บทที่ 555 ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุปัจจัย

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

ฉีเฟยอวิ๋นกลับมาถึงจวนอ๋องเย่ด้วยความเหนื่อยล้า หนานกงเย่รีบอุ้มนางไปแช่ในสระกำมะถันอย่างรวดเร็ว ถือโอกาสปล่อยร่างกายให้ได้พักผ่อนไปด้วย

ฉีเฟยอวิ๋นออกมาและเข้านอนอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็หลับไปในที่สุด

หนานกงเย่หันไปดูเด็ก ๆ เขาไม่ได้กลับจวนหนึ่งคืนเต็ม ยังคิดอยู่เลยว่าพวกเด็ก ๆ อาจจะคิดถึงเขามากเป็นแน่ แต่ผลลัพธ์คือทุกคนนอนหลับอย่างสงบ

ความผิดหวังถาโถมเข้ามา จากนั้นหนานกงเย่ก็แทรกตัวเข้าไปในใต้ผ้าห่มและโอบกอดฉีเฟยอวิ๋นไว้ พลางกล่าวพึมพำว่า : “คนหนึ่งไม่สู้อีกคนหนึ่ง ไม่สำนึกเอาเสียเลย เหมือนกับแม่ของพวกเขาไม่มีผิด”

ฉีเฟยอวิ๋นขยับตัวเล็กน้อย หลับเหมือนคนหมดสติอย่างไรอย่างนั้น

หนานกงเย่เองก็จนปัญญา ทำได้เพียงแค่นอน

ยามราตรีที่เงียบสงัดกลับมีเสียงคนเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว หนานกงเย่รีบลืมตาขึ้นมาทันที จากนั้นก็หันไปมองทางประตู ฉีเฟยอวิ๋นเองก็ตื่นแล้วเช่นกัน

ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางประตูและกล่าวถามว่า : “ผู้ใด?”

“ราชครูมาพ่ะย่ะค่ะ พาฮูหยินรองมาด้วย”

ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นมาสวมเสื้อคลุมจากนั้นก็เดินออกมาจากห้อง หนานกงเย่รีบตามออกไปเช่นกัน

“เชิญราชครูและฮูหยินรองไปยังเรือนจวินจื่อเถอะ ไปในห้องที่ฮูหยินรองพักอยู่” ฉีเฟยอวิ๋นรีบหยิบกล่องยาและตามออกไป ตรงไปยังเรือนจวินจื่นอย่างรีบร้อน

จวนอ๋องเย่พากันแตกตื่น เรือนจวินจื่อฝั่งนั้นก็มีคนเดินออกมาดูสถานการณ์ไม่น้อย

เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปแล้วก็รีบเตรียมตัวทันที ราชครูจวินพากลุ่มคนสองสามคนมาด้วย ครานี้ค่อนข้างเชื่อฟังอย่างมาก ร่างของฮูหยินรองถูกยกขึ้นมา

ฮูหยินรองนอนลงบนเตียงไม้ตัวหนึ่ง

ทันทีที่ฮูหยินรองเข้ามา ฉีเฟยอวิ๋นก็เรียกบ่าวรับใช้มาช่วยประคองฮูหยินรองนอนลง จากนั้นก็รีบเข้าไปตรวจดูอาการให้แก่ฮูหยินรองทันที นางตรวจร่างกายโดยรวมเล็กน้อย ทุกอย่างเป็นไปตามที่ฉีเฟยอวิ๋นคาดเดาไว้แล้วจริง ๆ โรคเกาต์ของฮูหยินรองกำเริบอีกแล้ว

ราชครูจวินยืนอยู่ด้านข้างด้วยความเป็นห่วง จากนั้นก็ซักถามฉีเฟยอวิ๋นว่า : “เป็นอย่างไรบ้าง?”

