บทที่ 811 : คนกันเอง!
  เหลยเชิ่งเข้าใจเหตุการณ์ทุกอย่างดีแล้วส่วนเจียเฟยหลังจากที่รายงานสถานการณ์ให้ผู้บังคับบัญชาทราบแล้ว ก็เดินลงจากรถมาสมทบกับเหลยเชิ่งต่อ
  เจียเฟยร้องถาม“ได้ความอย่างไรบ้างพี่เล่ย”
  เหลยเชิ่งเดินเข้าไปยืนข้างเจียเฟยพร้อมกับยกแขนขึ้นชี้ไปทางรถแลนด์โรเวอร์ของหลิงหยุนแล้วกระซิบว่า
  “เจ้ามองไปที่รถคันนั้นสิแล้วเจ้าจะเข้าใจทุกอย่าง!”
  เจียเฟยมองตามนิ้วของเหลยเชิ่งไปแล้วก็ถึงกับนิ่งไปทันที!
  “นั่น..นั่นมันรถของหลิงหยุนนี่! เขามาปักกิ่งตั้งแต่เมื่อไหร่?! นี่หมายความว่า..”
  เหลยเชิ่งพยักหน้าพร้อมกับพูดออกมาอย่างหมดหวัง“ถูกต้อง! เป็นเขา.. หลิงหยุน!”
  เจียเฟยถึงกับอึ้งไปครู่ใหญ่ก่อนจะพึมพำออกมาว่า“แล้วเราควรทำอย่างไรดี ขืนปล่อยไว้แบบนี้ หลิงหยุนคงสร้างปัญหาให้กับพวกเราอย่างแน่นอน!”
  เหลยเชิ่งเงยหน้าขึ้นมองสำรวจภายในสวนอีกครั้งแล้วคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันแน่นพร้อมกับตอบไปว่า
  “คงทำอะไรไม่ได้!เวลานี้การสอบเอนทรานซ์ก็เสร็จสิ้นไปแล้ว และการที่หลิงหยุนมาที่นี่ ไม่ช้าก็เร็วปักกิ่งคงต้องปั่นป่วนวุ่นวายไปหมดแน่..”
  เจียเฟยนั้นเข้าใจความหมายที่เหลยเชิ่งต้องการจะสื่อได้เป็นอย่างดีจึงพูดออกมาอย่างท้อแท้
  “พี่เล่ย..เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรดี”
  เหลยเชิ่งมองไปทางด้านในร้านพร้อมกับหรี่ตาแล้วพูดขึ้นว่า “ข้าจะทำอะไรได้เล่า พวกเราถูกสั่งห้ามไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของหลิงหยุน ข้าก็คงทำได้แค่มาดูเหตุการณ์เท่านั้น!”
  “นี่ยังนับว่าโชคดีที่ไม่มีคนเสียชีวิต..ไม่เช่นนั้นข้ากับเจ้าคงจะยิ่งปวดหัวกันมากกว่านี้!”
  เหลยเชิ่งได้แต่คิดในใจว่า..หากไม่ใช่เพราะเป็นเวลากลางวัน หลิงหยุนคงไม่ปราณีศัตรูเช่นนี้ และยอดฝีมือตระกูลเฉินทั้งหมดก็คงยากที่จะรักษาชีวิตตนเองไว้ได้..
  เจียเฟยมองเหลยเชิ่งด้วยความรู้สึกสงสารพร้อมกับถามขึ้นว่า“พี่เล่ย.. แล้วคนพวกนี้ล่ะ จะให้ข้าจัดการอย่างไร”
  เหลยเชิ่งตอบกลับด้วยน้ำเสียงขมขื่นเล็กน้อย“จะทำอะไรได้เล่า.. นอกจากจัดการพาตัวผู้ที่ได้รับบาดเจ็บออกไปโดยเร็วที่สุด แล้วก็จัดการเปิดถนนหนทางให้สามารถสัญจรไปมาได้ตามปกติด้วยล่ะ ส่วนข้าจะเข้าไปด้านใน!”
  “อ่อ..แล้วก็จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยโดยเร็วที่สุดด้วย ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจพวกนี้ก็ให้รีบๆกลับไป หากให้รู้เห็นอะไรมากไปกว่านี้ ผลลัพธ์ที่ตามมาก็จะยิ่งเป็นปัญหา..”
  เจียเฟยเข้าใจความต้องการของเหลยเชิ่งได้เป็นอย่างดีเขาพยักหน้าพร้อมกับถามต่อว่า
  “แล้วเฉินเซินล่ะ..จะให้ข้าจัดการเช่นใด จะให้นำตัวกลับไปด้วยหรือไม่?”
  เหลยเชิ่งยิ้มพร้อมตอบกลับว่า“นำตัวเฉินเซินกลับไปนี่นะ! เจ้าไม่เห็นยอดฝีมือทั้งสิบแปดคนที่ตระกูลเฉินส่งมางั้นรึ? ขนาดยอดฝีมือทั้งหมดยังไม่สามารถนำตัวเฉินเซินกลับไปได้ แล้วเจ้าคิดว่าลำพังข้ากับเจ้าสองคนจะทำได้อย่างนั้นรึ?!”
