ตอนที่ 500 ความโกรธของซูเฟย / ตอนที่ 501 ผลของการทำให้ซูเฟยโกรธ

บุปผาเคียงบัลลังก์

ตอนที่ 500 ความโกรธของซูเฟย 

 

 

เซียงฉือพูดจบแววตาก็วาบขึ้นน้อยๆ มองไปยังสี่กงกง เลิกคิ้วเล็กน้อยยิ้มแต่ไม่พูด สี่กงกงเห็นเซียงฉือเช่นนั้นจึงรีบจ้ำกลับไป 

 

 

น่าหลานจูค้อน ในความหยาดเยิ้มผุดความได้ใจ นางพูดว่า 

 

 

“ตระกูลน่าหลานข้าได้รับพระกรุณาอยู่รักษาชายแดน เป็นดั่งพระกรซ้ายขวาของฝ่าบาท ใช่ว่าลูกสาวขุนนางต้องโทษเล็กๆ อย่างเจ้าจะมาเทียบเคียงได้” 

 

 

พูดจาเหลาะแหละ กิริยาไร้สำรวม เซียงฉือฟังจากการพูดจาของนางแล้วก็รู้ว่านางเป็นคุณหนูสุกรสมองกลวงคนหนึ่ง 

 

 

นางไม่โกรธกลับมีสีหน้ายิ้มแย้มพูดอย่างหวังไมตรีว่า 

 

 

“อวิ๋นเซียงฉือเป็นเพียงข้าราชสำนักสตรีคนหนึ่ง ไม่ทราบว่าล่วงเกินอะไรคุณหนูน่าหลานหรือไม่ คุณหนูมาจากตระกูลนักรบ ย่อมมีใจกว้างขวาง คงจะไม่ติดใจเอาความเซียงฉือกระมัง” 

 

 

น่าหลานจูเมื่อถูกเซียงฉือยกยอเช่นนั้นจึงยิ่งไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ นางบิดกายแช่มช้อยออกจากกลุ่มแล้วเดินไปเบื้องหน้าเซียงฉือ กัดฟันพูดว่า 

 

 

“อวิ๋นเซียงฉือ เรื่องที่เจ้ารังแกพี่ข้า รอให้ข้าได้เข้าวังก่อนเถอะ จะค่อยๆ คิดบัญชีกับเจ้า ก่อนจะเข้าวังมานี่ ท่านพี่บอกไว้ก่อนแล้วว่าครั้งนี้นางจะสนับสนุนข้าต่อเบื้องพระพักตร์อย่างเต็มที่ ท่านพ่อท่านปู่ข้าล้วนตำแหน่งสูงมีอำนาจ ถึงเวลานั้นเจ้าจะได้เห็น” 

 

 

เซียงฉือหัวเราะเยาะ แต่ก็พูดอย่างหวาดหวั่นว่า 

 

 

“ข้าเป็นเพียงขุนนางเล็กๆ จะรบกวนคุณหนูน่าหลานให้ต้องมาระลึกถึงเช่นนี้ได้อย่างไร” 

 

 

เซียงฉือชม้ายตาน้อยๆ แล้วพูดยิ้มๆ 

 

 

“ถึงข้าจะเป็นข้าราชสำนักสตรี แต่ก็รู้ว่าการคัดเลือกสาวงามครั้งนี้ซูเฟยทรงเป็นผู้ควบคุม จึงไม่รู้ว่ากุ้ยเฟยทรงสามารถตัดสินพระทัยล่วงหน้าได้อย่างไร ถึงกับกล้าให้คำรับประกันกับคุณหนูน่าหลานเช่นนี้” 

 

 

คำพูดเซียงฉือทำให้น่าหลานเยาะเย้ยขึ้นมา 

 

 

“ซูเฟยนับเป็นอะไร ก็แค่ลูกสาวพ่อค้าต่ำต้อยเท่านั้น ทั้งยังไต่เต้ามาจากนางกำนัล จะเผยอมาเทียบชั้นกับญาติผู้พี่ข้าได้อย่างไร พี่ข้าพูดอะไร ฝ่าบาทไม่เคยทรงปฏิเสธมาก่อน…” 

 

 

เซียงฉือหลอกล่อน่าหลานจูได้อย่างเหมาะเจาะ ทำให้ซูเฟยกับจิ้งเฟยที่เดินมาข้างหลังได้ยินเข้าทั้งสองคน 

 

 

หลี่กงกงที่ข้างกายซูเฟยได้รับการส่งสายตาจากนางจึงตวาดขึ้น 

 

 

“บังอาจ!” 

 

 

“เจ้าเป็นลูกสาวบ้านไหน ถึงกับกล้าเอ่ยวาจาบ้าบิ่นสบประมาทซูเฟย เด็กๆ ตบปาก!” 

