ส่วนที่ 4 ตอนที่ 8.2

ความลับแห่งจินเหลียน

เดิมพันหินเท่ากับเดิมพันชีวิต

 

 

 

ซีเหมินจินเหลียนคิดแล้วคิดอีกเดินไปที่ข้างๆ หยกก้อนนั้นแล้วพูดกับผู้อาวุโสว่า “ผู้อาวุโส พูดตามตรงนะคะ ในใจของฉันยังมีความสงสัยอัดแน่นอยู่มากมาย หรือพวกเราจะเอาเศษหินที่เหลือทั้งหมดมาลองเจียระไนตัดให้เล็กลงดูสักนิดหน่อย? คุณลองคิดดู นี่ยังมีชิ้นใหญ่อยู่นะ?”

 

 

“จะว่าไปหนูก็พูดถูก” แววตาของผู้อาวุโสเจี่ยส่องแสงสุกสกาวขึ้นมาทันใด ได้แต่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “เวลานี้ถ้าหากรีบเข้านอนก็เกรงว่าจะเร็วไป ถ้าเช่นนั้นพวกเรามาตัดให้หมดเลยดีไหม คิดซะว่าเหมือนหั่นก้อนเต้าหู้ให้เป็นชิ้นๆ ก็แล้วกัน”

 

 

ซีเหมินจินเหลียนได้ยินที่ผู้อาวุโสพูดก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ผู้อาวุโสเจี่ยตะโกนเรียกลูกน้องในร้านให้พาหินก้อนสีขาวนวลที่เหลืออยู่นั้นขึ้นไปบนเครื่องตัดหิน ตรงกลางวาดเส้นลงไป กดปุ่มสวิตซ์พร้อมเริ่มการลงมือตัด

 

 

ซีเหมินจินเหลียนเห็นเช่นนั้น ในใจก็แอบคิดว่า ‘แย่แล้ว’ ผู้อาวุโสที่บุ่มบ่ามใช้มีดตัดเข้าไปตรงกลางแบบนี้ ถ้าหากมีดนั้นตัดหยกสีควันม่วงติดออกมาแล้วล่ะก็ ถึงจะเป็นแค่การลงมีดครั้งเดียวก็สามารถทำให้หยกสีควันม่วงก้อนนั้นตัดออกเป็นสองส่วนได้

 

 

ช่างน่าเสียดาย! ซีเหมินจินเหลียนแอบคิดอยู่ในใจ แต่ว่าเธอทำได้เพียงแค่มองเท่านั้น ถ้าจะส่งสัญญาณลับๆ คอยเตือนผู้อาวุโสเจี่ยก็เกรงว่าจะดูไม่เหมาะสม ดูจะเกินเลยไปหน่อย ถ้าหากเธอไปเตือนเขาว่าควรจะลงมีดไปทิศทางไหน เขาคงคิดได้ว่าเธอดูถูกฝีมือเขา

 

 

การที่แนะนำผู้อาวุโสเจี่ยให้นำหินที่เหลือมาตัดนั้นก็เป็นเพียงคำพูดลอยๆ เท่านั้น เขาจะตัดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเขา แต่ผู้อาวุโสเจี่ยพูดเองว่าเขาก็สนใจหินก้อนนี้และคิดว่าเป็นสีผสมของหินหยก จนยอมจ่ายด้วยเงินมากมายถึงเพียงนี้ ถ้าเธอแนะนำไปสักหน่อยคงจะไม่ทำให้ผู้อาวุโสเจี่ยลำบากใจหรอก

 

 

ใบมีดของเครื่องผ่าหยกส่งเสียงออกมา หินก้อนนั้นถูกแบ่งออกมาเป็นสองชิ้น ลูกน้องของเขารีบเข้าไปแยกออกจากกัน

 

 

“แม่หนูรีบเข้ามาดูนี่สิ!” ผู้อาวุโสเจี่ยหันมาทางเธอและเรียกให้เธอเข้าไปดู

 