  “ก่อนอื่น..เจ้าให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกับหน่วยที่มากับรถพยาบาลมานำผู้บาดเจ็บออกไปจากสวนนี่ก่อน ส่วนสองคนนั้นไม่ต้องไปสนใจ ข้าจะเข้าไปถามเหตุผลกับหลิงหยุนด้านในเอง”
  ภายในห้องอาหาร..
  หลิงหยุนได้เปิดจิตหยั่งรู้จับตาดูเหตุการณ์ด้านนอกอยู่ตลอดและได้แต่นึกชบขันอยู่ในใจ
  ‘เหล่าเล่ย..เจ้านี่มันเหมาะที่จะเป็นหัวหน้าแผนกเก็บกวาดเสียจริงๆ ข้าควรต้องคาราวะเจ้าสักสองจอกสินะ!’
  หลังจากที่สั่งการและอธิบายทุกอย่างให้เจียเฟยฟังแล้ว เหลยเชิ่งก็เดินผ่านสวนด้านในเข้าไปยังห้องรับประทานอาหาร
  “เจ้าเป็นใครชื่อแซ่อะไร?”
  “มู่เทียนโฉ่ว..ผมเป็นรองสารวัตรของสถานีตำรวจในพื้นที่นี้..”
  “เอาล่ะ..เจ้าจัดการพาเจ้าหน้าที่ตำรวจที่นำมาทั้งหมดกลับออกไปจากที่นี่ได้แล้ว รวมทั้งตำรวจสองคนที่นอนอยู่ในสวนด้านในด้วย!”
  “แล้วก็จำไว้ว่า..ห้ามขยับเขยื้อนร่างของสองคนนั้นเด็ดขาด!”
  เจียเฟยเริ่มจัดการสะสางทุกอย่างตามคำสั่งของเหลยเชิ่งทันที..
  เหลยเชิ่งเดินเข้าไปยังสวนด้านในและระหว่างที่เดินเข้าไปนั้น เขาก็เหลือบมองเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายที่นอนกองอยู่กับพื้นพร้อมกับถอนหายใจ ก่อนจะกวาดสายตาไปทางเฉินเซินกับไห่ซาน แต่ก็ทำได้เพียงแค่มองแล้วเดินเข้าไปภายในห้องรับประทานอาหารเท่านั้น
  “คนสวย..แขกของผมมาถึงแล้ว รบกวนคุณช่วยเปิดประตูให้เขาเข้ามาหน่อยครับ!”
  หลิงหยุนคีบอาหารใส่ปากพร้อมกับร้องบอกพนักงานเสริฟสาวให้เปิดประตูเมื่อเห็นเหลยเชิ่งกำลังเดินตรงเข้ามาที่ห้องอาหาร
  พนักงานเสริฟสาวยิ้มให้หลิงหยุนพร้อมกับเดินไปเปิดประตูตามคำสั่งทันทีเมื่อประตูเปิดออกก็พบเหลยเชิ่งยืนอยู่ตรงหน้าพอดี แม้จะนึกแปลกใจแต่ก็รีบส่งยิ้มหวานให้เหลยเชิ่ง และเอ่ยเชื้อเชิญให้เข้าไปด้านในทันที
  “ขอเชิญนายท่านค่ะ..”
  ในเมื่อหลิงหยุนบอกว่าเป็นแขกของเขาพนักงานเสริฟสาวจึงไม่กล้าที่จะเสียมารยาทกับเหลยเชิ่ง..
  “อะแฮ่ม..อะแฮ่ม..”
  เหลยเชิ่งจงใจกระแอมอยู่หน้าประตูถึงสองครั้งก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน และพบว่าหลิงหยุนกำลังนั่งยิ้มอย่างอารมณ์ดี
  ในขณะเดียวกันนั้นหลิงหยุนเองก็จัดการถอดแว่นกันแดดออกพร้อมกับส่งยิ้มให้เหลยเชิ่งอย่างใจเย็นราวกับจะบอกว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นฝีมือของเขาเอง แล้วก็ไม่มีใครทำอะไรเขาได้..
  บทสนทนาระหว่างเหลยเชิ่งกับเจียเฟยนั้นแม้ว่าทั้งคู่จะกระซิบกระซาบด้วยเสียงที่เบา แต่ในเมื่อทั้งคู่ไม่ได้สื่อสารกันด้วยกระแสจิต หลิงหยุนจึงสามารถได้ยินทุกคำพูดโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว
  หลิงหยุนไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดหน่วยเทพอินทรีย์จึงไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของเขาได้แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรสำหรับหลิงหยุน..
  แม้เหลยเชิ่งจะรู้อยู่แล้วว่าเมื่อก้าวเท้าเข้ามาในห้องนี้จะต้องเจอผู้ใดเขาก็ถึงกับชะงักไปเล็กน้อยเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหลิงหยุนจริงๆ
  และนี่ก็เป็นเพียงครั้งที่สองเท่านั้นที่เหลยเชิ่งมีโอกาสได้พบกับหลิงหยุน!
