ตอนที่ 502 ซูเฟยร้องเรียน / ตอนที่ 503 ลุล่วงด้วยดี

บุปผาเคียงบัลลังก์

ตอนที่ 502 ซูเฟยร้องเรียน 

 

 

เซียงฉือฟังคำปลอบของสี่กงกงแล้วยิ้มน้อยๆ ไม่พูดอะไร ตั้งแต่จบคดีของสวีหมิ่นแล้ว นางก็ขอย้ายสี่กงกงให้มารับใช้เบื้องหน้าพระพักตร์โดยทำหน้าที่ดูแลห้องบรรทม ให้เขาอยู่ใต้อาณัติซูกงกงทำให้วางใจได้ 

 

 

สี่กงกงเป็นคนฉลาดคล่องแคล่ว พูดจาเข้าหูคน ซูกงกงก็พออกพอใจเขาอย่างยิ่งและมีความตั้งใจจะรับเขาไว้เป็นศิษย์ตลอดมาเซียงฉือคิดเพียงว่าสี่กงกงเป็นขันทีน้อยที่เฉลียวฉลาด แต่พอได้ฟังคำพูดที่เขาพูดออกมาเช่นนี้จึงเกิดความรู้สึกว่าสี่กงกงคนนี้ไม่ธรรมดาเลย 

 

 

มีจู๋อี้คอยเฝ้าดูน่าหลานจูกับหงซิ่วอยู่ ไม่ว่าการตบหน้าจะดำเนินไปอย่างไร ฮ่องเต้ได้ดูสาวงามเดินผ่านไปรอบหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่เห็นทั้งสองคนนั้นไปถวายบังคมต่อเบื้องหน้าหรงจิง 

 

 

แน่นอนว่าจินกุ้ยเฟยต้องบังเกิดความสงสัยจึงส่งคนไปสอบถาม 

 

 

แต่กลับเป็นซูเฟยที่ฟ้องร้องต่อหรงจิงด้วยสีหน้าได้รับความไม่เป็นธรรมยิ่ง น้ำตาไหลพราก ท่าที่นางใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดใบหน้าไว้ช่างชวนมองยิ่ง 

 

 

พอหรงจิงเห็นใบหน้างดงามนองไปด้วยน้ำตาเช่นนั้นจึงได้เอ่ยปากปลอบถาม 

 

 

“ซูเฟยเป็นอะไรไป ใช่ว่าข้าไม่เลือกใครสักคนเสียหน่อย ดูสิ นี่ไม่ใช่เลือกไว้แล้วสองคนหรอกหรือ เหตุใดเจ้าจึงร้องไห้เช่นนี้” 

 

 

หรงจิงไม่เข้าใจ เขายื่นมือไปกุมมือเนียนเล็กเรียวของซูเฟยแล้วสอบถามอย่างห่วงใย 

 

 

ซูเฟยตอบอย่างกระท่อนกระแท่น 

 

 

“หม่อมฉันได้ข่าวว่ามีสาวงามก่อวิวาทกันขึ้นที่ด้านนอก คิดว่านี่เป็นครั้งแรกที่หม่อมฉันจัดดำเนินการงานใหญ่เช่นนี้จึงไม่กล้าให้เกิดข้อบกพร่องอันใดเพคะ ดังนั้นจึงได้ออกไปตรวจสอบด้วยตัวเอง แต่คิดไม่ถึงว่าสาวงามคนนั้นจะกล้าพูดกล่าววาจาร้าย นางพูดว่า…” 

 

 

น้ำตาซูเฟยร่วงแหมะๆ ลงบนโต๊ะหนังสือดูน่าสงสารอย่างยิ่ง แต่จินกุ้ยเฟยรู้สึกอยากจะอาเจียน เห็นซูเฟยแล้วสะอิดสะเอียนนัก อยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายยังกล้าแสดงท่าทางเช่นนี้ จึงคิดจะพูดต่อว่าออกไปสักหน่อยก็ได้ยินหรงจิงพูดขึ้นก่อน 