“ราชครูพักก่อนเถอะเจ้าค่ะ” ฉีเฟยอวิ๋นเริ่มฉีดยาให้แก่ฮูหยินรอง หลังจากที่ฉีดยาให้ฮูหยินรองเรียบร้อยแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็เรียกบ่าวรับใช้ไปก่อไฟเตาอั้งโล่สักสองสามเตา

“ใต้ห้องแห่งนี้มีเครื่องทำความร้อน ยังต้องใช้เตาอีกอย่างนั้นหรือ?” มามาไม่เข้าใจจึงกล่าวถามเป็นธรรมดา

ฉีเฟยอวิ๋นอธิบาย : “โรคเกาต์นี้ ความน่ากลัวของมันคืออากาศหนาว วันนี้ฮูหยินรองตกลงไปในทะเลสาบน้ำแข็ง อาการเกาต์จึงได้กำเริบ จะต้องอบร่างกายด้วยความร้อนถึงจะช่วยบรรเทาลงได้”

มามารีบวิ่งออกไปทันที ไปหาเตาอั้งโล่ในลานกว้าง

ไม่นานภายในห้องก็เต็มไปด้วยเตาอั้งโล่มากกว่าสิบเตา ฉีเฟยอวิ๋นถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นก็เรียกบ่าวรับใช้มาก่อไฟเพิ่มความอุ่นในเตา

ราชครูจวินเห็นสีหน้าของฮูหยินรองไม่สู้ดีนัก จึงเอ่ยถามขึ้น : “นางเป็นโรคเกาต์หรือ?”

เหตุใดเขาถึงไม่รู้มาก่อน?

ฉีเฟยอวิ๋นมองเห็นถึงความคิดของราชครูจวิน จึงได้กล่าวขึ้นว่า : “ฮูหยินรองเป็นโรคเกาต์มานานแล้ว แต่อาจจะไม่เคยบอกราชครู หม่อมฉันเองก็เพิ่งตรวจเจอโรคนี้ในตอนที่นางมายังจวนอ๋องเย่ในครานี้ หม่อมฉันกำลังรักษาให้กับฮูหยินรอง หวังให้นางอยู่รักษาตัวในจวนอ๋องเย่เป็นเวลาสามเดือน

คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้เสียก่อน”

ใบหน้าที่ดูมีอายุของราชครูจวินซีดเผือดลง จากนั้นก็เอ่ยถามฉีเฟยอวิ๋นว่า : “ถึงแก่ชีวิตหรือไม่?”

“อาจจะไม่ถึงแก่ชีวิต แต่เวลาปวดขึ้นมากลับทุกข์ทรมานเสียยิ่งกว่าตาย คนทั่วไปมักทนไม่ไหว” ฉีเฟยอวิ๋นตอบกลับไปตามความจริง

ราชครูจวินกล่าวถามว่า : “แล้วจะรักษาหายหรือไม่?”

“รักษาไม่หายเจ้าค่ะ ทำได้เพียงแค่บรรเทาอาการ แต่ต้องดูแลบำรุงตนเองอย่างดี ถึงจะไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”

โรคเกาต์ชนิดนี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ผู้ป่วยจะต้องดูแลรักษาตนอย่างดี

ราชครูจวินรับไม่ได้ มันกะทันหันเกินไป

ฉีเฟยอวิ๋นจึงกล่าวขึ้นว่า : “นางน่าจะเป็นโรคนี้มาห้าสิบกว่าปีแล้ว นานถึงเพียงนี้ แสดงว่าจะต้องเป็นมาตั้งแต่วัยเยาว์อย่างแน่นอน ตอนที่เป็นโรคเกาต์นี้ นางน่าจะประสบกับความเหน็บหนาวอย่างรุนแรงมาก่อนเป็นแน่ ไม่อย่างนั้นไม่มีทางเป็นได้”

เมื่อฉีเฟยอวิ๋นกล่าวเช่นนี้ ราชครูจวินจึงได้นึกย้อนกลับไปในช่วงที่เขาและฮูหยินรองได้อยู่ด้วยกัน เพราะเรื่องนี้เป็นความคิดริเริ่มของเขาเอง โดยไม่ได้ปรึกษามารดาของเขา ตอนนั้นเขาอยากสู่ขอฮูหยินรองผู้นี้มาเป็นคู่ชีวิต ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ

เพียงแต่หลังจากที่เขาวางแผนอย่างดีแล้ว ต่อมาก็เกิดปัญหาใหญ่ขึ้น แม่ของเขาโกรธมาก คิดว่าฮูหยินรองหวังจับเขา และยังไม่เข้าใจกฎระเบียบอีกด้วย ดังนั้นจึงให้ฮูหยินรองไปคุกเข่าอยู่บนน้ำแข็งที่เยือกเย็นจับใจ เป็นเวลาสามวันสามคืน

ตอนนั้นเขาไม่สามารถขัดขวางแม่ของตนเองได้ ทำได้แค่ยืนมอง ฮูหยินรองกลับยังคงปิดปากเงียบ ไม่ปริปากพูดสักคำว่าเขาเป็นฝ่ายปรารถนาก่อน

เดิมทีเขาคิดจะสู่ขอฮูหยินรองให้มาเป็นภรรยาเอก แต่กลับกลายเป็นเพียงสาวใช้ห้องข้าง*

ทำให้ช่วงเวลานั้น ไม่มีใคคให้เกียรติฮูหยินรองสักคนเดียว

เมื่อนางเข้ามาเป็นภรรยาเอก ฮูหยินรองก็ยังถูกกดขี่ข่มเหงอยู่เป็นระยะเวลาหนึ่ง ทั้งหมดนี้ จู่ ๆ ราชครูจวินก็นึกขึ้นได้อย่างฉับพลัน

“จะต้องอยู่ที่นี่ถึงจะดีขึ้นใช่หรือไม่?” ราชครูจวินได้สติกลับมาก็รีบถามทันที

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า : “หากราชครูจวินมีเครื่องทำความร้อนอยู่ใต้ห้อง หม่อมฉันจะเป็นคนไปตรวจอาการฮูหยินรองทุกวันด้วยตนเอง”

“ไม่มีหรอก ไม่มีเครื่องทำความร้อนในจวนหรอก ที่นี่ก็ไม่เลวนะ ข้าว่าข้าอยู่ต่อที่นี่ดีกว่า เพราะมันเงียบมากด้วย” ราชครูจวินมองไปทางฮูหยินรองที่หลับไปแล้ว

“เจ้าทำสิ่งใดกับนาง นางถึงได้กลิ้งไปกลิ้งมาเช่นนี้” ราชครูจวินเห็นนางกลิ้ง ร่างกายก็เต็มไปด้วยเหงื่อ ถามก็ไม่พูด จากนั้นภาพหนึ่งก็ยิ่งลำบากใจมากกว่าเดิม เมื่อเห็นฮูหยินรองหยิบบางอย่างเข้าปาก

ราชครูจวินเห็นดังนั้นจึงได้รู้ ที่แท้นั้นคือยาพิษ

เขาจึงตระหนักได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง

ราชครูจวินถูกบีบให้ตกอยู่ในสถานการณ์นี้ ฮูหยินรองร้องเจ็บปวด แต่เมื่อกล่าวจบก็เริ่มเจ็บปวดอย่างทรมาน ร้องไห้คร่ำครวญไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

ราชครูจวินจึงออกคำสั่งเตรียมตัว ทุกคนทยอยกันมาที่แห่งนี้

ฉีเฟยอวิ๋นครุ่นคิดเล็กน้อย : “เรือนจวินจื่อปลอดภัย อยู่รักษาตัวที่นี่ก่อนเถอะ หม่อมฉันจะจัดยาบรรเทาอาการเจ็บปวดให้ สถานการณ์ในตอนนี้หมดหนทางแล้ว ทำได้แค่ต้องปล่อยให้เป็นเช่นนี้ หม่อมฉันสั่งให้คนไปต้มน้ำแกงขิงแล้ว ประเดี๋ยวจะให้ฮูหยินรองดื่ม น่าจะไม่เป็นอะไร”

ราชครูจวินพยักหน้า จากนั้นก็เดินมานั่งข้างกายของฮูหยินรอง ดึงผ้าห่มมาคลุมตัวให้ฮูหยินรอง ก่อนจะโน้มตัวลงนั่งอย่างงุ่นง่าน ช่างน่าสงสารยิ่งนัก

ฉีเฟยอวิ๋นออกคำสั่ง จากนั้นก็นั่งลงข้างกาย หนานกงเย่ไม่ยอมจากไปไหนอย่างแน่นอน เขาเอนกานพิงพนักอยู่ข้างกายฉีเฟยอวิ๋น

ฮูหยินเรือนรองก็มาถึง แต่นางกลับยืนรออยู่หน้าประตู

ราชครูจวินกล่าวว่า : “กลับไปให้หมด”

ฮูหยินเรือนรองจึงได้กลับไป

รอจนกระทั่งจากไปราชครูจวินมองไปทางหนานกงเย่และกล่าวว่า: “เจ้าตั้งใจจะแตกหักกับเมืองอู๋โยวเช่นนั้นหรือ?”

