ตอนที่ 358 ใครเป็นญาติคนไข้กันแน่ / ตอนที่ 359 เราไปจดทะเบียนสมรสกันนะ

เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย

ตอนที่ 358 ใครเป็นญาติคนไข้กันแน่

 

 

           คุณหมอที่สวมหูฟังสเตทโทสโคปเดินออกมา เขาขมวดคิ้วทันทีที่เห็นภาพชุลมุนวุ่นวายนอกห้อง “พวกคุณทำอะไรกันน่ะ?”

 

 

           จิ้นหยวนคำรามเสียงต่ำ “ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ”

 

 

           ลูกน้องรีบคลายมือออกทันที จิ้นหยวนครางเสียงฮึ ขณะที่กำลังจะเดินไปหาคุณหมอนั้น จู่ๆ หางตาก็แลเห็นเงาใครคนหนึ่งเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ฉีหย่วนเหิงชิงตัดหน้าเดินเข้าไปหาคุณหมอก่อน “คนไข้เป็นยังไงบ้างครับ?”

 

 

           จิ้นหยวนถูกเบียดจนกระเด็นไปอยู่ข้างหลัง เขาโกรธจนแทบกระอักเลือด ได้แต่สูดหายใจลึกแล้วเดินเข้าไปหาคุณหมอบ้าง “ใช่ครับ คนไข้เป็นยังไงบ้างครับ?”

 

 

           คุณหมอเห็นภาพเอะอะวุ่นวายตรงหน้าแล้วขมวดคิ้วแน่น “คนไข้ไม่ได้เป็นอะไรมาก หัวไหล่บวมช้ำนิดหน่อย แค่แผลภายนอกเท่านั้น พักผ่อนสักสองอาทิตย์ก็ไม่เป็นไรแล้ว”

 

 

           โชคดีที่เธอไม่ได้เป็นอะไร มิเช่นนั้น เขาต้องเล่นงานฉีหย่วนเหิงหนักแน่

 

 

           จิ้นหยวนฟังแล้วจ้องฉีหย่วนเหิงตาเขียวปั๊ด แอบลงบัญชีแค้นนี้เอาไว้ในใจอยู่เงียบๆ

 

 

           ฉีหย่วนเหิงรู้สึกไม่สบายใจมาก เขาเอ่ยถามคุณหมออย่างระมัดระวัง “แล้วเธอเจ็บตรงไหนอีกหรือเปล่าครับ?”

 

 

           “ไม่มีครับ แต่ใครเป็นญาติคนไข้กันแน่ครับ?” คุณหมอเอ่ยถาม

 

 

           สองหนุ่มต่างมองหน้ากัน จากนั้นเอ่ยขึ้นพร้อมกันโดยไม่นัดหมาย “ผมครับ!”

 

 

           “ผมต่างหากครับ!”

 

 

           จิ้นหยวนโกรธจนแทบกระอักเลือด

 

 

           คุณหมอมองหน้าทั้งสองแวบหนึ่ง รู้สึกว่าคนพวกนี้ไม่ปกติหรือเปล่า แต่ละคนดูเหมือนพวกนักเลงหัวไม้ไม่มีผิด แต่มานักเลงหัวไม้ที่ไหนจะแต่งตัวแบบนี้?”

 

 

           คุณหมอได้แต่ส่ายศีรษะ รู้สึกว่าตนไม่เข้าใจโลกของคนหนุ่มสาวจริงๆ ด้วย

 

 

           หลังจากคุณหมอเดินจากไปแล้ว สองหนุ่มขยับกายพร้อมกัน แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายขยับกายเช่นกันจึงหยุดชะงัก จากนั้นต่างจ้องอีกฝ่ายตาเขม็ง

 

 

           ฉีหย่วนเหิงเป็นฝ่ายทนไม่ไหวก่อน “จิ้นหยวน อย่าคิดว่าตัวเองอยู่ใกล้เธอแล้วจะทำอะไรฉันได้ ฉันจะบอกให้นะ ตราบใดที่เธอยังไม่แต่งงานกับนาย ฉันก็ยังมีโอกาสเสมอ”

 

 

           จิ้นหยวนปั้นหน้าเฉยชาโดยไม่ตอบโต้ใดๆ เขาส่งสายตาเป็นคำสั่งให้ลูกน้องที่ยืนอยู่ข้างๆ ลูกน้องปฏิบัติตามทันที ทั้งสองก้าวไปข้างหน้า คนหนึ่งจับแขน คนหนึ่งจับขาโดยไม่สนใจฉีหย่วนเหิงที่ดิ้นรนจะเป็นจะตาย ในที่สุดพวกเขาก็ลากตัวฉีหย่วนเหิงออกไปจนได้

 

 

           ใครใช้ให้เขาไม่มีลูกน้องล่ะ ไหนๆ ฝ่ายจิ้นหยวนก็มีคนเยอะกว่า เขาก็ต้องใช้คนให้เกิดประโยชน์สูงสุดสิ ก็ความเป็นสุภาพบุรุษมันกินไม่ได้นี่

