บทที่ 813 : กลับจิงฉู!
เหลยเชิ่งได้แต่แอบถอนหายใจอยู่เงียบๆ
หน่วยเทพอินทรีย์นั้นได้รับฉายาว่าเป็นดวงตาของประเทศนี้มีเรื่องลับมากมายที่อยู่ในการรับรู้ของหน่วยนี้ และแต่ละเรื่องล้วนเป็นความลับสุดยอดที่คนธรรมดาสามัญยากนักที่จะมีโอกาสล่วงรู้ได้
หลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่น่าเชื่อหรือไม่น่าเป็นไปได้ในสายตาของคนธรรมดาสามัญนั้น กลับเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับหน่วยเทพอินทรีย์
ในเมื่อหลิงหยุนเป็นที่สนใจของผู้บังคับบัญชาระดับสูงเหลยเชิ่งในฐานะหัวหน้าหน่วยเทพอินทรีย์ จึงรู้เรื่องราวเกี่ยวกับหลิงหยุนหลายเรื่องเช่นกัน
เมื่อหลายเดือนก่อนหน้านี้ชื่อของหลิงหยุนนั้นพุ่งขึ้นราวกับดาวหาง และเป็นที่รู้จักของผู้คนมากมาย แต่นั่นไม่ได้เกิดจากความสามารถที่น่าอัศจรรย์ของหลิงหยุนเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะจำนวนผู้คนที่หลิงหยุนสังหารด้วย..
หลิงหยุนเองก็รู้ดีว่าเขาได้สังหารผู้คนไปมากมายและต่อให้เหลยเชิ่งยกทั้งนิ้วมือกับนิ้วเท้าขึ้นมานับย้อนไปย้อนมาก็ยังไม่สามารถนับได้หมด..
ไม่เพียงแค่ตระกูลเฉินกับตระกูลซันเท่านั้น แม้แต่รองหัวหน้าหน่วยอินทรีย์อย่างหลงเทียนเจียวก็ถูกหลิงหยุนสั่งสอนมาแล้วเช่นกัน
หลงเทียนเจียวคือใครอย่างนั้นหรือเขาก็คือคนที่ไปปฏิบัติภารกิจในเมืองจิงฉู และได้พ่ายแพ้ให้กับหลิงหยุนอย่างไม่เป็นท่า..
หากหลงเทียนเจียวคิดตอบโต้หลิงหยุนคืนแน่นอนว่าตระกูลหลงย่อมต้องอยู่ข้างหลงเทียนเจียวอย่างแน่นอน และหากเป็นเช่นนั้นรายชื่อศัตรูของหลิงหยุนก็จะต้องเพิ่มตระกูลหลงเข้าไปอีกหนึ่งด้วย!
และเพียงแค่รายชื่อตระกูลหลงชื่อเดียวก็นับว่าหนักเกินพอแล้ว!
ตระกูลหลงเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่และทรงอิทธิพลอย่างมาก เรียกว่าหากได้รู้จักทุกอณูของตระกูลหลงแล้ว จะรู้ว่าตระกูลหลงนั้นน่าสยดสยองมากเพียงใด แต่หลิงหยุนกลับไม่เคยเห็นหลงเทียนเจียว และตระกูลหลงอยู่ในสายตาด้วยซ้ำไป..
ในเมื่อแม้แต่ตระกูลหลงยังไม่อยู่ในสายตาของหลิงหยุนแล้วเขายังจะต้องหวาดกลัวตระกูลซันเช่นนั้นหรือ
“เหล่าเล่ย..ข้าต้องขอบคุณเจ้าที่ครั้งนี้ไม่ขัดขวางข้า ข้าจะจดจำการกระทำของเจ้าในครั้งนี้ไว้..”
น้ำเสียงบางเบาของหลิงหยุนลอยเข้าหูของเหลยเชิ่งและเหลยเชิ่งก็รู้สึกแปลกๆ จนเหงื่อเม็ดโตเต็มหน้าผากนั้นค่อยๆหยดลงมาเต็มหน้า เขารู้ดีว่าหากไม่ใช่เพราะคำสั่งของบุคคลอันดับหนึ่งในประเทศนี้ เขาคงจะทำคนละอย่างกับที่ทำในวันนี้แน่นอน..
เพราะนี่คือหน้าที่และความรับผิดชอบของเขา การการทำของหลิงหยุนในวันนี้ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี และหากไม่มีคำสั่งลับนั่น เขาก็คงไม่สามารถปล่อยหลิงหยุนไปง่ายๆเช่นนี้ได้แน่
แม้เหลยเชิ่งจะรู้และเข้าใจดีว่า ตราบใดที่เขาเป็นปฏิปักษ์กับหลิงหยุนแล้วล่ะก็ เขาจะไม่สามารถอยู่ได้อย่างสงบสุขแน่ แม้ว่าหลิงหยุนจะไม่พูดออกมาตรงๆ แต่การกระทำของหลิงหยุนในวันนี้ก็บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า ผู้ที่เป็นปฏิปักษ์กับเขาจะต้องพบเจอกับอะไรบ้าง
เหลยเชิ่งไม่รู้ว่า..เขาควรขอบคุณหลิงหยุน หรือว่าขอบคุณบุคคลอันดับหนึ่งของประเทศนี้กันแน่!