  ครั้งแรกที่ได้พบกันนั้นเหลยเชิ่งก็ไม่สามารถมองเห็นขั้นกำลังภายในของหลิงหยุน แต่เพราะเขาเห็นหลิงหยุนสังหารซันเทียนเปียวกับตาตัวเอง จึงคาดเดาว่าหลิงหยุนคงจะอยู่ในขั้นเซียงเทียนเช่นกัน..
  และเมื่อได้พบกับหลิงหยุนในครั้งนี้เหลยเชิ่งก็ยังไม่สามารถมองเห็นขั้นกำลังภายในของหลิงหยุนอยู่ดี แต่จากสภาพที่เข้าเห็นอยู่ด้านนอกร้านนั้น ทำให้เขารู้ว่ากำลังภายในของหลิงหยุนได้พัฒนาไปถึงขั้นที่หาคนเทียบได้ยากแล้ว
  แม้ภายนอกหลิงหยุนจะดูคล้ายกับคนธรรมดาทั่วไปแต่ดวงตาที่ลุ่มลึกหนักแน่นดั่งหินผาคู่นั้น ก็ให้ความรู้สึกที่ลึกลับต่างจากผู้คนทั่วไป
  และด้วยกำลังภายในระดับสูงสุดขั้นปรับร่างกาย-9ซึ่งกำลังจะเข้าเขาสู่ขั้นพลังชี่นั้น เป็นเหตุผลว่าเพราะเหตุใดเพียงแค่หลิงหยุนยืนนิ่งๆ ยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนจึงสามารถมองออกว่าหลิงหยุนไม่ใช่คนธรรมดา
  วินนาทีที่หลิงหยุนถอดแว่นกันแดดออกนั้นสายตาของทั้งคู่ก็ประสานกันอยู่ราวเจ็ดถึงแปดวินาที ก่อนที่เหลยเชิ่งจะเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อนว่า
  “เป็นฝีมือของเจ้าจริงๆ!”
  หลิงหยุนจึงตอบกลับยิ้มๆ“ใช่แล้ว.. ข้าเอง!”
  คนอื่นๆอีกห้าคนที่อยู่ในโต๊ะอาหารนั้นต่างก็เป็นเพียงคนธรรมดา จึงไม่รู้ว่าหลังจากที่ทุกคนเดินข้ามาในห้องแล้ว ด้านนอกนั้นจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง เมื่อได้ฟังหลิงหยุนพูดขึ้นว่าแขกของเขากำลังมา ทุกคนก็ได้แต่นึกประหลาดใจเมื่อเห็นคนแปลกหน้าโผล่เข้ามาจริงๆ
  ดวงตาของเกาเฉินเฉินที่ซ่อนอยู่ภายใต้แว่นกันแดดนั้นจับจ้องอยู่ที่ตรารูปนกอินทรีย์กางปีกที่ติดอยู่บนอกเสื้อด้านซ้ายของเหลยเชิ่ง
  ‘นี่มันคนของหน่วยเทพอินทรีย์นี่..หลิงหยุนไปรู้จักกับคนพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน’
  หลิงหยุนวางตะเกียบในมือลงและรีบลุกขึ้นเดินออกาจากเก้าอี้ไปยืนอยู่ข้างเหลยเชิ่ง เมื่อไปถึงเขาก็ยกมือขึ้นจับไหล่เหลยเชิ่งไว้ด้วยท่าทีสนิทสนมเป็นกันเอง..
  “เอาล่ะทุกคน..ผมขอแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของผม พวกคุณจะเรียกเขาว่า.. เหล่าเล่ย พี่เล่ย หรือลุงเล่ยก็ได้ไม่เป็นไร และที่สำคัญเขาเป็นคนดีมาก..”
  หลิงหยุนรีบแนะนำเหลยเชิ่งพร้อมกับขยิบตาให้ถังเมิ่งและแน่นอนว่าถังเมิ่งนั้นเข้าใจความหมายของหลิงหยุนได้ทันที เขารีบลุกขึ้นยืนโค้งคำนับเหลยเชิ่งด้วยความเคารพนบนอบพร้อมกับเอ่ยทักทาย..
  “ยินดีที่ได้รู้จักครับลุงเล่ย..”
  ในเมื่อเหลยเชิ่งมาถึงที่นี่แล้วอีกทั้งเขาก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร หลิงหยุนจึงต้องการที่จะผูกมิตรกับเหลยเชิ่งไว้..
