ตอนที่ 432 ต้องสำรวมแล้ว / ตอนที่ 433 ลนลานนิดหน่อย

(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์

ตอนที่ 432 ต้องสำรวมแล้ว 

 

 

           ความคิดที่ว่าตัวเองเข้าไปก่อนนี้เพิ่งจะออกมา ก็ถูกเจียงมู่เฉินเก็บเข้ากรุลงไปทันที 

 

 

           เขาไม่อยากเข้าไปเองเลย 

 

 

           ‘ถ้าตัวเองเป็นฝ่ายเข้าไปเอง จะไม่เป็นการแสดงออกถึงความกระวนกระวายของเขาที่ชัดเจนมากเหรอ’ 

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดได้อย่างนี้ ก็รู้สึกว่าตัวเองควรจะสำรวมสักหน่อย ไม่อย่างนั้นจะเป็นการแสดงออกว่าคุณชายเจียงต้องการโหยหาซือเหยี่ยนมากเกินไป 

 

 

           ‘แต่ถ้าไม่ไปหาซือเหยี่ยน เช่นนั้นก็เลือกได้เพียงแค่ไปบ้านของซือเหยี่ยนแล้ว…’ 

 

 

           ทางเลือกเช่นนี้ เจียงมู่เฉินรู้สึกได้เพียงแค่หัวที่ชักจะเริ่มชาๆ แล้ว 

 

 

           เขาคนเดียวพรวดพราดเข้าไปเอง จะโดนพ่อแม่ของซือเหยี่ยนเอาไม้กวาดไล่กวดตัวเองออกไปหรือเปล่า 

 

 

           พอคิดถึงภาพที่สวยงามนั้น สีหน้าเจียงมู่เฉินก็ถอดสีในพริบตา 

 

 

           ภาพนั้นสวยงามเกินไป จนไม่กล้าจะมองจริงๆ 

 

 

           เจียงมู่เฉินไปไม่เป็นแล้ว ไม่รู้ว่าจะเลือกอย่างไรดี อย่างหนึ่งก็ชัดเจนว่าตัวเองเก็บอาการสำรวมไม่ค่อยได้ อีกอย่างหนึ่งก็เป็นไปได้ที่อาจจะถูกไล่ตะเพิดออกมา 

 

 

           ไม่กล้าที่จะเลือกแล้วจริงๆ รู้สึกว่าทั้งสองอย่างนี้ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสักทาง 

 

 

           เจียงมู่เฉินนั่งอยู่บนเคาน์เตอร์ ถอนหายใจอย่างบอกไม่ถูก 

 

 

           ซือเหยี่ยนผลักประตูเปิดมาก็เห็นเจียงมู่เฉินนั่งหันหลังให้เขา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ส่ายหัวไปมาไม่หยุด 

 

 

           เขาปิดประตูลงกลอนอย่างเบามือ 

 

 

           เข้าใกล้เจียงมู่เฉินด้วยความระมัดระวัง ก็เห็นเพียงแค่เขาทำหน้าบึงตึง มีความสับสนในอารมณ์ 

 

 

           ซือเหยี่ยนยืนอยู่ข้างหลังของเขา เห็นเขาแต่งตัวชุดลำลอง ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา ก็อดไม่ได้ที่จะมองดูอีกหลายครั้งหลายครา 

 

 

           คุณชายน้อยเจียงผู้เย่อหยิ่งจู่ๆ ก็ลุกมาเปลี่ยนตัวเองกลายเป็นนักเรียนนักศึกษาแบบนี้ จะว่าไปก็น่าทึ่งอยู่ไม่เบาจริงๆ 

 

 

           แต่ว่าชุดนี้ที่สวมใส่อยู่บนตัวเจียงมู่เฉิน ทำให้คนทั้งคนดูน่าเอ็นดูต่างจากเดิมอย่างเห็นชัด 

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขาในมาดแบบนั้น ก็อดจะอยากเอื้อมมือไปลูบเรือนผมนุ่มของเจียงมู่เฉินไม่ได้ 

 

 

