ภาค 5 ผู้ขี่มังกรสู่ฟากฟ้า บทที่ 404 คำหยอกล้อในวันวาน กลายเป็นจริงในวันนี้

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

พวกเยี่ยนตี๋ได้ยินดังนั้น ก็มองหยวนเจิ้งเฟิงและฟู่เอินซู

หยวนเจิ้งเฟิงยิ้มพร้อมพยักหน้า “ศิลาจากเขาอื่นสามารถเจียระไนหยกได้[1] มีความพิเศษอย่างแท้ริง”

ฟู่เอินซูกล่าว “การได้ของล้ำค่าเช่นนี้มา สำหรับสำนักเราเป็นความยินดีที่อยู่เหนือความคาดหมาย”

ไม่ว่านิสัยและความประพฤติจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะมีพรสวรรค์หรือคุณสมบัติมากเพียงใด จอมยุทธ์ที่มีระดับค่อนข้างสูงย่อมกระตือรือร้นต่อวรยุทธ์ของตัวเอง

พอได้ยินว่าเจดีย์สีแดงมีประโยชน์เช่นนี้ พวกเยี่ยนตี๋พลันตื่นเต้น พากันมาถึงด้านหน้าเจดีย์

“ให้ใช้ครั้งละคน คนเยอะไปจะไม่มีปฏิกิริยา” เยี่ยนจ้าวเกอพูดพลางถอยไปด้านข้าง

เยี่ยนตี๋วางมือลงบนเจดีย์สีแดงเป็นคนแรก ใส่ปราณวิญญาณของตนเข้าไป ทำให้เจดีย์สั่นไหวเล็กน้อยในทันที

หลังจากนั้นนานทีเดียว เยี่ยนตี๋ก็ปล่อยมือ แต่ไม่ได้พูดอะไร เพียงยืนนิ่งพร้อมใบหน้าครุ่นคิดเท่านั้น

ผู้อาวุโสในสำนักคนอื่นๆ ที่อยู่บริเวณนั้นก้าวขึ้นมาตามลำดับ ผลัดกันสัมผัสเจดีย์สีแดง

หลังจากทุกคนสัมผัสเจดีย์องค์นั้นเสร็จ บนใบหน้าของแต่ละคนต่างปรากฏแววครุ่นคิด มีสมาธิอยู่ในขั้นสูงสุด

เยี่ยนจ้าวเกอ หยวนเจิ้งเฟิง และฟู่เอินซูยืนอยู่ด้านข้าง มองอีกฝ่ายแล้วยิ้มขึ้นมา หลังจากพวกเขาทำความเข้าใจเจดีย์สีแดงแล้ว ล้วนมีสภาพเดียวกัน

พวกเขามิได้เร่งรัดพวกเหยี่ยนตี๋ เพียงยืนอยู่เฉยๆ รอคอยด้วยความอดทน

ผ่านไปพักหนึ่ง คนที่ทำความเข้าใจเจดีย์สีแดงได้ล้วนได้สติกลับมา

ผู้อาวุโสจาง ผู้อาวุโสสูงสุดจุ๊ปากชมเชย “ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ บางทีสิ่งที่ได้รับอาจมีจำกัด แต่เมื่อเชื่อมต่อกับสิ่งที่ได้ร่ำเรียนมาในอดีต ก็คล้ายกับเกิดความคิดใหม่อะไรบางอย่าง

“แต่ความคิดนั้นเหมือนจะปรากฏขึ้นมาเพียงแวบเดียวเท่านั้น ต่อให้คว้าไว้ได้ก็ต้องทำความเข้าใจอย่างละเอียด”

ผู้อาวุโสเหอที่อยู่ด้านข้างกล่าวว่า “เอินซูพูดถูก น่ายินดีจริงๆ”

นางมองไปรอบๆ “การพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ถือเป็นความยากลำบากมหาศาล เมื่อมีพลังฝึกปรือเหมือนพวกเราในตอนนี้ คิดจะเพิ่มระดับขึ้น ช่างยากเย็นแสนเข็ญ ยากจะยืมพลังจากภายนอก ได้แต่ต้องคลำทางกันเอง”

“ตอนนี้ เพราะมีเสาหินที่จ้าวเกอเอากลับมาจากมหาทะเลทรายแดนตะวันตกและเจดีย์สีแดง เราจึงคว้าโอกาสได้ถึงสองครั้ง มีความสำคัญต่อเขากว่างเฉิงของพวกเรายิ่ง!”