  หลิงหยุนและเหลยเชิ่งต่างก็ผลัดกันตบบ่าของอีกฝ่ายไปมาดูราวกับเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ที่ไม่ได้พบหน้าค่าตากันมานานหลายปี แต่หลิงหยุนก็แอบส่งกระแสจิตบอกถังเมิ่งให้รีบลุกขึ้นทำความเคารพเหลยเชิ่ง และให้พูดจายกย่องสรรเสริญให้เกียรติเหลยเชิ่ง
  เวลานี้เหลยเชิ่งเป็นเสมือนมือขวาของหลิงหยุนการที่ถังเมิ่งลุกขึ้นคาราวะเหลยเชิ่งนั้น นับว่าเป็นการให้เกียรติกับเหลยเชิ่งอย่างมาก..
  “ถังเมิ่ง..ข้าเองก็เคยได้ยินชื่อเจ้ามาก่อน พ่อของเจ้าเป็นถึงผู้อำนวยการสำนักงานรักษาความมั่นคง ข้าเองก็รู้จัก!”
  จากการตามสืบเรื่องของหลิงหยุนมานาน..หากหน่วยเทพอินทรีย์ไม่รู้ว่าถังเมิ่งนั้นคือพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายของหลิงหยุนแล้วล่ะก็ หน่วยเทพอินทรีย์ก็คงเป็นได้แค่นกฮูกเท่านั้น..
  เหลยเชิ่งกับถังเทียนห่าวนั้นเคยทำงานร่วมกันด้วยการตามเก็บล้างซากศพของยอดฝีมือตระกูลซันจำนวนมากที่ถูกหลิงหยุนสังหาร
  “ที่แท้ลุงเล่ยก็เป็นเพื่อนของพ่อผมเองช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ!”
  “คนสวย..”
  ถังเมิ่งนั้นเป็นคนหัวไวเขารีบยกมือเรียกพนักงานเสริฟสาวให้จัดเก้าอี้ และถ้วยชามให้เหลยเชิ่งอีกหนึ่งชุด
  “ในเมื่อเป็นคนกันเองทั้งนั้นเชิญลุงเล่ยนั่งทานอาหารด้วยกันก่อน”
  หลิงหยุนกับถังเมิ่งทำงานประสานกันได้เป็นอย่างดีและภายในเวลาแค่พริบตาเดียวเหลยเชิ่งก็ได้กลายเป็นคนกันเองไปเสียแล้ว..
  พนักงานเสริฟสาวรีบยกเก้าอี้อีกตัวมาวางไว้ข้างถังเมิ่ง..
  “ลุงเล่ยครับ..เชิญนั่ง! มีเรื่องอะไรก็นั่งลงค่อยๆดื่มไปคุยไปจะดีกว่า..”
  “มิน่าวันนี้พี่หยุนถึงได้ยืนยันที่จะกินอาหารที่ร้านนี้ให้ได้ที่แท้ก็รู้ว่าลุงเล่ยจะมานี่เอง!”
  ถังเมิ่งนั้นแม้จะไม่มีวรยุทธแต่ก็เป็นผู้ที่มีวาทะศิลป์ล้ำเลิศมาก!
  “เอ่อ..คือ..”
  เหลยเชิ่งถึงกับพูดไม่ออกแต่ก็ไม่สามารถต้านทานการคะยั้นคะยอของถังเมิ่ง และหลิงหยุนได้ ทั้งคู่ต่างก็ช่วยกันดันร่างของเหลยเชิ่งเข้าไปนั่งร่วมโต๊ะจนได้
  “เรื่องราวจะใหญ่โตมากเพียงใดก็ต้องกินต้องดื่มให้พอใจเสียก่อน! อาหารรสเลิศเช่นนี้ หากไม่กินคงเสียของแย่..”
  หลิงหยุนพูดพร้อมกับกดไหล่เหลยเชิ่งให้นั่งลงบนเก้าอี้แล้วตัวเขาก็รีบกลับไปนั่งประจำที่เช่นกัน
  สาวเสริฟหน้าตางดงามทั้งสี่คนได้แต่ยืนนิ่งไม่พูดอะไรแต่สายตากลับจับจ้องอยู่ที่ร่างของเหลยเชิ่ง
  เหลยเชิ่งผู้พบพานเหตุการณ์ใหญ่โตมามากมายแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกกระอักกระอ่วนจนทำอะไรไม่ถูก และรู้สึกราวกับกำลังนั่งอยู่บนเข็มแหลมหลายร้อยเล่ม
  จะไม่ให้เขารู้สึกเช่นนั้นได้อย่างไรในเมื่อเขารับคำสั่งให้มาจัดการกับเหตุการณ์ในวันนี้ แต่เขากลับมานั่งดื่มกับผู้ที่ก่อเหตุขึ้นเสียเอง..
  “เอ่อ..ข้าเพียงแค่ต้องการสอบถามเจ้าสักสองสามคำเท่านั้น..” เหลยเชิ่งถึงกับนั่งไม่ติด..
  หลิงหยุนยิ้มพร้อมตอบกลับไปว่า“เหล่าเล่ย.. เจ้ามองหน้าทุกคนที่นั่งร่วมโต๊ะสิ! พวกเราเพิ่งจะถูกคนพวกนั้นก่อกวนจนป่านนี้ยังไม่ได้กินข้าว เจ้าอยากจะถามอะไรรอให้กินข้าวกินปลาเสร็จก่อนไม่ดีกว่ารึ!