“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า..เรื่องของเจ้าหน่วยเทพอินทรีย์ไม่สามารถยุ่งเกี่ยวได้..”
แม้เหลยเชิ่งอยากจะพูดต่อว่า‘แม้ข้าอยากจะจัดการกับเจ้าตามกฏมากก็ตาม’
แต่เหลยเชิ่งก็เลือกที่จะไม่พูดออกมาเพราะด้วยความแข็งแกร่งของหลิงหยุนเวลานี้ ต่อให้สมาชิกในหน่วยอินทรีย์ร่วมมือกันทั้งหมด ก็ยากที่จะทำอะไรหลิงหยุนได้.. เรื่องนี้เหลยเชิ่งรู้อยู่แก่ใจดี!
หลิงหยุนได้ฟังคำตอบของเหลยเชิ่งก็เริ่มสนใจขึ้นมาทันที จึงรีบร้องถามออกไปว่า “เหล่าเล่ย.. เจ้าบอกข้าที ใครกันที่กำลังสนใจเรื่องของข้าอยู่”
เหลยเชิ่งตกใจสุดขีดและรู้สึกว่าเขาได้พลาดไปอย่างมาก จึงรีบปฏิเสธทันที “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ที่ข้าบอกว่าเรื่องหน่วยเทพอินทรีย์ไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของเจ้าได้นั้น ก็เพราะว่าเรื่องของเจ้าใหญ่เกินกว่าความรับผิดชอบของหน่วยเราต่างหาก..”
หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า..สุนัขจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์คงไม่มีทางยอมบอกความจริงกับเขาแน่ เขาจึงได้แต่ล้มเลิก แล้วถามเรื่องอื่นแทน
“เหล่าเหล่ยก่อนที่ข้าจะแยกย้ายกับเจ้า ข้าอยากจะถามถึงคนคนหนึ่ง..”
แต่ยังไม่ทันที่หลิงหยุนจะได้ถามเหลยเชิ่งก็ชิงพูดขึ้นว่า “เจ้าจะถามถึงใครงั้นรึ แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าหน่วยเทพอินทรีย์มีกฏว่า ห้ามแพร่งพรายความลับให้กับบุคคลที่สามล่วงรู้โดยเด็ดขาด.. ข้าคงไม่สามารถตอบคำถามของเจ้าได้!”
หลิงหยุนถึงกับหัวเราะและตอบกลับไปว่า “ฮ่า.. ฮ่า.. นี่เจ้าไม่ต้องตื่นตระหนกตกใจเช่นนั้นก็ได้ ข้าแค่อยากจะถามเจ้าว่าในหน่วยเทพอินทรีย์มีคนชื่อฉินเว่ยหรือไม่ ถ้ามี.. เวลานี้เขาอยู่ปักกิ่งหรือไม่?”
ฉินเว่ยเป็นคนของตระกูลฉินและฉินตงเฉี่วยก็ได้สั่งหลิงหยุนไว้ตั้งแต่ก่อนออกเดินทางว่า หากเขาไปปักกิ่งแล้วมีเรื่องต้องการความช่วยเหลือด่วน ก็ให้บอกฉินเว่ยได้ทันที!
เมื่อได้ยินว่าหลิงหยุนถามถึงฉินเว่ยเหลยเชิ่งก็ถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก อีกอย่างฉินเว่ยเองก็เป็นคนของตระกูลฉิน หลิงหยุนสามารถพบฉินเว่ยโดยไม่ต้องพึ่งพาเขาด้วยซ้ำไป
“อ่อ..ที่แท้เจ้าก็จะถามถึงฉินเว่ยเองรึ เขาไปปฏิบัติภารกิจ และเวลานี้ไม่อยู่ปักกิ่ง..”
หลิงหยุนไม่ยอมปล่อยโอกาสให้เสียไปจึงรีบถามต่อทันที “ภารกิจอะไรงั้นรึ”
เหลยเชิ่งถึงกับอ้ำอึ้งและตอบกลับไปว่า “เอ่อ.. เรื่องนี้ข้าไม่รู้จริงๆ! และต่อให้รู้ ข้าก็ไม่สามารถบอกเจ้าได้ มันเป็นกฎของหน่วยเรา..”
‘พูดอะไรไม่ได้เลยงั้นรึ!’