 

 

“สาวงามพูดว่าอะไรหรือถึงทำให้เจ้าเสียใจได้ถึงขนาดนี้” 

 

 

เซียงฉือยืนชมการแสดงของซูเฟยอยู่ด้านข้าง เห็นได้จังหวะเหมาะจึงพูดออกมาว่า 

 

 

“หญิงงามคนนั้นพูดจาไร้มารยาทเพคะ นางว่าซูเฟยทรงมีชาติตระกูลเป็นชาวบ้านต่ำต้อย กล่าวหาพระนางว่าเป็นคางคกขึ้นวอเพคะ เรื่องนี้จิ้งเฟยทรงเป็นพยานได้ หม่อมฉันก็ได้ยินเพคะ” 

 

 

จินกุ้ยเฟยได้ยินดังนั้นก็เริ่มไม่สบายใจขึ้นมา เกิดความรู้สึกว่าต้องมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นเป็นแน่ มิเช่นนั้นเหตุใดน่าหลานจูป่านนี้จึงยังไม่เห็นแม้เงา 

 

 

หรงจิงได้ยินดังนั้นก็บันดาลโทสะขึ้นทันใด 

 

 

“สาวงามตระกูลไหนกล้าบังอาจไร้มารยาทขนาดนี้ ไปนำนางมา ข้าจะสอบสวนเอง” 

 

 

เซียงฉือจึงเดินออกไปด้านหน้าพูดว่า 

 

 

“หญิงสาวคนนี้ชื่อน่าหลานจู เป็นหลานของเจ้าเมืองอวิ๋นโจวเพคะ” 

 

 

เซียงฉือคารวะหรงจิงอีกครั้งแล้วเล่าเรื่องซูเฟยถูกหมิ่นเกียรติกระทั่งจัดการอย่างไรในท้ายที่สุดออกมาจนจบ หรงจิงพอได้ยินชื่อน่าหลานจูก็ตกใจเล็กน้อย 

 

 

“จิ้งเฟย ที่เซียงฉือเล่ามาเป็นเรื่องจริงหรือ” 

 

 

จิ้งเฟยลุกขึ้น ค้อมกายตอบว่า 

 

 

“หม่อมฉันขอยืนยันว่าคำพูดใต้เท้าอวิ๋นเป็นจริงทุกคำเพคะ อีกทั้งตอนนั้นมีสาวงามมุงดูกันอยู่มาก ข้าราชสำนักสตรีในวังก็มีอยู่ในที่นั้นหลายคน สามารถเป็นพยานได้เพคะ” 

 

 

หรงจิงฟังแล้วก็สะบัดมือให้จิ้งเฟยนั่งลง แล้วพูดปลอบใจซูเฟยอีกครั้ง 

 

 

“กุ้ยเฟย ข้าจำได้ว่าเจ้าเป็นญาติทางสายมารดากับบ้านสกุลน่าหลานของอวิ๋นโจว น่าหลานจูคนนั้นคงเป็นญาติผู้น้องของเจ้าสินะ” 

 

 

จินกุ้ยเฟยฟังแล้วนิ่งอึ้งไปแต่ก็ไม่อาจไม่กัดฟันเดินเข้าไปตอบ 

 

 

“ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันจากบ้านมาตั้งแต่เด็กและเข้าวังมาหลายปีแล้ว ถึงจะรู้ว่ามีญาติทางมารดาสายหนึ่งแซ่น่าหลานแต่ว่ายังไม่เคยได้พบน่าหลานจูคนนี้จึงไม่รู้ว่าจะใช่ญาติผู้น้องของหม่อมฉันหรือไม่เพคะ” 

 

 

จินกุ้ยเฟยเห็นมีพยานยืนยันให้กับซูเฟยมากมายก็รู้ว่าเรื่องน่าหลานจูพูดจาเหลวไหลออกมาในวังไม่ใช่เรื่องหลอกลวง เรื่องเช่นนี้นางคงไม่สามารถปิดบังได้ 