บทที่ 812 : ต้องฆ่า!
  หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของหลิงหยุนเหลยเชิ่งก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก และได้แต่คิดในใจว่าว่า หลิงหยุนกล้าพูดว่าถูกก่อกวนออกมาได้อย่างไรกัน ในเมื่อภาพที่เห็นคือ.. เฉินเซินกับบอดี้การ์ดถูกทำร้ายร่างกาย แล้วก็ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ และยอดฝีมือของตระกูลเฉินอีก และที่เขาต้องมาตามล้างตามเช็ดอยู่นี้ ก็เพราะหลิงหยุนเป็นผู้ก่อความวุ่นวายขึ้นมาทั้งหมด..
  ใครกันแน่ที่ก่อกวน!
  และด้วยความแข็งแกร่งของหลิงหยุนเวลานี้หากเขาต้องการพาทุกคนออกไปจากที่นี่จริงๆ ก็ย่อมทำได้อย่างง่ายดาย แล้วเหตุใดยังคงนั่งกินข้าวอยู่ที่นี่!
  ไม่เพียงแค่เหลยเชิ่งที่คิดเช่นนั้นแม้แต่สาวเสริฟทั้งสี่คนก็คิดเช่นเดียวกัน!
  เกาเฉินเฉินที่นั่งอยู่ข้างหลิงหยุนถึงกับสั่นและร่างกายราวกับถูกไฟฟ้าช็อตจนชาไปทั้งร่าง เธอได้แต่แอบคิดว่า..
  ไม่เพียงแวมไพร์จะทำอะไรหลิงหยุนไม่ได้แม้แต่ยอดฝีมือตระกูลเฉิน กับตำรวจก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้แม้แต่น้อย นี่แม้แต่หน่วยเทพอินทรีย์ซึ่งเป็นองค์กรลี้ลับแห่งชาติ ยังไม่สามารถทำอะไรหลิงหยุนได้เช่นกันงั้นหรือ!
  และนี่คือหลิงหยุน!
  เถ้าแก่ซันปรุงอาหารจานเด็ดที่ทำจากเป็ดขึ้นมาเสริฟมากมายไม่ว่าจะเป็นปากเป็ด ลิ้นเป็ด ไส้เป็ด หรือเนื้อเป็ด และแต่ละจานก็ล้วนแล้วแต่ตกแต่งได้อย่างปราณีตงดงาม อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมหวนน่ารับประทานอีกด้วย!
  “เหล่าเล่ย..จะมัวรออะไรอยู่เล่า อาหารรสเลิศเช่นนี้ ท่านไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง!”
  “ลุงเล่ยครับ..ลองนี่ดีกว่าครับ ลิ้นเป็ดรสชาติจัดจ้าน อร่อยมากจริงๆ!”
  หลิงหยุนปรนเปรออาหารรสเลิศให้กับเหลยเชิ่งไม่หยุดและเขาเองก็คะยั้นคะยอจนเหลยเชิ่งต้องหยิบตะเกียบขึ้นมา..
  ถังเมิ่งเองก็กระตือรือร้นที่จะบริการเหลยเชิ่งอย่างมากเขาจัดการคีบกับข้าวใส่ลงในถ้วยของเหลยเชิ่งมากมายหลายอย่าง
  ตั้งแต่รับฉางหลิงและเหลียงเฟิงอี้ลงจากเครื่องนั้นทุกคนต่างก็ยังไม่ได้รับประทานอาหารเที่ยงเลยแม้แต่คนเดียว และเวลานี้ก็บ่ายสามโมงแล้ว ท้องของทุกคนจึงร้องออกมาทันทีที่ได้กลิ่นหอมหวนของอาหาร..
  หลิงหยุนไม่เพียงแค่กินอาหารเท่านั้นแต่ยังชักชวนถังเมิ่งกับเหลยเชิ่งให้ดื่มเป็นเพื่อนเขาด้วย แต่เพราะเหลยเชิ่งยังอยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ จึงไม่สามารถดื่มได้! เหล้าเหมาไถทั้งหมดจึงลงท้องของหลิงหยุนกับถังเมิ่งแทน!
  การรับประทานอาหารดำเนินไปร่วมหนึ่งชั่วโมงและเมื่อเวลาบ่ายสี่โมงทุกคนก็อิ่มกันพอดี..
  เวลานี้เหล้าเหมาไถเต็มท้องหลิงหยุนไปหมดใบหน้าหล่อเหลาของเขาจึงเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง และหลิงหยุนเองก็ไม่คิดที่จะใช้กำลังภายในรีดเหล้าในตัวออกมา เขาดื่มด่ำรสชาติและความหอมหวนของมันเข้าไป หากต้องรีดออกก็คงน่าเสียดายแย่!
  ระหว่างที่รับประทานอาหารอยู่นั้นเถ้าแก่ซันก็เดินออกมาบริการเป็ดปักกิ่งที่ขึ้นชื่อด้วยตัวเอง พนักงานเสริฟสาวทั้งสี่ต่างก็กลับเข้าไปหลังร้าน..