หลิงหยุนได้แต่นึกบ่นพึมพำอยู่ในใจพร้อมกับส่ายหัวไปมาและได้แต่คิดว่าฝึกวิชามาถึงขนาดนี้ แต่กลับมีกฏเกณฑ์มากมายรัดตัวไว้ เช่นนี้แล้วจะฝึกฝนวรยุทธไปเพื่ออะไรกัน
แต่ทุกคนก็ล้วนแล้วแต่มีเป้าหมายของตนเองที่ต้องการไปให้ถึงใช่ว่าทุกคนจะมีอิสระในชีวิตเฉกเช่นหลิงหยุน..
เมื่อหลิงหยุนเห็นว่าไม่สามารถสืบหาข่าวคราวที่เป็นประโยชน์จากเหลยเชิ่งได้เขาก็ไม่อยากเสียเวลากับเหลยเชิ่งอีก
เหลยเชิ่งซึ่งอยู่ในวัยเกือบห้าสิบและยังเป็นโสดก็ไม่คิดว่าหลิงหยุนจะยอมเข้าใจอะไรได้ง่ายๆเช่นนี้ จึงได้แต่นึกชื่นชมหลิงหยุนอยู่ในใจ
หลิงหยุนเป็นคนที่กล้ารักกล้าเกลียด และกล้าที่จะสู้ เขากล้าทำในสิ่งที่เขาอยากจะทำ และไม่เคยเห็นผู้ใดอยู่ในสายตา อีกทั้งไม่ว่าจะต้องเผชิญกับสิ่งใด หรือความยากลำบากมาเพียงใด เขาก็ยังพอใจกับสิ่งที่ได้พบเจอเสมอ..
เพราะสำหรับเหลยเชิ่งแล้วการมีอิสระที่จะกระทำสิ่งใดตามใจชอบนั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับเหลยเชิ่งเลย..
มนุษย์เราก็มักเป็นเช่นนี้ผู้ที่ขาดมักจะมีความปรารถนาไม่สิ้นสุด เหลยเชิ่งจึงนึกชื่นชอบหลิงหยุนอยู่ไม่น้อย..
ไม่เช่นนั้นเหลยเชิ่งคงไม่เลือกที่จะนิ่งเฉยและคงเลือกที่จะสร้างความปั่นป่วน และปัญหาให้หลิงหยุนกลับไปเช่นกัน
“แล้วเจ้า..”
เหลยเชิ่งอยากจะถามหลิงหยุนว่าเขามาทำอะไรที่ปักกิ่งและจะทำอะไรต่อไปจากนี้ แต่ในที่สุดก็เปลี่ยนใจเมื่อคิดได้ว่า หลิงหยุนถามคำถามเขา เขายังไม่ตอบ แล้วเขาจะสามารถถามหลิงหยุนได้อย่างไรเล่า
ยิ่งไปกว่านั้นเหลยเชิ่งยังรู้ด้วยว่าหลิงหยุนดูเหมือนจะมีความลับซ่อนอยู่มากมาย และสิ่งหนึ่งที่ซ่อนอยู่ก็คือหลิงหยุนตัวจริงที่ลึกลับ และน่าหวาดผวายิ่งกว่าหลิงหยุนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาในเวลานี้เสียอีก!
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับบอกเหลยเชิ่งไปว่า“ข้าจะกลับจิงฉูคืนนี้..”
ในเมื่อเวลานี้ตระกูลเกาก็นับว่าปลอดภัยชั่วคราวแล้วเกาเฉินเฉินก็กลับมาอยู่เคียงข้างเขาแล้ว และเรื่องสำคัญหลายเรื่องในปักกิ่ง เขาก็ได้จัดการเรียบร้อยแล้วเช่นกัน จึงไม่จำเป็นที่เขาจะต้องอยู่ปักกิ่งต่อไปอีก
หลิงหยุนต้องการกลับไปจิงฉูเพื่อจัดการสะสางบัญชีเรื่องผลการสอบเอนทรานซ์ของตนเอง
“เจ้าจะกลับจิงฉูคืนนี้งั้นรึแล้วสองคนนั้น..” เหลยเชิ่งเหลือบมองไปทางเฉินเซิน และไห่ซานที่ยังคงนอนอยู่บนพื้น
“ข้าจะนำตัวพวกมันสองคนกลับไปที่จิงฉูด้วย..”