ทุกคนไม่มีทางเพิ่มพลังขึ้นพร้อมกันได้

เป็นอย่างที่ผู้อาวุโสเหอพูด การพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ยากลำบากอย่างแท้จริง

โดยเฉพาะมหาปรมาจารย์ขั้นบรรลุธรรมอย่างเยี่ยนตี๋ นาง และผู้อาวุโสจาง

อีกขั้นหนึ่งคือจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ จากขั้นบรรลุธรรมสู่จอมยุทธ์ระดับศักดิ์สิทธิ์ ช่างเป็นเรื่องที่ยากเย็นยิ่งนัก

แต่ก็เพราเหตุนี้ ถ้าหากพัฒนาขึ้นได้จริงๆ ต่อให้ไม่บรรลุจากขั้นบรรลุธรรม กลายเป็นจอมยุทธ์ระดับศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่ได้รับก็ยังน่าดูชม

ถึงอย่างไร นี่ก็มิใช่คนเดียว แต่ยอดฝีมือระดับสูงของเขากว่างเฉิงอาจจะก้าวออกไปข้างหน้าได้ครึ่งก้าวพร้อมกัน

แม้ดูไม่โดดเด่น แต่หลายครั้ง ความแตกต่างเพียงน้อยนิดในการต่อสู้ของยอดฝีมืออาจ ก็ก่อให้การตัดสินแพ้ชนะได้เลยทีเดียว

เดิมที จอมยุทธ์ระดับมหาปรมาจารย์ของเขากว่างเฉิง เหนือกว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหกอยู่แล้ว

ถึงแม้หยวนเจิ้งเฟิงจะบรรลุเป็นจอมยุทธ์ระดับศักดิ์สิทธิ์ ทว่าซินตงผิงถูกสังหารทิ้ง ทำให้เขากว่างเฉิงขาดมหาปรมาจารย์ขั้นบรรลุธรรมที่มีพลังระดับสุดยอดสองคน

แต่เยี่ยนตี๋เลื่อนเป็นมหาปรมาจารย์ขั้นที่สิบ ขั้นบรรลุธรรมระยะท้าย ก็มากพอจะทำให้เขากว่างเฉิงสามารถเรียกตัวเองว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในระดับมหาปรมาจารย์ได้ต่อ

ในสายตาของจอมยุทธ์แห่งมหาอำนาจแปดพิภพ เยี่ยนตี๋ได้รับการปฏิบัติแตกต่างกัน

เมื่อเขาเข้าสู่ขั้นบรรลุธรรม ก็หมายความว่าคู่ต่อสู้มิใช่จอมยุทธ์ระดับมหาปรมาจารย์อีกต่อไป แต่เป็นจอมยุทธ์ระดับศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น

หลังจากสงครามกว่างเฉิง เขากว่างเฉิงกลายเป็นขุมกำลงในแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่ง ในสายตาของคนจำนวนมากอีกครั้ง

ที่ทุกคนคิดแบบนี้ เพราะนอกจาหยวนเจิ้งเฟิงจะกลายเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ และสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เสียมาตรสุริยันวัดสวรรค์แล้ว ยังมีเหตุผลอีกสองประการ

ประการแรก เยี่ยนตี๋กลายเป็นมหาปรมาจารย์ขั้นบรรลุธรรม

อีกประการคือ เยี่ยนจ้าวเกอแสดงความสามารถบดขยี้คนที่มีอายุเท่ากัน ทำให้ทุกคนเห็นถึงศักยภาพและพลังสนับสนุนที่สูงส่งกว่าใครของเขากว่างเฉิง

ในสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าหากจอมยุทธ์ระดับสูงแห่งกว่างเฉิงมีพลังเพิ่มขึ้นทุกคน ต่อให้จะแค่ครึ่งก้าว ย่อมส่งผลกระทบอย่างชัดเจน

หยวนเจิ้งเฟิงในฐานะจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ก็ได้รับประโยชน์เช่นกัน ทำให้จิตใจของเขาฮึกเหิมมากขึ้น

มหาปรมาจารย์ขั้นบรรลุธรรมสามคน คุ้มค่ากับการรอคอยที่สุด

คนอื่นได้สติ มีเพียงแต่เยี่ยนตี๋กับฟางจุ่นเท่านั้นที่ยังครุ่นคิดอยู่

ทุกคนเห็นดังนั้น ไม่เพียงไม่กังวล กลับมีใบหน้ายินดี

ครู่ต่อมา ฟางจุ่นที่ปิดตาครุ่นคิดก็ระบายลมหายใจ ก่อนจะลืมตาขึ้นมา

หยวนเจิ้งเฟิงถามด้วยรอยยิ้ม “เป็นอย่างไร”

ฟางจุ่นตอบ “ห่างเพียงแค่กระดาษแผ่นเดียว”

ทุกคนต่างหัวเราะขึ้น “ประเสริฐ!”

ครู่ต่อมา ในที่สุดเยี่ยนตี๋ก็ลืมตาขึ้นสบกับดวงตาที่เต็มไปด้วยความสนใจของทุกคน ก่อนจะเอ่ยอย่างเรียบเฉย “ต้องไตร่ตรองอย่างละเอียด”

พยวกหยวนเจิ้งเฟิงมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น แต่มิใช่เพราะกังวล กลับมีความคาดหวังหลายอยู่ส่วน

“อืม เรื่องแบบนี้เป็นการทำความเข้าใจส่วนตัว” หยวนเจิ้งเฟิงพยักหน้าช้าๆ จากนั้นก็พูดกับคนอื่น “เนื่องจากทุกคนทำความเข้าใจเจดีย์องค์นี้พร้อมกันไม่ได้ ต้องเข้ามาทีละคน ดังนั้นในเวลาสั้นๆ นี้จึงจำเป็นต้องเรียงลำดับก่อนหลัง”

“ความหมายของข้าคือ มอบให้เยี่ยนตี๋ ศิษย์น้องจาง และศิษย์น้องเหอสลับกันเก็บไว้ก่อน แน่นอนว่าจ้าวเกอใช้ได้ตามใจ”

พวกฟางจุ่นพยักหน้าพร้อมกัน ฟางจุ่นอาศัยแค่เมื่อครู่ก็เพียงพอแล้ว ต่อจากนี้จำเป็นต้องเข้าฌานบำเพ็ญเพียร

เยี่ยนตี๋กล่าว “สมควรมีท่านด้วย”

นี่มิใช่การให้ตามมารยาท หากหยวนเจิ้งเฟิงที่เป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์พัฒนาขึ้นอีก จะต้องเห็นผลลัพธ์ทันที

หลังจากทุกคนปรึกษากันเสร็จ หยวนเจิ้งเฟิงก็กล่าวกับเยี่ยนจ้าวเกอด้วยรอยยิ้ม “ครั้งนี้เพื่อช่วยเหลือเมืองทะเลมรกตจากภัยพิบัติ และช่วยให้เมืองทะเลมรกตให้กำเนิดกระบี่สัตยาทะเลมรต จ้าวเกอจึงต้องสละเตาผลึกหินชั้นในของตัวเองไป ครั้งนี้กลับสำนักครั้งนี้ เจ้าก็พักผ่อนสักหน่อยเถิด”

เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะแหะๆ “ข้ารอท่านพูดคำนี้อยู่พอดี้ลยขอรับ”

ทุกคนหัวเราะ เยี่ยนตี๋เห็นสภาพเกียจคร้านของเขา จึงส่ายหน้าอย่างไม่พอใจ “เจ้านี่นะ…”

หลังจากหัวเราะเสร็จ ดวงตาของเยี่ยนตี๋ก็เต็มไปด้วยยินดีและความภูมิใจ “ใกล้ถึงเวลาเก็บเกี่ยวแล้ว”