 

ที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องเรียกเธอเข้าไปเลย เพราะเธอเป็นคนเดินเข้ามาเองตั้งแต่แรกอยู่แล้ว พื้นผิวของหินหยกน้ำแข็งสีควันม่วงทั้งสองชิ้นนี้ แต่ละอันมีขนาดห้าถึงหกเซนติเมตร

 

 

ผู้อาวุโสเจี่ยยื่นมือสาดน้ำลงไปบนหินนั้นเล็กน้อย เพื่อที่ล้างผงเศษหินที่อยู่บนนั้นให้สะอาดหมดจด ทำให้สีม่วงอ่อนยิ่งดึงดูดเย้ายวนใจคนมากขึ้น

 

 

“สาดน้ำไปแล้วสีก็ยังอ่อนไปหน่อยอยู่ดี!” ผู้อาวุโสเจี่ยถอนหายใจเฮือกยาว

 

 

“ฉันว่ามันสวยมากนะคะ” ซีเหมินจินเหลียนแสดงถึงความพึงพอใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอกำลังเห็นการตัดหินสีม่วงออกมา แม้ว่าสีจะอ่อนไปหน่อย ชนิดความโปร่งแสงของหยกน้ำแข็งน้อยมากเมื่อเทียบกับชนิดของหยกกระจก แต่อย่างไรสีม่วงอ่อนกลับเหมือนแต่งเติมสีสันทวีคูณเพิ่มขึ้น

 

 

“พวกเราลองตัดออกมาให้หมดดีไหม?” ผู้อาวุโสเจี่ยมองดูปฏิกิริยาของเธอ เพียงแค่นี้เธอก็ดูสดใสร่าเริง ถึงแม้สีม่วงจะถูกตัดผ่ากลางออกมา ขอแค่ไม่มีผลกระทบเสียหายอะไรก็ไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสม

 

 

แถมการขายหยกสีม่วงทอดสู่ตลาดออกไป ถ้าขายได้ในราคาดีไม่แน่อาจสามารถถอนทุนคืนที่แพ้เดิมพันหินครั้งนี้ไป ขอแค่ไม่แพ้เดิมพันก็ถือว่าคุ้มแล้ว คิดเท่านี้เขาก็ค่อนข้างพึงพอใจ

 

 

แต่สิ่งสำคัญอีกอย่างก็คือ อย่างน้อยก็พิสูจน์ว่าสายตาอันเฉียบแหลมยังใช้ได้อยู่ หินก้อนนี้มีสีสองสีผสมกันอยู่ เพียงแต่ว่าระหว่างกลางของสีเขียวและสีม่วงมีหินก้อนใหญ่คั่นพวกเขาเอาไว้

 

 

เพียงคิดเท่านี้ ผู้อาวุโสเจี่ยก็ทำตัวไม่ถูกไม่รู้ว่าตนจะร้องไห้หรือยิ้มสู้ดี ใครจะคิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับหยกก้อนนี้

 

 

ด้วยกระบวนการเจียระไนหินของผู้อาวุโสเจี่ย ในไม่ช้าก็เปิดเผยให้เห็นหยกสีควันม่วงก้อนเล็กใหญ่สองชิ้นออกมาสู่สายตาของคนที่มองอยู่

 

 

ซีเหมินจินเหลียนอดไม่ได้ที่จะหยิบหยกก้อนเล็กขึ้นมา ตรวจเช็คอย่างละเอียดทุกอณู ในใจแอบคิดว่าสีม่วงชนิดนี้ถือว่าไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร แต่ถ้าทำเป็นเครื่องประดับ สีอาจจะอ่อนไปเสียหน่อย ถ้าเข้มเหมือนกับสีม่วงดอกไลแอคคงจะดีไม่น้อยเลย?

 

 

“แม่หนูชอบไหม?” ผู้อาวุโสถาม

 

 

ซีเหมินจินเหลียนได้แต่พยักหน้า ใครจะไม่ชอบหยกกันล่ะ?