หลิงหยุนตอบด้วยสีหน้าไร้กังวลและไม่คิดที่จะปิดบังใดๆ
หลังจากนั้นหลิงหยุนก็ไม่ต้องการพูดอะไรมากความอีกเขาเดินตรงออกจากสวนภายในร้าน และตรงไปขับรถแลนด์โรเวอร์ของตนเองมาที่หน้าประตู
จากนั้นจึงทำการเปิดท้ายรถขึ้นก่อนที่จะเดินตรงไปที่สวนด้านในจัดการลากร่างของเฉินเซินกับไห่ซานที่แน่นิ่งราวกับสุนัขตายไปที่รถ หลังจากมองซ้ายมองขวาและพบว่าไม่มีใครเห็นแล้ว หลิงหยุนก็จับร่างของไห่ซานยัดเข้าไปที่ท้ายรถทันที ส่วนเฉินเซินนั้นดีกว่าหน่อย เพราะได้ไปนั่งที่เบาะหลังแทน
หลังจากที่ล็อคท้ายรถและปิดประตูแล้วหลิงหยุนก็จัดการปัดฝุ่นที่มืออกพร้อมกับมองไปทางเหลยเชิ่งที่กำลังยืนอึ้งด้วยสีหน้าที่ตกใจ เขายิ้มเล็กน้อยพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“วันหน้าถ้าข้าได้พบกับเจ้าอีกครั้งข้าขอเชิญเจ้าไปทานอาหารกับข้าลำพังสองคน!”
“เอาล่ะ..ข้าต้องไปก่อนแล้ว” หลิงหยุนพูดยิ้มๆ ขณะที่เตรียมตัวจะขับรถออกไป
แต่ในเวลานั้นเองเถ้าแก่ซันที่เอาแต่หลบอยู่ในร้าน ก็รีบวิ่งออกมาพร้อมกับร้องตะโกนเรียกหลิงหยุนเสียงดัง
“ได้โปรดรอก่อน..รอก่อน..”
หลิงหยุนเห็นเถ้าแก่ซันวิ่งหน้าตาตื่นออกมาก็ได้แต่นึกขันอยู่ในใจ แต่ก็จอดรถ และหันไปทางเถ้าแก่ซันที่วิ่งตรงเข้ามาหาตนเองอย่างรีบร้อน แล้วยกนิ้วโป้งชูขึ้นพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“เถ้าแกซัน..ขอบคุณมากสำหรับอาหารรสชาติล้ำเลิศในวันนี้ เป็ดของคุณยอดเยี่ยมไม่มีที่ติจริงๆครับ!”
เถ้าแก่ซันได้ฟังคำชมของหลิงหยุนก็ได้แต่ทำสีหน้ากระอักกระอ่วนเมื่อมีคนชมว่าเป็ดของเขานั้นยอดเยี่ยมไม่มีที่ติ..
เหลยเชิ่งเองเมื่อได้ยินคำพูดของหลิงหยุนก็ถึงกับหน้าแดงและพยายามกลั้นหัวเราะไว้!
หลิงหยุนถึงกับงุนงงอย่างมากเขาได้แต่คิดในใจว่า
‘ข้าชมว่าเป็ดของเถ้าแก่ยอดเยี่ยมไม่มีที่ติมันผิดตรงใหนงั้นรึ ข้าเอ่ยชมด้วยความจริงใจ ไม่ดีหรืออย่างไรกัน?’
เป็นอีกครั้งที่หลิงหยุนไม่รู้ความหมายอีกนัยหนึ่งของภาษาจีนเพราะความจริงแล้วคำว่า ‘鸭鸭子’ ซึ่งแปลว่าเป็ดนั้น หากเป็นคำแสลงจะมีความหมายว่าผู้ชายขายตัว..
“เอ่อ..ก็แค่เป็ดปักกิ่งธรรมดาๆ คงเทียบกับคนใหญ่คนโตอย่างนายท่านไม่ได้ การที่นายท่านมากินอาหารที่ร้านของเรานั้น นับว่าเป็นเกียรติอย่างสูงมาก..”
เถ้าแก่ซันช่างอ่อนน้อมถ่อมตนต่อหน้าหลิงหยุนนัก..
หลิงหยุนได้ฟังถึงกับต้องร้องบอกว่า“ เถ้าแก่ซัน.. คุณเข้าใจผิดแล้ว ผมไม่ใช่คนใหญ่คนโตอะไรเลย เป็นแค่รากหญ้าเท่านั้น คนใหญ่คนโตตัวจริงยืนอยู่ข้างคุณต่างหากเล่า..”
เหลยเชิ่งได้ฟังก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธเช่นกัน..
เถ้าแก่ซันไม่สนใจเขายกมือขึ้นชูการ์ดสีทองในมือทั้งสองใบ แล้วจึงส่งให้หลิงหยุนกับเหลยเชิ่งด้วยท่าทีเคารพนบนอบ
“นี่เป็นน้ำใจเล็กๆน้อยๆจากผมขอเชิญท่านสองคนมารับประทานอาหารที่ร้านได้ทุกเมื่อ ทุกอย่างฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย..”
“น่าสนใจ..”
หลิงหยุนได้ฟังก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจพร้อมกับเอื้อมมือไปรับการ์ดสีทองมาในเมื่อกินฟรี ดื่มฟรีเช่นนี้ มีหรือที่หลิงหยุนจะปฏิเสธ..