 

 

เซียงฉือเห็นซูเฟยมาถึงจึงทำความเคารพและยิ้มนุ่มนวล ซูเฟยฉลาดเฉียบแหลมมาก ถึงจะรู้ว่าเซียงฉือเอาตนเองไปบังหน้า แต่พอได้ยินคำพูดเช่นนั้นแล้วไฟโทสะก็ลุกโชน 

 

 

น่าหลานจูเมื่อได้ยินว่าผู้ที่มาคือซูเฟยก็ตกตะลึงแล้วคุกเข่าอย่างไม่สู้เต็มใจ นางลอบมองไปทางเบื้องหลังซูเฟย หวังว่าจะได้เห็นร่างจินกุ้ยเฟย แต่ไม่มีแม้แต่เงาให้เห็น ดังนั้นจึงลนลานหวาดกลัวขึ้นแล้วในตอนนี้ 

 

 

แต่แรกนางไม่มีแม้ความมั่นใจ มีเพียงความตื่นตระหนก แต่พอได้ยินว่าจะถูกตบปาก ไม่รู้ว่าความกล้าหาญผุดขึ้นมาจากที่ใด จึงพูดขึ้นเสียงดัง 

 

 

“ข้าคือน่าหลานจู ท่านปู่ข้าเป็นเจ้าเมืองอวิ๋นโจว เจ้าตีข้าไม่ได้นะ” 

 

 

น่าหลานจูเหมือนเด็กที่ถูกคนในบ้านรักและตามใจจนเสียคน ตอนนี้ยังคิดว่าที่นี่คืออวิ๋นโจวของนาง คิดว่าท่านปู่ที่ตำแหน่งสูงส่งจะสามารถรีบมาช่วยนางได้ทันจากที่อยู่ห่างออกไปไกลโพ้น 

 

 

ซูเฟยเมื่อได้ยินว่านางเป็นหลานสาวเจ้าเมืองอวิ๋นโจวก็ลังเล เจ้าเมืองอวิ๋นโจวเป็นขุนพลใหญ่ที่ตั้งมั่นรักษาดินแดนแถบหนึ่ง ทั้งยังเป็นขุนนางขั้นที่หนึ่งคนสำคัญของประเทศอีกด้วย จะทำอะไรให้กระทบโดยไม่คิดไม่ได้ ในขณะที่นางกำลังลังเล สาวงามอีกคนที่ด้านข้างก็เอ่ยปาก 

 

 

“ซูเฟยทรงพิจารณาด้วยเพคะ คุณหนูน่าหลานเป็นผู้น้องของจินกุ้ยเฟย เรื่องนี้ควรต้องทูลกุ้ยเฟยเสียก่อน จึงจะตัดสินได้นะเพคะ” 

 

 

ตอนแรกซูเฟยยังมีความลังเล แต่พอได้ยินคำว่าทูลจินกุ้ยเฟยเท่านั้น โทสะก็บังเกิดขึ้นจริงๆ 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 501 ผลของการทำให้ซูเฟยโกรธ 

 

 

สายตาของซูเฟยค่อยๆ เหลือบไปทางหญิงสาวคนนั้น เห็นนางแต่งกายธรรมดา ใช้เพียงวัสดุธรรมดา ไม่ได้หรูหราเหมือนกับน่าหลานคนนั้น ก็รู้ว่านางเป็นเพียงหญิงสาวของตระกูลเล็กที่พึ่งพาบ้านสกุลน่าหลานหรือไม่ก็บ้านสกุลจินจึงพูดถากถางขึ้นว่า 

 

 

“ไม่ทราบว่าท่านนี้เป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลใด มีหน้าตาใหญ่โตถึงปานนี้ ขนาดกล้าสั่งสอนข้าว่าควรจัดการอย่างไร” 

 

 

หญิงสาวสวมชุดผ้าแพรต่วนสีชมพูคนนั้นฟังคำพูดแล้วก็รู้ว่าทำให้ซูเฟยโกรธเสียแล้ว จึงรีบคุกเข่าลง นางโขกศีรษะรัวขออภัยโทษ 

 

 

“หงซิ่วมิบังอาจเพคะ หงซิ่วไม่กล้าเพคะ ซูเฟยโปรดทรงระงับความพิโรธด้วยเถิดเพคะ” 

 

 

ซูเฟยมองดูหงซิ่วอย่างไม่พอใจ พูดขึ้นว่า 

 

 

“เด็กสาวสมัยนี้เก่งกาจขึ้นทุกที ข้าไม่เคยรู้เลย ยังไม่ทันเข้าวังก็โอ้อวดขนาดนี้แล้ว หงซิ่ว เหอะๆ…” 

 

 

หลี่กงกงเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว เขาประคองแขนซูเฟย รอยยิ้มซูเฟยปานบุปผา นางค่อยๆ ยกมือซ้ายขึ้นมองดูเล็บที่ราวกับถั่วแดง พูดเบาๆ ว่า 

 

 

“หลี่กงกง ข้ามองดูสีสันบนเล็บตัวเองแล้วสวยงามนัก บนใบหน้าคุณหนูหงซิ่วคนนี้หากมีสีสันงดงามดุจเดียวกันก็นับเป็นวาสนาของนางแล้ว เจ้าว่าใช่หรือไม่” 

 

 

