“ท่านผู้นำนิกายโหว คงต้องทำอะไรสักอย่างเรื่องศิษย์หญิง หลังจากที่ซูหยางมาถึงนับตั้งแต่วานนี้ พวกเธอก็พากันบ้าคลั่ง”
เช้าวันถัดมาเหล่าผู้อาวุโสนิกายต่างก็พากันเข้าไปหาโหวเยินเจียพร้อมกับร้องเรียนในเรื่องสถานการณ์
โหวเยินเจีมองดูใบหน้าที่โกรธเกรี้ยวและหมดเรี่ยวแรงตรงหน้าเขาด้วยรอยยิ้มขื่นขม ถึงแม้ว่าพวกเขาต้องการความช่วยเหลือจากเขา แต่ก็ไม่มีอะไรที่เขาจะสามารถทำได้ในสถานการณ์นี้จริงๆนอกจากจะรอให้หวังชูเหรินกลับมา ซึ่งไม่ใช่ว่าพวกเขาจะสามารถเตะซูหยางออกจากนิกายเพียงเพราะว่าเป็นที่นิยมในหมู่หญิงสาวเกินไปได้สักหน่อย
“พวกเจ้าต้องทนต่อไปนับแต่บัดนี้ เขาจักจากไปในอีกสามวันเป็นอย่างมาก” โหวเยินเจียกล่าวกับผู้อาวุโสนิกายที่ไม่พึงพอใจ
“ข้ามิสามารถทนยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้อีกแม้สักชั่วโมง อย่าว่าแต่สามวัน”
“ทำไมเรามิเพียงแค่ยอมให้ศิษย์เหล่านี้ไปพบกับซูหยางล่ะ นั่นจะทำให้ชีวิตของพวกเราง่ายขึ้น”
“แล้วก็เพิกเฉยต่อกฏของนิกายนะรึ มีเพียงแต่คนที่มีคุณค่าเท่านั้นที่ยอมให้เข้าไปในเขตกลาง และก็เป็นเช่นนี้มาตลอดหลายร้อยปีแล้ว อุกอาจเกินไปแล้ว”
“กฏสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีโอกาสพิเศษที่ยอมให้ศิษย์ทั่วไปเข้าไปในเขตกลาง พวกเราเพียงแค่ทำให้มันเป็นเหมือนกับว่าสถานการณ์ในปัจจุบันของเราเป็นกรณีพิเศษ”
“ท่านผู้นำนิกาย ท่านคิดว่าเราควรทำอย่างไรดี พวกเราควรทำให้นี่เป็นโอกาสพิเศษหรือไม่”
สุดท้ายผู้อาวุโสนิกายก็หันไปดูโหวเยินเจียเพื่อหาคำตอบ
“มีพวกเจ้าอยู่สิบเอ็ดคนในที่นี้ ทำไมพวกเจ้ามิลงคะแนนโดยปกปิดตัวตนล่ะ” เขาแนะนำ
ผู้อาวุโสนิกายพยักหน้าและตัดสินใจลงคะแนนในเรื่องนี้โดยไม่เปิดเผยตัวตน
“เช่นนั้นเราจักลงคะแนนว่าเราควรยอมให้ศิษย์เหล่านี้พบกับซูหยางดีหรือไม่”
สองสามนาทีหลังจากนั้น ผลลัพธ์ก็ออกมา
ห้าคนลงคะแนนขัดกับการตัดสินใจนั้นในขณะที่หกคนลงคะแนนเห็นด้วยกับการตัดสินใจนั้น
“ตัดสินได้แล้ว เราจักยอมให้ศิษย์เข้าไปในเขตกลางเพื่อพบกับซูหยาง แต่ทว่าถ้าพวกเขาเดินสะเปะสะปะ พวกเราจักลงโทษพวกเขาทันที”
ครั้นเมื่อตัดสินใจได้แล้ว ผู้อาวุโสนิกายก็ประกาศข่าวให้กับศิษย์
เมื่อได้ยินข่าวนี้ ศิษย์หญิงหลายร้อยก็ตรงเข้าไปยังที่พักของซูหยางอย่างรวดเร็ว สร้างความงงงันให้กับทั่วทั้งนิกาย
“ก-เกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่” หลินเชาชางร้องออกมาดังๆเมื่อเธอเห็นภาพด้านนอกหน้าต่างในตอนเช้าตรู่
มีแถวของศิษย์นับไม่ถ้วนต่อคิวกันจากตรงหน้าประตูบ้านซูหยาง และพวกเธอทั้งหมดหากไม่เป็นศิษย์ในก็เป็นศิษย์นอก
“เกิดอะไรขึ้นมีแต่ศิษย์หลักกับผู้อาวุโสนิกายที่ยอมให้อยู่ภายในเขตกลางมิใช่รึ”
หลังจากนั้น ศิษย์อวี้ก็ปรากฏตัวขึ้นที่บ้านของเธอและอธิบายสถานการณ์ให้เธอฟัง
“ผู้อาวุโสนิกายตกลงยอมให้เหล่าศิษย์พบกับซูหยางงั้นรึ”
หลินเชาชางพึมพัมด้วยสีหน้าสับสน
“นี่เป็นสถานการณ์ที่มิเคยมีมาก่อน” ศิษย์อวี้ถอนหายใจ “ข้าดีใจที่ข้าได้พบกับซูหยางเมื่อคืน”
“…”
หลินเชาชางพูดไม่ออก ในเมื่อเธอไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองต่อคำพูดเช่นนั้นอย่างไร
ในเวลานั้นภายนอกบ้านของเธอ ซูหยางกำลังวุ่นวายอยู่กับการเซ็นลายเซ็นให้กับเหล่าศิษย์
“ท่านสามารถจับมือกับข้าได้ไหม พี่ชายซูหยาง” หนึ่งในบรรดาศิษย์ถามเขาด้วยดวงตาอ้อนวอน