ส่วนเหลยเชิ่งนั้นอิดออดไปมาและไม่ยอมรับแม้ว่าเถ้าแก่ซันจะคะยั้นคะยออย่างไรก็ไม่ยอม เถ้าแก่ซันจึงต้องเก็บกลับไปคืน..
“เถ้าแก่ซันผมมีธุระต้องไปทำต่อแต่มีคำพูดหนึ่งที่ผมจะบอกกับคุณ กิจการของคุณนับจากนี้จะอยู่ในความดูแลของผม..”
หลิงหยุนพูดจบก็เหยียบคันเร่งออกไปทันที..
“นี่..นายท่านยังไม่ได้บอกผมเลยว่ากลิ่นหอมนั่นคือกลิ่นของอะไร”
หลิงหยุนหัวเราะเสียงดังพร้อมกับร้องตะโกนตอบด้วยเสียงที่ดังฟังชัด “แล้วผมจะบอกคุณเมื่อได้มาทานอาหารครั้งหน้า!”
บทที่ 814 : กระเทือนแปดตระกูลใหญ่แห่งปักกิ่ง!
หลิงหยุนขับรถแลนด์โรเวอร์มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือและขับออกไปทางถนนวงแหวนที่ห้าด้วยความเร็วสูงสุดทันที
หลังจากที่ออกจากถนนวงแหวนที่ห้าแล้วก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องรถติดอีก หลิงหยุนจึงได้ชะลอความเร็วลงเล็กน้อย
เขาเปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจดูและเมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดตามมาแล้ว หลิงหยุนจึงได้โทรหาเหล่ากุ่ย
“เจอกันที่คลังอาวุธ..”
หลิงหยุนไม่ต้องการพูดอะไรมากมายทางโทรศัพท์เขาจึงเลือกที่จะพูดประโยคสั้นๆกับเหล่ากุ่ยแทน
หลังจากที่ขับไปไกลได้สักระยะหลิงหยุนก็พบสถานที่สงบเงียบแห่งหนึ่ง เขาจึงหยุดรถแล้วเดินลงมา ก่อนจะพุ่งตรงไปที่หน้ารถทันที
หลิงหยุนแสยะยิ้มก่อนจะเอื้อมมืออกไปดึงป้ายทะเบียนรถแลนด์โรเวอร์ออก จากนั้นจึงเดินไปที่ท้ายรถปลดป้ายทะเบียนด้านหลังออกเช่นกัน!
“ทะเบียนรถงั้นรึลาก่อน..” หลิงหยุนแสยะยิ้มพร้อมกับโยนป้ายทะเบียนทั้งสองทิ้งลงไปในป่าข้างถนนทันที
จากนั้นหลิงหยุนก็หงายฝ่ามือซ้ายขึ้นและบัตรประชาชนก็ปรากฏออกมา หลิงหยุนกำลังเตรียมตัวที่จะทำลายบัตรประชาชนทิ้งเช่นกัน แต่แล้วก็หยุดชะงัก..
“ไม่..ข้ายังมีเงินอยู่ในธนาคารมากมาย กลับไปจิงฉูคราวนี้ ข้าจะเบิกเงินมาเก็บไว้กับตัวเองให้หมดเลย..”
เมื่อคิดได้เช่นนั้นหลิงหยุนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วจึงจัดการเก็บบัตรประชาชนกลับเข้าไปเหมือนเดิม
“เฮ้อ..นี่ถ้าอยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่คงจะไม่ยุ่งยากเช่นนี้ จะอยู่ที่ใหน จะไปที่ใหน ก็ไม่จำเป็นต้องมีเอกสารบ้าบออะไรเช่นนี้..”
หลิงหยุนถอนหายใจพร้อมกับใช้จิตหยั่งรู้สำรวจดูไห่ซ่านซึ่งอยู่ท้ายรถเขาเกรงว่ามันจะหายใจไม่ออกแล้วตายไปเสียก่อน เขาคงจะเสียดายแย่!
“เจ้ายังไม่ตายก็ดีแล้ว..”
หลิงหยุนพึมพำพร้อมกับกระโดดขึ้นรถและรีบเหยียบคันเร่งมุ่งหน้าไปที่คลังอาวุธตระกูลหลิงทันที
“จากนี้ไปข้าก็ไม่ต้องกลัวไฟแดง..ไม่ต้องสนใจการตรวจจับความเร็ว.. ข้าสามารถขับรถได้อย่างอิสระ..”
หลังจากทำลายป้ายทะเบียนรถทิ้งไปแล้วหลิงหยุนก็จัดการเปิดจิตหยั่งรู้ขั้นสุด และขับบรถแลนด์โรเวอร์ออกไปด้วยความเร็วสองร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง และไปถึงจุดหมายปลายทางในเวลาอันรวดเร็ว
ที่คลังอาวุธตระกูลหลิง..