 

 

ทั้งตอนนี้จิ้งเฟยก็เป็นพยานอย่างไม่ลำเอียงซึ่งฝ่าบาทก็เชื่อใจ ดังนั้นนางจึงไม่กล้าคิดจะโต้แย้งได้แต่หวังว่าอย่าให้มีการดึงตนเองเข้าไปพัวพันด้วยเลย 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 503 ลุล่วงด้วยดี 

 

 

หรงจิงมองดูซูเฟยแล้วหรี่ตามองกุ้ยเฟย จากนั้นพูดประโยคสุดท้ายขึ้น 

 

 

“น่าหลานจูมีความประพฤติไม่เหมาะสมไม่อาจเป็นสนมได้ สั่งการลงไปให้กองราชเลขาส่งหมัวหมัวถือป้ายคำสั่งข้าไปคนหนึ่ง ให้ไปทำการสั่งสอนอบรมชี้แนะ ส่วนสาวงามหงซิ่วบังอาจล่วงเกินซูเฟย ให้ลงโทษโบยสามสิบทีแล้วดูความประพฤติต่อไป” 

 

 

ซูเฟยค่อยๆ เก็บเสียงร้องไห้ เปลี่ยนมาเป็นการพูดขอความกรุณายิ้มๆ 

 

 

“ก่อนหน้านี้พี่หญิงกุ้ยเฟยทรงถูกฝ่าบาทกักบริเวณจึงทำให้ไม่ค่อยได้รับรู้เรื่องราวภายนอก ฝ่าบาทอย่าทรงลงโทษพี่หญิงนะเพคะ” 

 

 

หรงจิงพยักหน้าพูดว่า 

 

 

“ซูเฟยใจกว้างเป็นที่สุด เอาเถอะ ข้าจะไม่สืบสาวเรื่องราวนี้อีก” 

 

 

ยามนี้จินกุ้ยเฟยคั่งแค้นกัดฟันกรอด ตั้งแต่อวิ๋นเซียงฉือมาเป็นข้าราชสำนักสตรีข้างกายฝ่าบาท จินรั่วอวิ๋นก็รู้สึกว่าตนเองได้รับความอัปยศทุกอย่างภายในวังนี้ 

 

 

เมื่อก่อนฝ่ายในเป็นที่ที่นางคนเดียวสามารถคิดหรือจะทำอะไรก็ได้ 

 

 

แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นอาณาเขตของอวิ๋นเซียงฉือไปแล้ว ทั้งยังจำเพาะเป็นนางที่ถูกฝ่าบาทติเตียน ถูกลงโทษเสมอ 

 

 

จินกุ้ยเฟยแค้นนักอยากฆ่าเซียงฉือให้ตายในขณะนั้นให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปจริงๆ 

 

 

ความชิงชังของนางต่ออวิ๋นเซียงฉือในตอนนี้เกินกว่าจะกล่าวออกมาได้ แต่ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการคัดเลือกสาวงามถึงจะมีเรื่องแทรกขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ทำให้คนทั้งหลายในตำหนักเชียนสี่ไม่ค่อยสบายใจกันนัก 

 

 

อย่างไรก็ตามงานก็ยังคงต้องให้สำเร็จลุล่วงอย่างสมบูรณ์ 

 

 

ที่เซียงฉือต้องทำคือเรียกสาวงามที่ซูเฟย จิ้งเฟยอีกทั้งกุ้ยเฟยคัดเลือกไว้คนละสามสิบคนให้เข้ามาในตำหนักเฉิงเอินเพื่อให้หรงจิงดู แล้วคัดเลือกคนที่ต้องตาที่สุดไว้คนหนึ่งจากของแต่ละคน 

 

 

ดังนั้นการคัดเลือกสาวงามในครั้งนี้จึงได้สาวงามเข้าวังมาทั้งหมดห้าคน 

 

 

นอกจากจินกุ้ยเฟยแล้ว คนอื่นๆ ต่างรื่นเริงยินดีปรีดาไปทั่ว 

 