  เวลานี้นอกจากเถ้าแก่ซันก็มีเพียงคนเจ็ดคนเหลืออยู่ภายในห้อง และต่างคนต่างก็เคี้ยวอาหารตุ้ยๆ และกำลังรอว่าหลิงหยุนจะพูดอะไรต่อไป
  หลิงหยุนยกผ้าขึ้นเช็ดปากหลังจากที่อิ่มแล้วเขาโค้งศรีษะลงเล็กน้อย และเปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจด้านนอก
  นับว่าหน่วยเทพอินทรีย์สามารถจัดการเรื่องวุ่นวายด้านนอกได้เสร็จสิ้นภายในเวลาอันรวดเร็วหลังจากหนึ่งชั่วโมงผ่านไป สถานการณ์ด้านนอกก็กลับสู่ความเงียบสงบ ถนนหนทางก็กลับสู่ความปกติ แม้แต่รอยคราบเลือดต่างๆ ก็ถูกเช็ดล้างทำความสะอาดจนไม่เหลือร่องรอยให้เห็น
  หลักฐานเพียงอย่างเดียวที่เหลืออยู่เวลานี้ที่พอจะบ่งบอกได้ว่าบริเวณนี้มีการต่อสู้กันเกิดขึ้นนั้นก็คือรอยแยกบนพื้นยางมะตอยที่เกิดจากการไถลลื่นของยอดฝีมือผู้เป็นหัวหน้าระหว่างที่ต่อสู้กับหลิงหยนุนั่นเอง
  หลังจากที่คนของหน่วยเทพอินทรีย์ปรากฏตัวก็ไม่มีใครตามมาสมทบอีก มีเพียงเจียเฟยที่นั่งรอเหลยเชิ่งอยู่ด้านนอกด้วยความกระวนกระวายใจ
  เฉินเซินกับไห่ซานซึ่งเป็นบอดี้การ์ดก็ยังคงนอนนิ่งอยู่ที่พื้นด้านในสวน และไม่มีใครกล้าเคลื่อนย้ายร่างของทั้งคู่เลยแม้แต่คนเดียว
  ‘ใครที่กล้าเคลื่อนย้ายร่างของสองคนนี้มันผู้นั้นต้องตาย’
  นับว่าคำสั่งของหลิงหยุนช่างมีมนต์ขลังอย่างยิ่ง..
  “โอ้โห..เถ้าแกซัน อาหารของคุณรสชาติล้ำเลิศมากจริงๆ”
  หลิงหยุนจัดการปิดจิตหยั่งรู้ของตนเองและยกผ้าขึ้นเช็ดปากพร้อมกับเงยหน้าขึ้นพูดกับเถ้าแก่ซัน
  ในเมื่อเหลยเชิ่งเองก็นั่งอยู่ร่วมรับประทานอาหารกับพวกเขานานร่วมชั่วโมงและเวลานี้ทุกคนก็อิ่มกันหมดแล้ว สถานการณ์ก็กลับสู่ความสงบ สมควรที่หลิงหยุนจะต้องพูดอะไรบางอย่าง
  ทางด้านเหลยเชิ่งก็ได้แต่นิ่งเงียบเขารอหลิงหยุนมานานเป็นชั่วโมง และก็ต้องสงบจิตสงบใจรอคอยต่อไป และรู้ว่าทุกอย่างจากนี้ไปล้วนขึ้นอยู่กับหลิงหยุนเพียงผู้เดียว
  บุคคลอันดับหนึ่งของประเทศก็ได้กำชับไว้ว่าให้ตามสืบเรื่องของหลิงหยุนเท่านั้น แต่ห้ามกระทำการใดๆอย่างอื่น นั่นย่อมหมายความว่าหน่วยเทพอินทรีย์ห้ามเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับหลิงหยุนโดยเด็ดขาดนั่นเอง!
  หลิงหยุนยกแก้วน้ำชาขึ้นดื่มแก้กระหายก่อนจะยกมือขวาขึ้นบีบใบหูของตนเองแล้วถามเหลยเชิ่งว่า
  “เหล่าเล่ย..เจ้าไม่รู้หรือไม่ว่ามีคนกำลังรอเจ้าอยู่ด้านนอก”
  เหลยเชิ่งถึงกับตกใจสุดขีด..
  หลังจากที่เจียเฟยจัดการภารกิจตามที่เขาสั่งเรียบร้อยแล้วเจียเฟยก็นั่งคอยเขาอยู่ด้านนอกเพื่อที่จะกลับไปพร้อมกัน
  แต่เจียเฟยนั้นก็เป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นโฮ่วเทียน-9หากเขาจงใจควบคุมลมหายใจของตนเองแล้ว ก็ยากนักที่ยอดฝีมือที่อยู่ในด่านกลางขึ้นเซียงเทียนจะสามารถสังเกตุเห็นได้
  อีกทั้งภายในห้องนี้ก็เป็นห้องปรับอากาศประตูหน้าต่างจึงปิดมิดชิด หลิงหยุนเองก็เข้ามานั่งภายในห้องนี้ตั้งแต่ก่อนที่พวกเขาสองคนจะมาถึง และไม่ได้ย่างกรายออกไปด้านนอกเลยแม้แต่น้อย แล้วหลิงหยุนรู้ได้อย่างไรว่าเจียเฟยกำลังนั่งคอยเขาอยู่ด้านนอก
  หากหลิงหยุนมีความสามารถในการได้ยินในระดับนี้กำลังภายในของหลิงหยุนจะอยู่ในขั้นใดกันแน่!