หลิงหยุนจอดรถไว้ด้านนอกโรงงานเมื่อเห็นว่าเหล่ากุ่ยยังมาไม่ถึง เขาก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาถังเมิ่ง
“ถึงโรงแรมกันหรือยัง”
“ถึงแล้วพี่หยุน!”
“แล้วเจียเฟยล่ะ..กลับไปหรือยัง”
“ยังไม่กลับแต่ก็ไม่ยอมขึ้นมา ดูเหมือนจะนั่งอยู่ที่ล็อบบี้โรงแรม..”
“ฮ่า..ฮ่า.. นับว่าฉันหาบอดี้การ์ดให้พวกนายได้ดีมากจริงๆ! ทำหน้าที่ได้ไม่ขาดตกบกพร่องจริงๆ!”
“อ่อ..เดี๋ยวนายจัดการโทรไปจองตั๋วเครื่องบินด้วย พวกเราจะกลับจิงฉูคืนนี้!”
ถังเมิ่งถามกลับไปอย่างงุนงง“ห๊ะ! จองตั๋วเครื่องบินงั้นเหรอ?!”
“ใช่..ตั๋วเครื่องบิน! แต่อีกไม่ช้าฉันก็คงจะซื้อเครื่องบิน!”
“พี่หยุน..นี่พี่จะซื้อเครื่องบินด้วยงั้นเหรอ”
ถังเมิ่งร้องอุทานออกมาอย่างตกใจเขาไม่เพียงรู้สึกช็อค แต่ยังตื่นเต้นสุดขีดอีกด้วย!
“ทำไมเงินในบัญชีมีไม่พอหรือยังไง?” น้ำเสียงและท่าทางของหลิงหยุนไม่ต่างจากเศรษฐีที่พูดถึงเงินเล็กๆน้อยๆ
“พอสิพอ..ฉันแค่ตื่นเต้นมากไปหน่อย.. พี่เพิ่งจะให้ฉันซื้อเรือยอร์ชให้สองลำ แล้วพี่ก็พูดเองไม่ใช่เหรอว่าอยากจะเก็บเงิน..”
ความจริงแล้วเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวลำเล็กๆก็ไม่ได้แพงอะไรมากมาย มีเงินหนึ่งร้อยล้านหยวนก็สามารถซื้อได้อย่างสบาย แต่เขาเกรงว่าหลิงหยุนจะไปเลือกเครื่องบินลำใหญ่ที่ราคาหลายพันล้านนี่สิ..
“นายไม่ต้องตื่นเต้นตกใจไป..นายกล้าๆซื้อไปเลย เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา!”
หลิงหยุนยิ้ม..เงินเขาอาจจะมีไม่พอ แต่เงินของพอล เจสเตอร์ เพียร์ซ จอยซ์ แล้วก็มาร์ควิสเอ็ดเวิร์ดต้องมีเพียงพออย่างแน่นอน
และหากคำนวณจากเงินสกุลดอลล่าร์แล้วล่ะก็รวมๆกันแล้วจะต้องมีเงินเป็นหลายพันล้านหยวนอย่างแน่นอน!
“ฉันจะหาคนมาช่วยเป็นที่ปรึกษาเรื่องนี้ให้นายเอง..”
แน่นอนว่าหลิงหยุนกำลังพูดถึงพอล..เขาเป็นแวมไพร์ที่ใช้ชีวิตหรูหรามีรสนิยมที่สุด!
“ต่อไปในวันข้างหน้าฉันจะเดินทางด้วยการโบยบินบนท้องฟ้า และต้องเป็นเครื่องบินส่วนตัวเท่านั้น!”
หลิงหยุนครุ่นคิดเรื่องนี้มาครู่หนึ่งแล้วตราบใดที่เขามีเครื่องบินเป็นของตัวเอง เขาก็จะสามารถลดปัญหาอื่นๆได้อีกมากมาย และสามารถบินไปใหนต่อใหนในประเทศนี้ได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง..
ในเมื่อมีเงินทองไม่ขาดแคลนก็ต้องซื้อความสะดวกสบายให้กับตนเอง หลิงหยุนเริ่มคิดถึงเรื่องนี้ตั้งแต่ให้เพียร์ซพาบินอยู่บนอากาศหลายครั้ง และได้พบเห็นกงเสี่ยวลู่กับฉางหลิงเดินทางด้วยเครื่องบินมาปักกิ่งได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
“ได้เลยพี่หยุน..ได้เรื่องยังไงฉันจะรีบบอกพี่ รับรองว่าพี่ต้องพอใจอย่างมากแน่!”
ถังเมิ่งร้องบอกหลิงหยุนแล้วรีบวางสายไปทันทีราวกับเกรงว่าหลิงหยุนจะเปลี่ยนใจ..
ตู๊ดๆๆ
หลิงหยุนได้ยินเสียงสัญญาณถูกตัดสายดังขึ้นจากปลายทางเขาก็แทบอยากจะเตะก้นถังเมิ่ง..
………..