 

 

“ชิ้นเล็กอันนี้ฉันยกให้ ส่วนชิ้นใหญ่นั้นฉันขอเก็บไว้ละกัน” จู่ๆ ผู้อาวุโสเจี่ยก็กล่าวขึ้นมา

 

 

ซีเหมินจินเหลียนเมื่อได้ยินดังนั้นก็พลันตกใจ รีบร้อยส่ายหน้าปฏิเสธว่า “ไม่ได้นะคะไม่ได้ อยู่ดีๆ ฉันจะรับของขวัญที่มีค่ามหาศาลอย่างนี้มาจากคุณโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลยได้ยังไงกันละคะ”

 

 

“ไม่ได้ทำอะไรกัน” ผู้อาวุโสเจี่ยได้ฟังคำของเธอก็พูดขึ้นอย่างไม่ยินดีว่า “ถ้าหากแม่หนูไม่เตือน ฉันคงทำให้หยกก้อนนี้สูญเปล่าไปต่อหน้าต่อตาเสียแล้ว จะผ่าจนเจอหยกก้อนนี้ได้อย่างไรกัน เอาอย่างนี้ละกัน พรุ่งนี้ตอนเช้าฉันจะเอาหยกพวกนี้ไปให้เจ้าของโรงงานแปรรูปหยก คนแก่อย่างฉันตาก็ฟ่าฟางแล้ว สมองก็ไม่ดีอย่างก่อนหนานี้ ใครจะไปคิดว่าหยกที่เหลือมาจากการตัดหยกสีเขียวออกไปจะแอบซ่อนเร้นหยกสีม่วงอยู่”

 

 

ซีเหมินจินเหลียนทำได้แค่ยิ้มบางๆ แต่ภายในใจของเธอสับสนเหลือเกิน หรือว่าวัสดุข้างในของหินหยกหนึ่งก้อนจะสามารถพบได้แค่หยกชนิดเดียวล้วนๆ?

 

 

ความรู้ในเรื่องการเดิมพันหินของเธอทั้งหมดนั้นมาจากการดูกระทู้สนทนาบนโลกออนไลน์ ไม่ใช่ความรู้ในแง่ถูกหลักเทคนิคอะไร ในความจริงทุกครั้งที่มีการเดิมพันหยกเกิดขึ้น เธอก็จะใช้พรสวรรค์ในการตรวจสอบ ทุกครั้งเธอจะดูส่วนประกอบของหยกอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วจึงไปหาความรู้จากในหนังสือมายืนยัน แต่นั่นก็ยังมีข้อจำกัดอยู่

 

 

“แม่หนูกลับไปแล้วจะหาคนทำเป็นเครื่องประดับไว้ใส่เองหรือจะขายออกไป มันก็ดีทั้งคู่ไม่ใช่เหรอ!” ผู้อาวุโสเจี่ยยิ้มมุมปาก

 

 

ซีเหมินจินเหลียนได้แต่ปฏิเสธ ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ไม่อาจจะรับของที่มีค่าเช่นนี้ได้ เธอและราชาแห่งการเดิมพันหินในเมืองผู้นี้แทบจะไม่รู้จักอะไรกันเลย

 

 

ท้ายที่สุดผู้อาวุโสเจี่ยมีอาการโกรธชักสีหน้าใส่เล็กน้อย จ่านป๋ายถึงส่งสายตาหันไปทางซีเหมินจินเหลียน ส่วนเธอนั้นรู้เจตนาที่เขาสื่อจึงตอบตกลงรับหยกสีควันม่วงก้อนนั้นไว้

 

 

ผู้อาวุโสเจี่ยเห็นท่าทีเช่นนั้นก็เริ่มเผยยิ้มออกมาอีกครั้งแล้วพูดว่า “แม่หนูอย่าไปเลียนแบบตามพวกคนขี้งกเลย ต้องใจกว้างหน่อย นี่ก็แค่หินเสียๆ ก้อนหนึ่งเท่านั้นเอง”