           เขาคิดแบบนี้ แล้วก็ทำแบบนี้จริงๆ 

 

 

           ซือเหยี่ยนยื่นมือไปวางบนเรือนผมของเจียงมู่เฉิน กำลังอยากจะยื่นมือไปขยี้สักหน่อย เจียงมู่เฉินก็สะดุ้งตัวขึ้นมา 

 

 

           ‘จู่ๆ มาโดนคนจับหัวไว้เป็นความรู้สึกแบบไหนกัน’ 

 

 

           อีกนิดซือเหยี่ยนเกือบทำให้เจียงมู่เฉินตกใจจนฉี่จะราดแล้ว 

 

 

           คนทั้งคนเด้งตัวขึ้นมาจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว กระโดดถอยไปไกลมองซือเหยี่ยนด้วยความตกตะลึงอย่างแทบไม่เชื่อสายตา “นาย นายอยู่ที่นี่ได้ยังไง” 

 

 

           ‘แม่งทำให้เขาตกใจจะตายแล้วจริงๆ’ 

 

 

           ถ้าไม่ใช่เพราะเขาจิตแข็งมากพอ ตัวเองคงจะตกใจจนร้องออกมาแล้ว มีหรือจะยังอยู่ในมาดจริงจังอย่างนี้ได้ 

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขาทำท่าทางหวาดกลัว ก็อดจะเอามือขึ้นมาลูบจมูกตัวเองไม่ได้ “ผมดูน่าสะพรึงกลัวมากเลยเหรอ” 

 

 

           ‘ประธานซือผู้ดูภูมิฐานอย่างเขา ใครเห็นใครก็รัก แต่ทำไมถึงดูเหมือนเห็นผีไปได้ล่ะ’ 

 

 

           เจียงมู่เฉินหลับตาลง เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ลองมาเป็นนายดูบ้างสิ จู่ๆ มีคนมาลูบหัวนายจากข้างหลัง นายจะยังสงบจิตสงบใจได้อยู่อีกเหรอ” 

 

 

           ไม่ต้องพูดถึงแค่ตกใจตาย ซือเหยี่ยนทำเอาเขาเกือบเสียขวัญแล้ว 

 

 

           ซือเหยี่ยนยกยิ้มมุมปากอย่างขำๆ รู้สึกว่าท่าทางแบบนี้ของเจียงมู่เฉินบวกกับชุดนี้แล้วยิ่งดูดีกว่าเดิม 

 

 

           เขาอดจะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยมองเจียงมู่เฉินไม่ได้ “ทำไมแต่งตัวแบบนี้ล่ะ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นเขาถาม เวลานี้ถึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา เขาชี้เข้ามาที่ตัวเอง “เป็นยังไงบ้าง ดูๆ ไปแล้วน่าเอ็นดูเป็นพิเศษเลยใช่ไหม แบบเห็นแล้วชอบเลยแบบนั้น” 

 

 

           ซือเหยี่ยนเอามือกดคางต่ำลง พินิจมองอย่างละเอียด 

 

 

           สุดท้ายก็เอ่ยเน้นคำต่อคำออกมา “น่าเอ็นดูมาก” 

 

 

           รอยยิ้มปรากฏขึ้นในแววตาเจียงมู่เฉิน เขาเชิดมุมปากขึ้น กำลังจะเตรียมเอ่ยถามซือเหยี่ยนว่า ‘แบบนี้พ่อแม่ซือเหยี่ยนจะไล่ฆ่าเขาได้ลงคออีกไหม’ 

 

 

           ผลสุดท้ายเขายังไม่ทันได้ถามออกมา ก็ถูกประโยคต่อจากนั้นของซือเหยี่ยนทำลายทิ้งไป 

 

 

           ซือเหยี่ยนพูดจบว่า ‘น่าเอ็นดูมาก’ แล้ว หลังจากนั้นก็เสริมอีกหนึ่งประโยคว่า “อยากจับกด” 

 

 