ยี่สิบนาทีต่อมาเหล่ากุ่ยก็ขับบรถมาถึงที่หน้าประตูคลังอาวุธตระกูลหลิง
“นายน้อยสี่..ขออภัยที่ทำให้ท่านต้องคอย”
ทันทีที่ลงจากรถเหล่ากุ่ยก็ร้องทักทายหลิงหยุนอย่างเป็นทางการทันที
หลิงหยุนขมวดคิ้ว“เหล่ากุ่ย.. ท่านไม่ต้องมีมารยาทกับข้ามากจะได้หรือไม่ –ข้าไม่คุ้นเคย..”
เหล่ากุ่ยยิ้มกว้างพร้อมกับพูดขึ้นว่า“มันเป็นธรรมเนียมที่ต้องทำ เดี๋ยวท่านก็คุ้นเคยเองล่ะ..”
หลิงหยุนยกมือขึ้นห้าม“ห้ามมีมารยาทกับข้าอีก.. ท่านอยู่กับท่านปู่มานานเกินไป แต่อยู่กับข้าให้ทำตรงข้าม”
เหล่ากุ่ยฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มแล้วถามหลิงหยุนว่า “นายน้อยสี่.. ข้าได้ข่าวว่ามีคนเหยียบจมูกตระกูลเฉินกลางวันแสกๆ แล้วจับคนของตระกูลเฉินไปถึงสองคน! ข้าคิดว่าคนๆนั้นน่าจะเป็นท่าน..”
หลิงหยุนหัวเราะและพูดขึ้นว่า“ใช่แล้ว.. เป็นข้าเอง!”
จากนั้นหลิงหยุนก็ยกมือขึ้นตบไปบนหลังคารถแลนด์โรเวอร์พร้อมกับตอบกลับไปยิ้มๆ
“แล้วสองคนนั่นก็อยู่ในรถคันนี้!”
แต่แล้วหลิงหยุนก็พูดด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาดใจ“หน่วยเทพอินทรีย์จัดการปิดข่าวทั้งหมดไว้แล้วไม่ใช่รึ เหตุใดท่านจึงรู้ข่าวได้รวดเร็วเช่นนี้เล่า?”
เหล่ากุ่ยยิ้มพร้อมกับอธิบายต่อว่า“นายน้อยสี่.. ท่านคงจะยังไม่รู้ว่าหน่วยเทพอินทรีปิดข่าวได้เฉพาะคนธรรมดาสามัญเท่านั้น แต่ไม่สามารถพ้นหูพ้นตาเจ็ดตระกูลใหญ่ได้หรอก!”
“ทุกตระกูลคงจะรู้หมดแล้วสินะว่าเป็นฝีมือของข้า!”หลิงหยุนถามขึ้นอีกครั้ง
เหล่ากุ่ยตอบกลับไปทันที“ก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาใจอยากรู้เรื่องของนายน้อยสี่หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ตระกูลหลงกับตระกูลเย่น่าจะรู้แล้ว!”
หลิงหยุนร้องตะโกนออกมาว่า“นี่พวกมันสองตระกูลก็สนใจเรื่องของข้าด้วยรึ!”
ตระกูลหลิงตระกูลเกา และตระกูลเฉินนั้นแทบไม่ต้องพูดถึง ทั้งสามตระกูลต้องสนใจเรื่องของหลิงหยุนอยู่แล้ว ส่วนตระกูลซันนั้น แม้จะยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ แต่หลิงหยุนก็เชื่อว่าพวกมันยังคงจับตาดูหลิงหยุนอย่างไม่ให้คลาดสายตาแน่..
ถ้าเช่นนั้น..หากตระกูลหลงกับตระกูลเย่สนใจเรื่องของเขา ย่อมเท่ากับว่าเจ็ดตระกูลใหญ่ล้วนจับตาดูเขาอยู่ทั้งหมด!
เหล่ากุ่ยหัวเราะแล้วพูดยิ้มๆ “นายน้อยสี่.. ด้วยความสามารถของท่าน มีหรือที่ตระกูลใหญ่จะไม่สนใจ!”
ใบหน้าของหลิงหยุนแดงก่ำพร้อมกับตอบไปว่า“ข้าพอเข้าใจ.. แต่ข้าก็ยังคงกังวลใจอยู่ดี..”
“ไม่ทราบว่านายน้อยสี่เป็นกังวลเรื่องอะไร”
หลิงหยุนครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วจึงตอบไปว่า “ข้าเกรงว่าพวกมันจะเชื่อมโยงข้าเข้ากับตระกูลหลิงน่ะสิ!”
ชื่อของหลิงหยุนแห่งจิงฉูนั้นได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับเจ็ดตระกูลใหญ่แห่งปักกิ่งไม่น้อยและเหตุการณ์ในวันนี้ก็เป็นการประกาศว่าหลิงหยุนแห่งจิงฉูได้มาถึงปักกิ่งแล้ว..