ชายหนุ่มตาเป็นประกาย “ถึงขั้นไหนแล้วขอรับ”

เยี่ยนตี๋กล่าว “อาวุธวิญญาณชั้นกลางมิใช่ปัญหาแล้ว เป้าหมายในตอนนี้คืออาวุธวิญญาณชั้นยอด แน่นอนว่าถ้าเป็นอาวุธวิญญาณชั้นยอด ต้องใช้วัตถุดิบหลักที่มีประสิทธิภาพสูงมาก”

เยี่ยนเจ้าเกออมยิ้มเล็กน้อย

เขากว่างเฉิงจริงจังกับการเพิ่มระดับและปรับแต่งเตาผลึกหินชั้นในให้สมบูรณ์มาโดยตลอด โดยเฉพาะตอนนี้ หลังจากกำจัดภัยซ้อนเร้นอย่างบึงไร้ขอบเขตไปแล้ว พวกเขาก็ยิ่งอยากพัฒนาให้มากขึ้น

หลังจากสงครามกว่างเฉิง เยี่ยนตี๋ได้รับตำแหน่งจ้าสำนัก ส่วนใหญ่เขาอยู่ที่เขากว่างเฉิงไม่ได้ออกไปไหน นอกจากจะต้องจัดการภารกิจของสำนักแล้ว สมาธิล้วนจดจ่ออยู่ที่เตาหลอมผลึกหินชั้นใน

เยี่ยนจ้าวเกอเดินทางอยู่ข้างนอก ก็มิได้ว่างเว้นจากการทำความเข้าใจเตาผลึกหินชั้นในเช่นกัน หลังจากสรุปประสบการณ์และข้อมูลแล้วเสร็จ ก็ส่งมาให้บิดาที่สำนักอย่างต่อเนื่อง

เวลาล่วงเลยถึงตอนนี้ ตัวเยี่ยนจ้าวเกอมีความสามารถในการผลิตอาวุธวิญญาณชั้นล่างจำนวนมาก ขอแค่มีวัตถุดิบมากพอ ก็เปิดเตาได้ไม่จำกัดครั้ง

ส่วนความยากในการสร้างอาวุธวิญญาณชั้นกลาง ปัจจุบันได้ถูกพิชิตแล้วเรียบร้อย

คำพูดหยอกล้อระหว่างเยี่ยนจ้าวเกอกับศิษย์ในสำนักเมื่อครั้งอดีตที่ว่า ต่อจากนี้เมื่ออยู่นอกสำนัก ให้โยนอาวุธวิญญาณทับศัตรู ตอนนี้กลายเป็นจริงขึ้นมาแล้ว

เขาออกจากตำหนักของสำนักพร้อมกับเยี่ยนตี๋ สองพ่อลูกเดินอยู่บนทางเดินบนเขา บิดามองบุตร สายตาที่มักจะเคร่งขรึมดุดัน ปรากฏความอ่อนโยนขึ้น

“ใกล้ถึงช่วงเวลาสิบปีอีกครั้งแล้ว” เยี่ยนตี๋เอ่ยเสียงเบา “ตอนนี้ข้าเป็นเจ้าสำนัก มีภารกิจติดตัว ไม่อาจออกจากสำนักเพราะเรื่องส่วนตัวได้ ตอนนี้พลังฝึกปรือของเจ้าเริ่มใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น ครั้งนี้เจ้าไปที่บึงทะเลมายาสักครั้งเถอะ”

เยี่ยนตี๋พูดพลางส่งของสิ่งหนึ่งให้บุตรชาย

เยี่ยนจ้าวเกอสิ่งของนั้นมา มันปิ่นหยกชิ้นหนึ่ง มีลายกระเรียนหิมะ วิจิตรงดงามยิ่ง

……………………………………….

[1] ศิลาจากเขาอื่นสามารถเจียระไนหยกได้ สุภาษิตจีน หมายถึง ความสามารถจากคนอื่นสามารถทำให้เราพัฒนาได้