 

 

           ในที่สุดจิ้นหยวนก็เดินเข้าไปในห้องคนไข้โดยไร้ตัวเกะกะอีก เฉียวซือมู่ได้สติแล้ว อาจเป็นเพราะคุณหมอตรวจอาการแล้วไม่เป็นอะไร สีหน้าที่เคยซีดเผือดจึงมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้าง อีกทั้งริมฝีปากยังแดงระเรื่อ หน้าตาเธอดูดีกว่าสภาพใกล้ตายเมื่อกี้เยอะมาก

 

 

           จิ้นหยวนเห็นเธอไม่เป็นอะไรแล้วเองกับตาจึงถอนหายใจโล่งอก เขานั่งลงข้างเธอ ความโกรธที่เห็นเธออยู่กับฉีหย่วนเหิงหายวับไปจนสิ้น เขาหลุบตาลงมองหัวไหล่ที่มีผ้าพันแผลพันเอาไว้ “ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า?”

 

 

           เธอพยักหน้าน้อยๆ ทำปากจู๋อย่างออดอ้อน “เจ็บสิคะ พวกคุณนี่ทำตัวเป็นเด็กๆ ไปได้ ทำไมเจอ หน้ากันทีไรเป็นต้องต่อยกันทุกทีด้วย?”

 

 

จิ้นหยวนขยับยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ก็เขากวนโมโหนี่นา”

 

 

           คำตอบตรงไปตรงมาของเขาทำเอาเธอพูดไม่ออกทันที ได้แต่มองหน้าเขาแล้วทอดถอนใจเบาๆ “พวกคุณต่อยกันทีไร ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองเหมือนของเล่นชิ้นหนึ่งที่ถูกพวกคุณแย่งกันไปมาเท่านั้น ใครแรงเยอะกว่าฉันก็ตกเป็นของคนนั้น”

 

 

           “พูดเหลวไหล คุณเป็นของผมคนเดียวเท่านั้น เขาก็เป็นแค่ไอ้บ้าที่ไม่รู้จักเจียมตัวเท่านั้น ต่อไปคุณไม่ต้องไปเจอเขาอีกนะ ได้ยินไหม?” น้ำเสียงเขาแฝงรอยหึงหวง

 

 

           เธอมองหน้าเขาแล้วหัวเราะเบาๆ “ฉันเห็นเขาเป็นแค่เพื่อนเท่านั้นนะคะ”

 

 

           “เป็นเพื่อนก็ไม่ได้” เขาสั่งอย่างเด็ดขาด “คุณเห็นเขาเป็นเพื่อน แต่เขาไม่ได้มองคุณแบบนั้นนี่ เชื่อผมนะคนดี”

 

 

 

 

ตอนที่ 359 เราไปจดทะเบียนสมรสกันนะ

 

 

           เฉียวซือมู่ทำปากจู๋ “อยู่แต่ในบ้านฉันก็เบื่อเหมือนกันนี่คะ”

 

 

           จิ้นหยวนครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น “รอให้ผมสะสางเรื่องยุ่งๆ ที่บริษัทให้เสร็จเรียบร้อยก่อน แล้วผมจะพาคุณไปเที่ยวนะ” เอ่ยจบพลันเห็นสีหน้าเธอแปลกไป จึงรู้ทันทีว่าเพราะเหตุใด เขารีบเอ่ยเสริมทันที “ไปเที่ยวจริงๆ ผมไม่ได้หลอกคุณนะ”

 

 

           เฉียวซือมู่หวนนึกถึงเรื่องในอดีตทีไร เป็นต้องครั่นเนื้อครั่นตัวทุกครั้งไป เธอทำเสียงฮึดฮัด “ใครจะไปรู้ว่าคุณพูดจริงหรือว่าโกหก ตอนนี้คุณเป็นหนุ่มโสดเนื้อหอมแล้วนี่ เป็นชายในฝันของผู้หญิงตั้งมากมาย ถึงจะเป็นการแต่งงานครั้งที่สองก็เถอะ แต่ก็ยังมีผู้หญิงอีกตั้งเยอะที่อยากจะแต่งงานกับคุณ แล้วฉันจะไปมีความหมายอะไร”

 

 

           คำพูดเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกหึงหวง จนจิ้นหยวนรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ แต่เรื่องนั้นเขาเป็นคนผิดเองจริงๆ นั่นแหละ จึงได้แต่ยิ้มแหย “ครับ ไม่แต่งครั้งที่สองหรอกครับ ต่อให้แต่งจริง เจ้าสาวก็ต้องเป็นคุณ โอเคไหมครับ”

 

 

           เขานึกถึงคำพูดของฉีหย่วนเหิงเมื่อครู่นี้แล้วรู้สึกว่าควรจำกัดสถานะระหว่างเขากับเธอให้มันชัดเจนได้แล้ว ฉีหย่วนเหิงจะได้เลิกจ้องเธอตาเป็นมันเสียที

 

 

           เป็นความคิดที่ดีมาก ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าช่างเป็นความคิดที่ดีเลิศจริงๆ จึงเอ่ยขึ้น “รอให้คุณหายดีแล้วเราไปจดทะเบียนสมรสกันนะ”

 

 

           เฉียวซือมู่ยังคงลังเลใจอยู่ว่าคำพูดเขาเชื่อถือได้หรือไม่ ทันใดนั้น คำพูดประโยคต่อมาของเขาเหมือนฟ้าผ่าที่ผ่าลงกลางกระหม่อมจนเธอมึนงง เธอเอ่ยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ “คุณพูดว่าอะไรนะ?”