           เจียงมู่เฉินมุมปากกระตุกแล้วกระตุกอีก เขาดูจับกดง่ายขนาดนี้เชียวเหรอ เขาแต่งตัวเป็นนักเรียนแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะยั่วให้ซือเหยี่ยนเกิดอารมณ์ได้ด้วย 

 

 

            

 

 

ตอนที่ 433 ลนลานนิดหน่อย 

 

 

           ‘ไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่มีจุดคึกไม่เหมือนคนอื่นใช่ไหม เอะอะก็ตื่นตัวง่ายเหลือเกิน’ 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองบนใส่เขา “นายแม่งถ้ากล้าลงมือนะ คุณชายจะกำจัดนายทิ้งซะ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนอยากจะจับกดเจียงมู่เฉินก็จริงอยู่ แต่…ต่อให้เขากำลังคึกอยู่ ก็ยังมีขอบเขตอยู่โอเคไหม 

 

 

           พ่อแม่เขารอเขาพาเจียงมู่เฉินกลับบ้านไปกินข้าว ถ้าเวลานี้เขาจับกดจับเจียงมู่เฉินกินแล้ว 

 

 

           ต่อจากนั้นไม่ใช่เพียงแค่พ่อแม่เขาจะไล่ฆ่าเขา เจียงมู่เฉินเองก็ต้องกำจัดเขาทิ้งแน่นอน 

 

 

           คิดได้เช่นนี้ ซือเหยี่ยนลูบปลายจมูกปอยๆ ตัดสินใจกดเก็บความคึกในใจลงไป 

 

 

           เขามองเจียงมู่เฉินด้วยสีหน้าไม่หวั่นเกรง “ผมเหมือนพวกเอะอะก็จับกดคุณได้ทุกที่แบบนั้นเหรอ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินชักจะอยากพยักหน้าให้บ้างแล้ว ซือเหยี่ยนไม่ใช่เหมือน แต่ชัดเจนว่าเป็นเลยต่างหาก 

 

 

           ‘เป็นสัตว์มาเองเลยโอเคไหม’ 

 

 

           “อย่าพูดเรื่องนี้เลยว่าเป็นหรือไม่เป็น มาคุยกับฉันก่อนว่าฉันแต่งตัวแบบนี้ พ่อแม่นายจะยังลงมือกับฉันได้ลงคออีกหรือเปล่า” 

 

 

           ซือเหยี่ยนครุ่นคิดอย่างจริงจังสักพักหนึ่ง เฉินเฉินของเขาแต่งชุดอะไรไป พ่อแม่เขาก็ไม่ลงมืออยู่แล้ว แทบอยากจะประคองเฉินเฉินไว้ในมือด้วยซ้ำ 

 

 

           แต่ว่าพอเห็นเจียงมู่เฉินตื่นตระหนก ซือเหยี่ยนก็ไม่อยากจะบอกเจียงมู่เฉินอย่างไรชอบกล 

 

 

           รู้สึกว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเจียงมู่เฉินตื่นตระหนกขนาดนี้ ช่างดูน่ารักอย่างเหลือเชื่อ 

 

 

           ซือเหยี่ยนกดเก็บรอยยิ้มที่มุมปากลงไป มองเจียงมู่เฉินด้วยมาดจริงจังพร้อมเอ่ยขึ้น “พ่อแม่ผมปกติก็ดุนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไร ผมช่วยคุณได้” 

 

 

           เดิมทีเจียงมู่เฉินมีอารมณ์กังวลอยู่ ตอนนี้มาได้ยินคำปลอบใจของซือเหยี่ยนยิ่งทำให้รู้สึกหวาดกลัวกันไปใหญ่ 

 

 

           รู้สึกว่ายังไม่ทันเข้าประตูบานใหญ่ของบ้านซือเหยี่ยน ก็จะถูกพวกท่านหยิบไม้กวาดไล่ตะเพิดออกไปแล้ว 

 

 

           เจียงมู่เฉินขมับกระตุกแล้วกระตุกอีก ช่างเถอะๆ ถึงอย่างไรซือเหยี่ยนไปบ้านเขาก็ได้รับของสมนาคุณไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก 

 

 