ถ้อยคำซูเฟยเป็นการสอบถาม แต่คำพูดพวกนั้นไม่ใช่เป็นการถามผู้ได มองดูเด็กสาวคนนั้นแล้ว สีหน้าขาวซีดราวกระดาษ 

 

 

หลี่กงกงเข้าใจความหมายซูเฟยจึงเตรียมจะเข้าไป แต่จู๋อี้นางกำนัลอาวุโสที่ข้างๆ พูดขึ้นว่า 

 

 

“ซูเฟยเพคะ หลี่กงกงของพวกเราเรี่ยวแรงไม่มาก แต่คุณหนูบ้านสกุลน่าหลานคนนี้มาจากตระกูลนักรบ คิดว่าจะต้องเป็นคนมีฝีมือ ซูเฟยมิสู้ทรงประทานพระกรุณานี้แก่นาง ให้นางสั่งสอนเจ้าเด็กพูดจาไร้มารยาทคนนี้ให้เต็มที่เพคะ” 

 

 

จู๋อี้เจตนาย้ำคำว่าพูดจาไร้มารยาท ดังนั้นสายตาของน่าหลานจูจึงมองจู๋อี้ด้วยความเกลียดแค้น 

 

 

ซูเฟยได้ยินดังนั้นก็ชื่นชม นางมองจู๋อี้พูดยิ้มๆ ว่า 

 

 

“วิธีของจู๋อี้ไม่เลวเลย คุณหนูน่าหลาน ลงมือเถอะ ข้าจะให้จู๋อี้คอยดูอยู่ที่นี่ ตบจนให้มีสีแดงสดใสเหมือนเล็บข้านี้แล้วก็เลิกได้” 

 

 

ซูเฟยพูดจบก็หมุนกายจากไป จิ้งเฟยส่ายหน้าน้อยๆ สายตาที่มองดูเซียงฉือมีแววผิดหวัง 

 

 

เซียงฉือไม่เห็นสายตาจิ้งเฟย นางในขณะนี้ไม่ต้องการจะถูกใครรังแก ไม่ต้องการให้ตนเองอ่อนแอเช่นนั้น จึงเป็นประดุจดั่งเม่นที่มีขนแหลม ทิ่มแทงคนที่เข้าใกล้หมายทำร้ายนางให้บาดเจ็บไปทั่วร่าง 

 

 

แต่เซียงฉือในสายตาจิ้งเฟยไม่ควรเป็นเช่นนั้น ควรจะเป็นเด็กสาวที่ยิ้มอบอุ่นนุ่มนวล ปฏิบัติต่อหรงเย่ว์อย่างอ่อนโยนราวน้องสาว ควรจะเป็นหญิงสาวที่ดีงามบริสุทธิ์ 

 

 

แต่พอมาเห็นเซียงฉือในลักษณะนี้ ทำให้นางรู้สึกผิดหวัง 

 

 

จิ้งเฟยรั้งอยู่ด้านหลัง นางพูดว่า 

 

 

“เจ้าไม่ควรเป็นแบบนี้เลย ถึงแม้ฝ่ายในต่างหลอกลวงโกหกกัน ถึงการปกป้องตัวเองจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่บ่อยครั้งที่พวกเราควรต้องมีใจโอบอ้อมให้อภัย ผู้หญิงที่อยู่ที่นี่มีไม่กี่คนหรอกที่อยู่เพื่อตัวเอง ต่างล้วนเป็นคนน่าสงสาร พวกเราไยต้องเอาสิ่งทั้งหลายทั้งมวลที่คนอื่นใส่ไว้บนตัวเรา คืนไปยังคนน่าสงสารอีกพวกหนึ่งเล่า” 

 

 

จิ้งเฟยพูดจบก็ส่ายหน้าเดินจากไป เซียงฉือมองดูเบื้องหลังจิ้งเฟย ส่ายหน้าพูดว่า 

 

 

“จิ้งเฟย อวิ๋นเซียงฉือไม่เคยคิดร้ายใครมาก่อน แต่บางครั้งก็รู้สึกไม่เป็นธรรม บางทีก็คิดอยากทำอะไรบ้าง เพื่อให้ตนเองไม่ต้องทนอยุติธรรมเช่นนั้น” 

 

 

คำพูดเซียงฉือไม่มีใครได้ยิน เสียงพวกนั้นจึงเหมือนดั่งค่อยๆ หายไปในอากาศ กระจายซ่านไปในสายลม 

 

 

สี่กงกงเข้ามาใกล้พูดกับนางว่า 

 

 

“พี่เซียงฉือ จิ้งเฟยทรงมาจากตระกูลใหญ่ หลังจากเข้าวังก็ได้รับแต่สิ่งดีๆ มาตลอด ตลอดชีวิตของพระองค์ยังไม่เคยผ่านความทุกข์ยากเหมือนที่ท่านพี่ได้รับ ดังนั้นพระนางจึงเป็นจิ้งเฟยในวันนี้ ส่วนท่านพี่ก็เป็นใต้เท้าอวิ๋น ก็เท่านั้นเอง”