 

 

           จดทะเบียนสมรส? เธอไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม?

 

 

           จิ้นหยวนพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ใช่ เราไปจดทะเบียนสมรสกันนะ ทำแบบนี้ ต่อให้คุณแม่ไม่ชอบคุณ ท่านก็ต้องยอมรับสะใภ้คนนี้”

 

 

           เฉียวซือมู่สติกระเจิดกระเจิงเพราะความตกใจ เขาเห็นท่าทางไม่หือไม่อือของเธอแล้วชักไม่พอใจ “ดูเหมือนคุณจะไม่อยากไปนะ?”

 

 

           คำพูดแสดงความไม่พอใจของเขาทำให้เธอตกใจจนต้องรีบส่ายศีรษะเป็นพัลวัน “เปล่า ไม่ใช่นะ ฉันแค่รู้สึกว่ามันกะทันหันเกินไป ฉัน… ฉันยังไม่ได้บอกคุณแม่เลยนะคะ”

 

 

           “งั้นก็ดี พรุ่งนี้ผมจะเป็นคนเรียนท่านเอง ท่านจะได้มาเยี่ยมคุณด้วย คุณจะได้ไม่รู้สึกเบื่อมากเกินไป” แม้เธอจะไม่ได้บาดเจ็บมากอะไร แต่เพื่อความปลอดภัย จิ้นหยวนจึงตัดสินใจให้เธอนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินกะทันทัน

 

 

           “ก็… ก็ได้ค่ะ” เธอพยายามเค้นเสียงตอบอย่างยากเย็น โอ้ พระเจ้า นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมคุยไปคุยมาถึงลามไปถึงเรื่องจดทะเบียนสมรสได้ล่ะ?

 

 

           นี่มันหักมุมเร็วเกินไปแล้วนะ

 

 

           เธอไม่รู้ว่าที่จิ้นหยวนพูดแบบนี้เป็นเพราะแรงกระตุ้นจากฉีหย่วนเหิง ความจริงเขาคิดเพียงแค่ว่าคุณแม่ยังไม่ยอมรับในตัวเธอ จึงคิดจะเลื่อนทุกอย่างออกไปก่อน แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นแล้ว

 

 

           ทันทีที่พวกเขาจดทะเบียนสมรสกัน เธอจะกลายเป็นสะใภ้ตระกูลจิ้นซึ่งไม่มีใครกล้าปฏิเสธอีก

 

 

           แต่ดูเหมือนการตัดสินใจของเขาจะเป็นเรื่องกะทันหันเกินไปอย่างที่เธอบอกจริงๆ เพราะตอนที่เขาโทรศัพท์หาว่าที่แม่ยายนั้น ท่านเองก็ตกใจมากเหมือนกัน ตั้งนานกว่าจะควานหาเสียงตัวเองเจอ “เรื่องจดทะเบียนสมรส เธอพูดจริงเหรอ?”

 

 

           “จริงครับ ความจริงผมกะจะพาเธอไปจดทะเบียนเลย แต่เธอบอกว่าต้องให้คุณป้ายินยอมก่อน ผมก็เลยโทรมาขออนุญาตคุณป้าน่ะครับ” จิ้นหยวนเอ่ยเสียงหนักแน่น

 

 

           เวินเยวี่ยฉิงเรียกสติกลับมา อารมณ์เริ่มกลับมาเป็นปกติ “ฟังจากน้ำเสียงเธอแล้ว ถ้าป้าไม่อนุญาตล่ะ?”

 

 

           “ผมก็จะจับเธอมัดแล้วพาไปจดทะเบียนครับ” เขาเอ่ยตอบ

 

 

           ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ตอนที่เธอได้ยินคำตอบนี้เธอควรจะโมโหถึงจะถูก ว่าที่ลูกเขยคนนี้ทั้งเผด็จการทั้งเอาแต่ใจตัวเอง นี่มันเป็นการบังคับให้แต่งงานชัดๆ

 

 

           แต่เธอฟังแล้วกลับชื่นชมเขาแทนเสียนี่ จิ้นหยวนคนนี้รักลูกสาวเธอมาก รักมากจนเข้ากระดูกดำแล้ว ถ้าเช่นนั้น ความกังวลใจของเธอคงเป็นเรื่องเกินจำเป็นเสียแล้ว

 

 

           เธอตั้งสติแล้วเอ่ย “แล้วเธอยังจะมาถามอีกทำไม? ไม่เห็นจำเป็นเลยนี่” เอ่ยจบแล้วกดวางสายไปเลย