ฉีเฟยอวิ๋นไม่เข้าใจ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?

หนานกงเย่ลืมตาขึ้นมามองราชครูจวิน : “ในราชสำนัก ไม่มีผู้ใดสนับสนุนข้าเลยสักคนเดียว”

ราชครูจวินหลุบตามองฮูหยินรอง พลางทอดถอนใจ : “เมืองต้าเหลียงในตอนนี้สู้ไม่ได้หรอก และจะไม่ฝืนด้วย ฝ่าบาทรู้แก่ใจดี เหล่าขุนนางรู้แก่ใจดียิ่งกว่า ทำได้เพียงแค่ตอบรับคำร้องของเมืองอู๋โหยว ไม่มีหนทางอื่นอีกแล้ว”

ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางหนานกงเย่ที่อยู่ข้างกาย หนานกงเย่มีสายตาเย็นชา สีหน้าก็ดูไม่ดี ดูเหมือนเพราะเรื่องนี้ เขาจึงไม่เห็นด้วย

ราชครูจวินกล่าวถามขึ้นว่า : “แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่เห็นด้วย?”

“ข้าไม่ใช่ราชครูจวิน ไม่มีทางยอมยกลูกหลานของตนเองให้คนป่าเถื่อนเช่นนั้นย่ำยีเป็นแน่” หนานกงเย่กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางเขาอย่างประหลาดใจ

เขามองไปทางฉีเฟยอวิ๋น ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชา

ราชครูจวินเงยหน้ามองหนานกงเย่ : “ทั้งสองเมืองมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน อย่างไรเสียก็ต้องมีการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองเมือง”

“หึ…..หากเป็นบุตรสาวของเมืองอู่โหยวเข้าสู่เมืองต้าเหลียง ข้าก็ยังพอครุ่นคิดได้ แต่บัดนี้เมืองอู๋โหยวและเมืองต้าเหลียงของข้าก็มีความเจริญรุ่งเรืองพอ ๆ กัน เหตุใดเมืองต้าเหลียงถึงตอบรับเขา ยกบุตรสาวให้เมืองของเขาไปละ?

เมืองต้าเหลียงเป็นอย่างไร? ขายบุตรสาวเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของเมืองเช่นนั้นหรือ?”

ประโยคหลังสุดของหนานกงเย่เต็มไปด้วยแรงอาฆาต ฉีเฟยอวิ๋นสูดลมหายใจเย็นเข้าลึก ๆ จากนั้นก็มองไปทางหนานกงเย่โดยไม่พูดสิ่งใด

ราชครูจวินปรายตามอง : “เชื้อพระวงศ์ไม่มีบุตรสาว เหตุใดจะต้องตึงเครียดเช่นนั้นด้วย?”

“ต่อให้เป็นบุตรสาวของเมืองต้าเหลียง ก็แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ไม่ได้ ข้าไม่มีทางยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้นแน่ หากวันนี้ได้เจอกับหญิงสาวที่ต้องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ บุตรสาวในอนาคตของข้าจะต้องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ข้าไม่อาจปกป้องบุตรสาวได้ ข้ายังมีหน้าจะมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกหรือ? จะปกป้องเมืองต้าเหลียงได้อย่างไร?”

หนานกงเย่มองไปทางราชครูจวินด้วยความโกรธ จากนั้นก็ตะโกนออกไปด้วยความโกรธเกรี้ยว!

*สาวใช้ห้องข้าง เผื่อเวลาลงสนามจริงจะได้ไม่อับอายขายหน้าภรรยาเอก