 

จินกุ้ยเฟยเพราะอารมณ์ไม่ดีจึงออกจากตำหนักเชียนสี่ไปก่อน ตามด้วยจิ้งเฟย เหลือเพียงซูเฟยอยู่จัดการงานหลังเลิก 

 

 

เซียงฉือกลับตำหนักเจิ้งหยางไปพร้อมหรงจิง 

 

 

นางเดินถือโคมไฟนำหน้า ในฤดูใบไม้ร่วงช่วงเวลากลางวันจะสั้น ดังนั้นตอนนี้จึงเริ่มจุดโคมไฟกันแล้ว เซียงฉือเป็นห่วงว่าฟ้ามืดทางลื่น กลัวหรงจิงจะสะดุดล้มจึงตั้งใจไปเลือกโคมไฟใหญ่โคมหนึ่งมาจากคลังเก็บของ เมื่อจุดไฟแล้วก็ถือโคมเดินไปกับหรงจิง 

 

 

เซียงฉือยิ่งเดินก็ยิ่งรู้สึกว่าโคมไฟนี้ดูคุ้นตา จึงถอนใจเบาๆ 

 

 

หรงจิงได้ยินเสียงจึงก้มหน้าถามว่า 

 

 

“เป็นอะไรไปอีก” 

 

 

เซียงฉือรีบปิดปากส่ายหน้าไม่พูดอะไรอีก ตอนนี้หรงจิงกำลังวุ่นวายใจนางจึงไม่กล้ารบกวน แต่เซียงฉือจำได้แล้วว่าโคมไฟนี้ก็คือโคมไฟดอกท้อของนางนั่นเอง 

 

 

แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ เพราะโคมดอกท้อของนางโคมนั้นเก็บไว้ในห้องของตนเอง ควรแขวนเป็นเครื่องประดับอยู่บนขื่อจึงจะถูกต้อง 

 

 

เซียงฉือคิดไปแต่ก็เดินมุ่งหน้าไปทีละก้าวๆ 

 

 

เดินไปได้ครึ่งทางหรงจิงพลันมองเห็นโคมไฟ จึงได้พูดขึ้น 

 

 

“โคมไฟโคมนี้เจ้าเห็นแล้วคุ้นตาหรือไม่” 

 

 

เซียงฉือพิจารณาดูอีกแล้วจึงตอบว่า 

 

 

“หม่อมฉันไปนำโคมไฟใหญ่มาจากคลังเก็บ แต่กลับกลายเป็นนำเอาโคมดอกท้อของตัวเองมาเพคะ” 

 

 

หรงจิงยิ้มไม่พูด เพียงหยิบโคมไฟมาจากมือเซียงฉือ เมื่อยกโคมไฟขึ้นจนถึงระดับสายตาแล้ว จึงยิ้มน้อยๆ พูดขึ้น 

 

 

“เมื่ออยู่ในมือข้าย่อมต้องเป็นโคมไฟของข้า เช่นเดียวกัน โคมไฟดอกท้อในคลังเก็บของก็ต้องเป็นของข้า ของเจ้ามิใช่แขวนอยู่ในห้องตัวเองหรอกหรือ” 

 

 

เซียงฉือนิ่งอึ้งไป ไม่สามารถเข้าใจคำพูดของหรงจิงในทันที แต่ขณะนั้นหรงจิงกลับมีท่าทีสมใจ โยนโคมไฟดอกท้อคืนไปให้เซียงฉืออย่างสง่างาม แล้วหัวเราะเสียงดังจากไป 

 

 

เซียงฉือรีบเร่งเดินตามขึ้นไปถาม 

 

 

“เมื่อครู่ที่ฝ่าบาททรงตรัส หมายความอย่างไรเพคะ” 

 

 

หรงจิงไม่ตอบ เขามองดูนางแล้วเคาะหน้าผากนางเบาๆ  

 

 

“สมแล้วที่เป็นเจ้าเด็กต๊องจริงๆ”