ซูหยางพยักหน้าและยื่นมือของเขาออกรับรู้ถึงผิวอ่อนนุ่มของศิษย์คนนั้นในเวลาต่อมา
และแม้ว่าจะมีน้อยมาก แต่ก็ยังมีศิษย์ชายสองสามคนในแถว พวกเขาคิดว่าถ้าพวกเขาได้ลายเซ็นของซูหยาง พวกเขาก็จะสามารถใช้มันในการจีบหญิงอื่นในอนาคต
“พี่ชายซูหยาง ท่านสามารถเซ็นชื่อตรงนี้ได้ไหม” หนึ่งในศิษย์หญิงพลันยกชายผ้าขึ้นและชี้ไปยังกางเกงในสีขาวของเธอ สร้างความงงงันให้กับเหล่าศิษย์ที่อยู่เบื้องหลังเธอ
เห็นเช่นนั้น ซูหยางก็ยังยิ้มและพยักหน้า
ศิษย์วัยรุ่นนั้นจึงหันบั้นท้ายไปหาเขาและก้มตัวลง
โดยไม่ลังเล ซูหยางก้มตัวลงและจับบั้นท้ายของเธอด้วยมือของเขาจนทำให้ศิษย์คนนั้นร้องครางออกมาด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่เขาจะเริ่มเขียนชื่อตนเองลงบนกางเกงในของศิษย์คนนั้น
“ข-ขอบคุณพี่ชายซูหยาง ข้าจักมิซักกางเกงในตัวนี้อีกเลย” ศิษย์วัยรุ่นขอบคุณเขาด้วยใบหน้าแดงก่อนที่จะรีบวิ่งจากไป ปล่อยให้ผู้คนที่อยู่ที่นั่นพูดไม่ออก
ครั้นเมื่อซูหยางเสร็จสิ้นคำขอเจ้าปัญหาแรกจากศิษย์คนนั้น ศิษย์คนอื่นๆต่างก็เริ่มพากันขอให้เขาเซ็นชื่อในที่ซึ่งไม่ใช่ผ้าเช็ดหน้าหรือกระดาษของตนเอง
อย่างไรก็ตามเมื่อเหล่าศิษย์ปรากฏตัวมากยิ่งขึ้น คำขอก็ยิ่งอุกอาจยิ่งขึ้นจนกระทั่งคาบลูกคาบดอก
“พี่ชายซูหยาง ท่านพอจะช่วยเซ็นตรงนี้ได้ไหม”
หนึ่งในเหล่าศิษย์พลันดึงด้านหนึ่งของชุดของเธอลง เผยให้เห็นอกข้างหนึ่งของเธอและบราสีแดงที่รองรับมันไว้
“แน่นอน” ซูหยางเซีนลงไปด้วยรอยยิ้มสงบบนใบหน้า ราวกับว่าเขาทำเช่นนี้มาหลายครั้งก่อนหน้านี้แล้ว
เวลาหลายชั่วโมงผ่านไปนับตั้งแต่ซูหยางเริ่มเซ็นลายเซ็นให้กับบรรดาแฟนหญิงของเขา แต่ก็แถวด้านนอกบ้านของเขาก็ยังคงไม่มีวี่แววที่จะซาลง โชคยังดีที่เขายังไม่มีอะไรทำจนกว่าหวังชูเหรินจะกลับมา ดังนั้นเขาจึงเดินหน้ายอมเสียเวลาทำให้เหล่าศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิงมีความสุข
“ข้ามิอยากเชื่อ มันเหมือนกับมีละครสัตว์สร้างขึ้นด้านนอกบ้านข้า” หลินเชาชางพยายามนับครั้งไม่ถ้วนที่จะหาความสงบและฝึกวิชา แต่เธอก็ตระหนักในไม่ช้าว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะฝึกโดยมีความวุ่นวายอยู่ด้านนอก ดังนั้นเธอจึงยอมยกเลิกการฝึกทั้งหมดและได้แต่จ้องมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยใบหน้างุนงง คิดสงสัยในใจอย่างเงียบๆว่าเมื่อไหรทั้งหมดนี้จะจบสิ้นเสียที
สองวันหลังจากนั้นสุดท้ายหวังชูเหรินก็กลับมายังนิกาย และเธอก็พลันได้รับการต้อนรับจากโหวเยินเจียและผู้อาวุโสนิกายหลายคน
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกท่านทั้งหมดจึงดูหมดเรี่ยวแรง” หวังชูเหรินถามพวกเขาด้วยใบหน้างงงัน
ผู้อาวุโสนิกายทำการอธิบายให้หวังชูเหรินฟังถึงสถานการณ์ แต่เมื่อรู้ว่าซูหยางได้รอเธอกลับเป็นเวลาสามวันแล้ว ใบหน้าเธอก็ซีดเผือด
“ทำไมพวกท่านมิเรียกข้ากลับมาเร็วกว่านี้” เธอตวาดใส่พวกเขาอย่างรวดเร็ว
“ต-แต่ท่านสั่งพวกเราอย่างเคร่งครัดว่าห้ามติดต่อท่านนอกจากว่ามันเป็นเรื่องเร่งด่วน…” หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายกล่าวด้วยใบหน้าตกตะลึง
“ถ้าซูหยางมาเองที่นี่เพื่อหาข้า นั่นหมายความว่านั่นเป็นเรื่องเร่งด่วน บ้าชิบ” หวังชูเหรินไม่สนใจพวกเขาอีกต่อไปและรีบมุ่งหน้าไปยังเขตกลาง ที่ซึ่งซูหยางได้รอคอยอยู่