 

 

“ถ้าหินก้อนนี้เป็นหินเสียๆ เกรงว่าบนโลกนี้คงไม่มีสิ่งของอะไรที่มีค่าอีกแล้วล่ะค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนซ่อนยิ้ม พูดตามตรงว่าผู้อาวุโสเจี่ยท่านนี้มีนิสัยใจคอที่น่าสนใจดีเหมือนกัน

 

 

ผู้อาวุโสเจี่ยได้ยินดังนั้นก็หัวเราะดังฮ่าๆ ออกมา ทำให้เธอต้องพลันหันไปมอง “แม่หนูมากับฉันหน่อยเถอะ!”

 

 

ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายได้ยินเช่นนั้นรู้สึกประหลาดใจจึงรีบตามขึ้นไป เมื่อไปถึงภายในโรงงานแปรรูปหยกก็พบว่าเป็นเพียงโกดังเล็กๆ หลังหนึ่ง เพื่อที่จะได้เห็นสีของหยกอย่างชัดเจน ผู้อาวุโสเจี่ยจึงเปิดไฟชี้ไปให้พวกเขาทั้งสองดู “พวกคุณว่าหยกพวกนี้สวยไหม?”

 

 

ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายพยักหน้าอย่างพร้อมใจกัน ดูจากส่วนประกอบที่ตัดแล้วของหินหยกกับหินธรรมดาแทบที่จะไม่ต่างกันเลย ถึงจะมีสีของเปลือกหินที่ไม่ค่อยจะสวยเท่าไหร่ก็เถอะ

 

 

ผู้อาวุโสเจี่ยสีหน้ายิ้มแย้มแล้วพูดว่า “หยกที่คุณถือในมือของคุณก้อนนั้น ถ้าจะพูดมันก็คือหยกราคาหลายสิบล้านดีๆ นั่นเอง คนที่ไม่เข้าใจจะคิดว่าเป็นก้อนหินธรรมดาก้อนหนึ่ง ที่จริงแล้วหยกที่มีราคานั้นกลับเป็นหยกที่แตกต่างจากอันอื่น ไม่มีใครสนใจมัน มันก็เหมือนหินที่ไม่มีชื่อเสียงเลอค่าอะไร เมื่อรู้สึกหิวก็ไม่ได้อิ่มท้อง รู้สึกหนาวก็ไม่สามารถคลายหนาวได้”

 

 

ซีเหมินจินเหลียนฟังแล้วเหมือนถูกกระแสไฟฟ้าช็อตเธอไปชั่วขณะ เธอคิดไตร่ตรองความหมายของผู้อาวุโสเจี่ย สิ่งที่เขาต้องการจะสื่อนั่นก็คือ ความแน่วแน่ เธอพยักหน้าพร้อมพูด “เข้าใจแล้วค่ะ!”

 

 

“การเดิมพันหยกก็คือการเดิมพันชีวิต สิ่งที่สำคัญก็คือจิตใจต้องไม่เปลี่ยนแปลง!” ผู้อาวุโสเจี่ยยังพูดอีกว่า “คนอื่นตั้งฉายาให้ฉันว่าเป็นราชาแห่งการเดิมพันหิน หนูคิดว่าฉันมีความสามารถพิเศษลี้ลับอะไร ถึงทำให้ชนะเดิมพันได้ แต่ไม่รู้ในสิ่งที่ฉันรู้ ผู้คนชอบคิดว่าหินก้อนหนึ่งไม่ได้มีค่าราคาอะไร แต่นี่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับหินเลย แต่ขึ้นอยู่กับคนนี่ล่ะ ความเป็นจริงเวลาที่ฉันเดิมพันหยกก็ล้วนมาจากใช้ความรู้สึกทั้งนั้น”

 

 

ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกงงงวย ความรู้สึก? เดิมพันโดยใช้ความรู้สึกทำให้เขากลายเป็นราชาแห่งการเดิมพันหินอย่างนั้นเหรอ? ถ้าหากเป็นคำพูดที่มาจากคนอื่นพูดออกมาเธอคงจะไม่เชื่ออย่างแน่นอน แต่ผู้อาวุโสที่อยู่ข้างหน้าเธอตอนนี้เขากลับเป็นคนที่ไม่ธรรมดา…

 

 

ผู้อาวุโสเจี่ยเห็นเธออึ้งค้างไม่พูด จึงถอนหายใจออกมาแล้วส่ายหัวพูดแทน “ฉันแก่แล้ว มองอะไรก็ไม่แตกฉานหรอก!”

 

 

ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าตอบรับ ใช่แล้ว บนโลกใบนี้ใครจะสามารถมองข้ามชื่อเสียงสองพยางค์นี้กันล่ะ? ผู้อาวุโสเจี่ยก็เหมือนกัน ถึงเขาจะจับมีดมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเท่าไหร่ แต่เมื่อแพ้เดิมพันจิตใจก็ย่อมจะได้รับผลกระทบกระเทือนเป็นธรรมดา ใครจะไปคิดว่าเศษหยกที่เหลือในนั้นจะยังคงมีหยกซ่อนอีกอยู่ข้างใน..?

 

 

สำหรับสิ่งที่ผู้อาวุโสพูดกับเธอนั้น อาจจะเป็นเรื่องที่ทำยากหน่อย แต่เป็นสิ่งที่นักเดิมพันต้องรู้ว่าอย่าเป็นคนที่จิตใจโลเล เมื่อเข้าไปสู่ในวงการเดิมพันแล้ว ท้ายที่สุดก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะพบเจอกับชะตากรรมที่จะเกิดขึ้น

 

 

ซีเหมินจินเหลียนเข้าใจขึ้นบ้างแล้ว เธอได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย เธอใช้แต่พรสวรรค์คอยช่วยอยู่ตลอด ขอแค่พรสวรรค์ไม่สูญหายไป เธอก็ไม่มีทางแพ้เดิมพันเป็นแน่

 

 

“คืนนี้แม่หนูช่วยฉันไว้ได้มากทีเดียว ฉันก็คงไม่ใจจืดใจดำแล้วล่ะ!” ผู้อาวุโสเจี่ยชี้ไปที่กองของหินหยกพวกนั้น “หวยหยกพวกนี้หนูสนใจไหม ถ้าสนใจก็เอาไปสักหน่อยเถอะ  พวกนี่เป็นของที่เพื่อนเก่าแก่ของฉันสะสมมาสิบกว่าปีแล้วล่ะ”

 

 

ผู้อาวุโสเจี่ยรู้ดีแก่ใจ การที่เขาเข้าไปในอยู่ในแวดวงคนมีชื่อเสียง คำพูดเมื่อสักครู่และคำพูดที่เขาพูดให้ซีเหมินจินเหลียนฟังก็ไม่อาจเทียบได้กับการสรุปบทเรียนที่ตัวเองได้เรียนรู้การเดิมพันหยกในหลายปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ซีเหมินจินเหลียนไม่รู้ว่าเพียงเพราะคำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจของเธอทำให้ผู้อาวุโสเจี่ยตัดสินใจที่จะลงจากบัลลังก์ทองของตัวเอง ไม่เดิมพันหยกอีกต่อไปแล้ว

 

 

การเดิมพันหินก็เหมือนเดิมพันชีวิต เขาแก่แล้ว เขาไม่เหมาะสมกับเกมที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้อีกแล้ว!

 

 

“แค่ได้ดู ก็ดีมากแล้วล่ะค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจอย่างที่สุด เมื่อครู่เธอมัวแต่สนใจเศษของหยกที่กองอยู่ที่โรงงาน แต่สิ่งที่อยู่ในโกดังนี้กลับดีกว่าเสียอีก