           ‘ถือว่าชดใช้ให้ซือเหยี่ยนก็แล้วกัน’ 

 

 

           เจียงมู่เฉินอยากเงยหน้ามองฟ้ามาก แล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความรันทด แต่คุณชายน้อยเจียงอย่างเขาเป็นคนอยากร้องไห้ก็ร้องไห้ออกมาเหรอ 

 

 

           ‘ต่อให้ฟันหลุดเลือดออก ก็ต้องกลืนลงท้อง’ 

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขาทำหน้าบึ้งตึง ไม่รู้ว่าสมองจินตนาการไปถึงไหนแล้ว ก็ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ เขาชี้ที่นาฬิกาข้อมือที่เจียงมู่เฉินให้เขาไว้ 

 

 

           “ใกล้จะสิบเอ็ดโมงแล้ว” 

 

 

           พอเจียงมู่เฉินได้ยินก็คืนสติกลับมาทันที เขาเงยหน้ามองซือเหยี่ยน เอ่ยเสียงดังฟังชัด “ไปเถอะ ไปเจอพ่อแม่นายกัน” 

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้าเตรียมออกเดินทาง เจียงมู่เฉินนึกถึงของขวัญที่เมื่อวานเขาเตรียมไว้ให้พ่อแม่ซือเหยี่ยนขึ้นมาได้กะทันหัน รีบให้ซือเหยี่ยนรอสักพัก ตัวเองก็ย่องเข้าห้องนอนไป 

 

 

           หยิบกล่องเล็กๆ ที่ประณีตสวยงามทั้งสองใบออกมา กำไว้ในมือแน่น 

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขาก็ยกมุมปากขึ้น “นี่คืออะไรเหรอ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “ความลับ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนลูบจมูกปอยๆ อดกลั้นความตื่นเต้นที่อยากจะถามต่อ 

 

 

           ตลอดทางเจียงมู่เฉินถือกล่องเล็กๆ สองกล่องนั้นไว้ในมือบีบไปบีบมา ถ้าไม่ใช่ว่ากล่องนี้คุณภาพดี เจียงมู่เฉินคงจะบีบจนพังแล้ว 

 

 

           ซือเหยี่ยนขับรถไป ก็เหลือบมองเจียงมู่เฉินที่ตื่นตระหนกจนผิดปกติอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา 

 

 

           เดิมทีอยากจะแกล้งเขาให้ถึงที่สุด แต่พอเห็นสีหน้าบึ้งตึงเคร่งเครียดของเจียงมู่เฉิน เพียงชั่วครู่เดียวก็ทำใจแกล้งเขาไม่ลงแล้ว 

 

 

           ประธานซือคิดดูแล้ว ตัดสินใจจะปลอบโยนเฉินเฉินของเขาสักหน่อย 

 

 

           “พ่อแม่ผมที่จริงก็ไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น” คิดอยู่ตั้งนาน ประธานซือเหยี่ยนถึงคิดคำว่า ‘โหดร้าย’ บรรยายออกมาได้ 

 

 

           มุมปากเจียงมู่เฉินกระตุกแล้วกระตุกอีก เขาขานรับอย่างใจลอย “อืม” 

 

 

           คำว่า ‘โหดร้าย’ ของซือเหยี่ยนอาจจะเป็นการถือมีดมาไล่ฆ่าเขาแบบนั้น เขารู้อยู่แล้วว่าพ่อแม่ซือเหยี่ยนไม่มีทางจะไล่ฆ่าเขา 

 

 

           ‘แต่นอกจากไล่ฆ่าล่ะ จะเกิดอะไรขึ้นได้…’ 

 

 

           กังวลใจมาอยู่ตลอดทาง เจียงมู่เฉินจินตนาการสารพัดวิธีตาย ในที่สุดรถก็มาจอดนิ่งสนิทยังหน้าคฤหาสน์ของครอบครัวซือเหยี่ยน 

 

 

           เจียงมู่เฉินนั่งอยู่ในรถ กำมือแน่นอย่างอดกลั้นไม่ได้ ลนลานนิดหน่อยแล้วทำยังไงดี