แต่ตราบใดที่ยังหาหลิงเสี่ยวไม่พบหลิงหยุนก็ต้องการที่จะปิดบังฐานะนายน้อยสี่แห่งตระกูลหลิงไว้เสียก่อน!
เหล่ากุ่ยตอบกลับด้วยสีหน้าสงบนิ่ง“นายน้อยสี่.. เรื่องที่ท่านกังวลก็อาจเกิดขึ้นได้! เพราะฐานะของท่านเป็นเรื่องตระกูลใหญ่ต้องการรู้อย่างแน่นอน!”
“หลายวันมานี้ท่านเองก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับการช่วยเหลือตระกูลเกาจึงมีบางสิ่งบางอย่างที่ข้ายังไม่มีเวลาจะบอกกับท่าน..”
เหล่ากุ่ยทำเสียงเบาลงขณะที่พูดขึ้นว่า“เวลานี้.. เรื่องที่ท่านเป็นบุตรบุญธรรมของฉินจิวยื่อแห่งตระกูลฉินนั้น ตระกูลใหญ่ในปักกิ่งต่างก็ล่วงรู้กันหมดแล้ว!”
“และนี่คือเหตุผลใหญ่ที่ตระกูลซันยังคงไม่เคลื่อนไหวและยังไม่ลงมือจัดการกับท่าน..”
“ข้าได้ข่าวมาว่า..วันนี้ตระกูลหลง ตระกูลเย่ และตระกูลหลี่ ต่างก็ได้ส่งคนของตนเองไปยังตระกูลฉินในเจียงหนาน แน่นอนว่าพวกเขาต่างก็ส่งคนไปผูกสัมพันธไมตรีกับตระกูลฉิน..”
หลิงหยุนถึงกับร้องถามออกมาอย่างงุนงง“พวกเขาไปตระกูลเฉินเพราะข้านี่นะ”
เหล่ากุ่ยได้แต่ยิ้มพร้อมตอบกลับไปว่า“จะไม่ใช่เพราะท่านได้อย่างไรกันเล่า ชื่อเสียงของท่านได้ล่วงรู้ไปถึงหูของเหล่าตระกูลใหญ่แล้ว ท่านรู้หรือไม่ว่า หลังจากที่ตระกูลฉินเงียบหายไปนานถึงสิบแปดปี เวลานี้ตระกูลฉินกำลังจะกลับมาผงาดอีกครั้งแล้ว..”
หลิงหยุนถึงกับงุนงง..เมื่อพบว่าตนเองกลายเป็นบุคคลสำคัญไปแล้ว!
จนกระทั่งถึงตอนนี้นอกเหนือจากแม่ น้าหญิง และป้าเม่ยแล้ว เขาก็ไม่เคยพบเจอคนอื่นๆในตระกูลฉินมาก่อนเลย!
“แล้วเรื่องนี้ท่านปู่ของข้าล่วงรู้หรือยัง”
เหล่ากุ่ยหัวเราะหึหึ..“นายน้อยสี่.. ท่านอย่าได้ประมาทน้าหญิงของท่านที่อยู่จิงฉูเชียว!”
“อ่อ..ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ข้าพอเข้าใจแล้ว!”
การที่หลิงหยุนเดินทางมาปักกิ่งเพื่อพบกับบรรพบุรุษของตนเองนั้นเรื่องใหญ่โตเช่นนี้มีหรือที่ฉินตงเฉี่วยจะไม่รายงานให้ตระกูลฉินทราบ และเมื่อตระกูลฉินรู้ว่าหลิงหยุนเป็นลูกหลานตระกูลหลิง มีหรือที่จะไม่บอกกล่าวปู่ของเขาเช่นกัน?!
และนี่นับว่าเป็นเรื่องปกติ..แต่การที่ทั้งสองตระกูลจะไม่บอกกล่าวกันต่างหาก จึงจะเป็นเรื่องที่ผิดปกติ!
เมื่อเห็นว่าหลิงหยุนเข้าใจทุกอย่างแล้วเหล่ากุ่ยก็ตบบ่าหลิงหยุนอย่างสนิทสนม และร้องบอกอย่างตื่นเต้น
“นายน้อยสี่ท่านได้กลายเป็นบุคคลสำคัญ และทรงอิทธิพลกับแปดตระกูลใหญ่ไปแล้ว.. ท่านรู้หรือไม่”
“กำแพงมีหูประตูมีช่อง..เรื่องที่ท่านเป็นทายาทตระกูลหลิงคงยากที่จะปกปิดไว้ได้นาน..”
หลิงหยุนได้แต่เกาศรีษะและไม่คิดกังวลกับสิ่งใดอีกเขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ข้าไม่ได้กังวลใจเพราะเป็นห่วงตัวเองแต่ข้าเป็นห่วงท่านพ่อต่างหาก!’