  “เอ่อ..นั่นเป็นสหายของข้าเอง ชื่อว่าเจียเฟย! ข้าเป็นคนสั่งให้เขารอข้าอยู่ด้านนอก..”
  แม้จะรู้สึกตกใจอย่างมากแต่เหลยเชิ่งก็ไม่คิดที่จะปิดบัง และได้แต่บอกหลิงหยุนไปตามความจริง
  หลิงหยุนรู้อยู่แล้วว่าเจียเฟยนั้นเป็นเพื่อนร่วมงานของเหลยเชิ่งเขาจึงยิ้มและพูดต่อว่า..
  “งั้นก็เยี่ยมเลย!เหล่าเล่ย.. ข้ามีเรื่องให้เจ้าช่วยหน่อย!”
  เหลยเชิ่งที่นั่งฟังอยู่กำลังจะอ้าปากพูด แต่ก็ถูกหลิงหยุนพูดขัดขึ้นเสียก่อน..
  หลิงหยุนมองไปรอบๆโต๊ะจากนั้นจึงหันไปสั่งเหลยเชิ่งว่า “ข้าอยากจะขอให้เจ้าช่วยไปส่งเพื่อนๆของเข้าทั้งหาคนที่โรงแรม และก่อนที่ข้าจะกลับไป ต้องมั่นใจว่าทุกคนอยู่ในความปลอดภัยดี!”
  หลิงหยุนเพิ่งจะสร้างปัญหาใหญ่โตเช่นนี้มีหรือที่ตระกูลเฉินจะยอมปล่อยเขาไว้ และหากปล่อยให้เกาเฉินเฉินกับคนอื่นๆ ตกไปอยู่ในมือของพวกมันได้ ก็เท่ากับส่งเนื้อเข้าปากเสือดีๆนั่นเอง..
  อีกทั้งอยู่ในเมืองหลวงเช่นนี้จะมีใครคุ้มครองทุกคนได้ดีไปกว่าหน่วยเทพอินทรีย์เล่า
  “เรื่องนั้น..”
  เหลยเชิ่งเข้าใจความหมายของหลิงหยุนดีแต่เขาก็รู้สึกลำบากใจไม่น้อย เพราะเวลานี้เจียเฟยก็ได้รอเขาอยู่ด้านนอกมาเป็นเวลานานแล้ว แต่เขากลับกลายมาเป็นสหาย และองค์รักษ์ให้กับหลิงหยุนแทน
  ‘เฮ้อ..นี่ข้ามาทำอะไรที่นี่!’
  “ถ้าเจ้าลำบากใจก็ไม่เป็นไร..”
  หลิงหยุนเห็นสีหน้าลังเลของเหลยเชิ่งจึงรีบโบกมือและร้องบอกเหลยเชิ่งทันที
  “ในเมื่อเจ้าไม่สะดวกไปส่งเพื่อนๆของข้าข้าก็ต้องขอตัวกลับก่อนแล้ว หากปล่อยพวกเขากลับไปตามลำพัง ข้าก็ไม่วางใจ!”
  หลิงหยุนร้องบอกพร้อมกับทำท่าจะลุกขึ้น..
  “ได้ๆ..ข้าจะไปส่งพวกเขาเอง!”
  เหลยเชิ่งยังไม่ได้สอบถามหลิงหยุนเลยแม้แต่ข้อเดียวแล้วเขาจะปล่อยให้หลิงหยุนออกไปง่ายๆเช่นนี้ได้อย่างไรเล่า
  “เจ้ารอข้าประเดี๋ยว..เดี๋ยวข้ามา!”
  หลังจากพูดจบเหลยเชิ่งก็ลุกขึ้นและเดินไปหาเจียเฟย
  “พี่หยุน..พี่ให้พวกเรากลับไปโรงแรมก่อน แล้วพี่ล่ะ! พี่ไม่ไปพร้อมกับพวกเราเหรอ?”
  ถังเมิ่งร้องถามและดูเหมือนว่าเขาไม่ต้องการแยกจากหลิงหยุน เมื่อเหลยเชิ่งเดินออกไปแล้ว ถังเมิ่งจึงรีบถามหลิงหยุนทันที
  “ใช่..ฉันไม่มีเวลามากพอ!”
  หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับพยักเพยิดหน้าไปทางด้านนอกพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ฉันคงไม่สามารถพาสองคนนั่นกลับไปที่โรงแรมด้วยได้ ฉันต้องจัดการกับพวกมันก่อน แล้วฉันก็ยังมีเรื่องต้องคุยกับพวกมันด้วย..”
  กงเสี่ยวลู่ร้องถามออกมาอย่างตกใจใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นซีดขาวทันที “หลิงหยุน.. เธอ.. นี่เธอจะฆ่าพวกเขาสองคนจริงๆเหรอ”
  เหลียงเฟิงอี้เองก็มองหน้าหลิงหยุนอย่างไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน..เธอทำท่าลังเลคล้ายจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เงียบไป..
  “ไม่หรอก..ผมมีเรื่องต้องถามพวกมันสองคน! หลังจากที่ผมสอบถามพวกมันเรียบร้อยแล้ว ผมจะรีบตามไปที่โรงแรม”
  หลิงหยุนพูดพร้อมกับส่งสายตาไปทางถังเมิ่งทันที..
  ถังเมิ่งเข้าใจความหมายดีจึงรีบพูดขึ้นว่า“ดูก็รู้ว่าลุงเล่ยไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ ในเมื่อเขานั่งรอจนถึงตอนนี้ แสดงว่าต้องมีเรื่องอยากจะคุยกับพี่หยุนเพียงลำพัง แต่ถ้าพวกเรานั่งอยู่ที่นี่ เขาก็คงจะไม่กล้าพูด..”
  “แล้วเรื่องที่พี่หยุนทำเมื่อครู่..ก็คงอยู่ในความรับผิดชอบของเขาด้วย..”
  นับว่าถังเมิ่งพูดได้ถูกต้องและหญิงสาวทั้งสี่คนก็นับว่าฉลาดพอ หลังจากที่ได้ฟังเหตุผลทั้งหมด พวกเธอก็ได้แต่นิ่งเงียบ และทำตามแต่โดยดี
  “ทิ้งรถแลนด์โรเวอร์ไว้ให้ฉันส่วนพวกนายนั่งรถเจียเฟยไป ถึงโรงแรมแล้วให้โทรบอกฉันด้วย!”
  จากนั้นเสียงของเหลยเชิ่งก็ดังขึ้นมา“เอาล่ะ.. ข้าสั่งการทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว เจ้าให้คนของเจ้าออกไปด้านนอกได้เลย!”
  “หลิงหยุน..ระมัดระวังตัวด้วย พวกเราจะคอยอยู่ที่โรงแรม!”
  หลิงหยุนเดินไปส่งทุกคนที่หน้าร้านและใช้จิตหยั่งรู้มองตามรถที่กำลังเคลื่อนตัวออกไป
  เหลยเชิ่งเองก็เดินกลับเข้ามาพอดีส่วนหลิงหยุนก็เดินออกไปพอดี ทั้งคู่สบตากันครู่หนึ่ง แล้วจึงหันหน้าไปทางร่างของเฉินเซินซึ่งนอนกองอยู่กับพื้น
  จากนั้นทั้งคู่ก็สื่อสารกันทางกระแสจิต..
  –หลิงหยุน..เจ้าจำเป็นต้องสังหารเฉินเซินจริงๆรึ-
  –ใช่..มันต้องตาย!-
  เหลยเชิ่งถึงกับขมวดคิ้วพร้อมกับยกมือขึ้นเกาศรีษะก่อนจะถามกลับว่า
  -เจ้าบอกเหตุผลให้ข้ารู้ได้หรือไม่เจ้ากับเฉินเซินมีเรื่องบาดหมาดอะไรกันงั้นรึ?–
  หลิงหยุนได้ฟังก็ได้แต่แอบคิดในใจว่าดูเหมือนเรื่องเที่เขาถูกรถชนตายนั้น จะไม่ได้อยู่ในความสนใจของหน่วยเทพอินทรีย์ หลิงหยุนจึงเลือกที่จะเงียบ เพราะเรื่องนี้เป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา!
  -เหล่าเล่ย..ข้าขอบอกตามตรงว่าข้ารู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจทุกครั้งที่ได้ยินว่า ต้องมีความแค้นส่วนตัวจึงจะสามารถฆ่ากันได้!-
  เหลยเชิ่งได้ฟังถึงกับตกใจและรีบเตือนหลิงหยุนถึงผลร้ายมากมายที่จะตามมาหากเขาสังหารเฉินเซิน..
  -หลิงหยุน..ข้าขอเตือนเจ้า! หากเจ้าสังหารเฉินเซิน เจ้าจะต้องเผชิญหน้ากับตระกูลอันดับสามแห่งปักกิ่งอย่างตระกูลเฉิน! และเจ้าจะต้องตกอยู่ในอันตรายจนยากที่จะเอาชีวิตรอดได้!-
  หลิงหยุนหันไปมองเหลยเชิ่งด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ..
  -เหล่าเล่ย..ขอบคุณเจ้ามาก! แต่เจ้าอย่าลืมว่าข้าเองก็กำลังเผชิญหน้ากับตระกูลซันอยู่เช่นกัน! –