แต่เมื่อเห็นซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายยังคงอยู่ก็รีบเดินเข้าไปหาที่ข้างกายของเธอแล้วพูดว่า “คุณผู้ชายท่านนี้คงเป็นมือใหม่สินะครับ?” ทุกคนมักจะคิดว่าจ่านป๋ายเป็นนักพนันหิน ผู้อาวุโสเจี่ยเองก็เช่นกัน 

 

 

“ผมชื่อจ่านป๋ายครับ ส่วนนี่เพื่อนของผม ซีเหมินจินเหลียน!” จ่านป๋ายรีบพูดแก้ตัว เมื่อสักครู่เขาอยากจะพาซีเหมินจินเหลียนออกไปจากที่นี่ แต่เธอพูดแค่ว่าให้รอก่อน 

 

 

ไม่ว่าจะเรื่องอะไรจ่านป๋ายฟังแต่คำพูดของเธอ เมื่อเธอบอกให้รอ เขาก็จะรอ 

 

 

“ผู้อาวุโสเจี่ยไม่คิดที่จะผ่าหยกแล้วเหรอคะ” ซีเหมินจินเหลียนถามกลับไปอย่างรวดเร็ว 

 

 

 “หือ?” ผู้อาวุโสเจี่ยสงสัยแล้วถามว่า “คุณผู้หญิงล้อผมเล่มแล้ว ผมเสียเดิมพันไปไม่รู้เท่าไหร่ คุณดูสิหินราคาแปดสิบล้าน แต่ขายออกไปได้เพียงแค่สามสิบล้านเท่านั้น เงินห้าสิบล้านนั้นหายไปราวสายน้ำ ผมคงแก่แล้วล่ะครับ สายตาถึงไม่ดีแล้ว” 

 

 

“อย่าคิดอย่างนั้นสิคะ!” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มน้อยๆ พลางสางผมที่อยู่บนหน้าอกของเธอ “ตอนที่คุณยังไม่มา ฉันก็ได้ดูหินก้อนนั้นแล้ว ดูยังไงมันก็เหมือนจะเป็นสีของหินผสม…” 

 

 

ผู้อาวุโสได้ยินแล้วตกใจเล็กน้อยจ้องมองไปยังซีเหมินจินเหลียน รีบพยักหน้าพูดต่อว่า “ตอนแรกที่ผมซื้อหินนี้มาก็เพราะเห็นว่ามีสีสองสีอยู่ในนั้น คิดน่าจะเป็นสีผสม แต่พอตัดออกมาแล้วกลับไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ การเดิมพันหินบอกอะไรแน่นอนไม่ได้เลย อ๋อ จริงสิ ทำไมคุณซีเหมินถึงรู้เรื่องการเดิมพันหินดีขนาดนี้ล่ะ” 

 

 

 “เธอต่างหากครับที่เล่นหินหยก ส่วนผมแค่มาเป็นเพื่อนเท่านั้น” จ่านป๋ายตอบกลับ 

 

 

“เป็นอย่างนี้นี่เอง ผมไม่ค่อยพบเจอผู้หญิงที่เล่นหินหยกเท่าไหร่นัก” ผู้อาวุโสเจี่ยยิ้ม 

 

 

“ผู้หญิงนี่แหละที่ชอบหยก!” ซีเหมินจินเหลียนตอบ 

 

 

“อืม!” ผู้อาวุโสเจี่ยพยักหน้าถอนหายใจไปยกหนึ่ง