เดิมทีตู๋กูซิงหลันตระเตรียมจะรับแรงระเบิดอารมณ์ของเขาเอาไว้แล้ว แต่ว่าคราวนี้เขา กลับทำให้นางคาดการณ์ผิดไปเสียแล้ว
……………………………………….
ในเรือนหลัก หยวนเฟยพาตู๋กูจุนกลับมาพัก
เลือดจากทรวงอกของเขายังไหลไม่ยอมหยุด ฝ่ามือของหยวนเฟยเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสดๆ ของเขา พอส่งคนกลับไปถึงห้อง แม่ทัพผู้แข็งแกร่งก็ล้มพับลงไปบนเตียงแล้ว
หยวนเฟยช่วยปลดเสื้อคลุมให้เขา ถอดชุดชั้นนอกออกไป ผ้าพันแผลถูกเลือดย้อมเสียจนชุ่มโชกแล้ว
นางหยิบกรรไกรมา ค่อยๆ ตัดผ้าออกอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็หายาห้ามเลือดมาทาลงบนปากแผล ค่อยใช้ความระมัดระวังยิ่งกว่าเดิมพันแผลให้เขาใหม่
ตู๋กูจุนเสียเลือดมากเกินไป ได้แต่นอนอยู่บนเตียง แต่ว่าคนยังคงมีสติสมบูรณ์อยู่
” พระสนมหนวนเฟยสูงส่งดุจทองคำ ให้ท่านต้องมาดูแลข้าแม่ทัพด้วยตนเองเช่นนี้ ข้าแม่ทัพไม่อาจตอบแทนบุญคุณของท่านได้ ” น้ำเสียงของตู่กูจุนทั้งเบาทั้งอ่อนแรง
” ศรดอกนี้เป็นท่านแม่ทัพรับเอาไว้แทนข้า ข้าดูแลท่านก็เป็นเรื่องสมควรอยู่แล้ว ” หยวนเฟยพันผ้าให้เขาใหม่แล้วก็ให้เขากลืนยาบำรุงเลือดลงไปอีกเม็ดหนึ่ง ค่อยนั่งลงที่ข้างกายเขา
” ท่านแม่ทัพ ทางที่ดีตลอดเดือนนี้ท่านอย่าได้เคลื่อนไหววุ่นวาย หากเป็นคนทั่วไปมาเสียเลือดมากมายเช่นท่านคงจะมอดม้วยไปตั้งแต่แรกแล้ว” สองมือของนางเท้าคางเอาไว้ ในใจก็นับถือตู๋กูจุนมากกว่าเดิม
ในแผ่นดินต้าโจวนี้นางได้พบเห็นบุรุษมาก็ไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นขุนนางบุ๋น ไม่ค่อยมีใครที่เป็นชาติบุรุษอาชาไนยเหมือนตู๋กูจุน
ตู๋กูจุนเพียงยิ้มน้อยๆ ไม่ได้กล่าววาจา ในสงครามเขาแขวนชีวิตเอาไว้ครึ่งหนึ่ง ยังอันตรายกว่านี้มากนัก
แต่ละครั้งที่ถือดาบฟาดฟันอยู่ในสนามรบ ล้วนไม่เคยขมวดคิ้วมาก่อน
พอคิดถึงสนามรบ เขายิ่งคิดถึงฉางซุนซู่
” ท่านแม่ทัพ องค์หญิงใหญ่เกลียดชังท่านถึงเพียงนี้ เป็นเพราะท่านฆ่าราชบุตรเขยไปจริงหรือ? ” นิสัยของหยวนเฟยนั้นตรงไปตรงมา ในเมื่อสงสัยขึ้นมาแล้ว ก็ถามออกไปตรงๆ
เมื่อครู่ตอนอยู่ที่เรือนตะวันตก หากว่าข้างกายมีดาบอยู่ละก็ นางเชื่อว่าองค์หญิงใหญ่คงจะไม่ลังเลที่จะใช้มันแทงเขาเป็นแน่
คำถามนี้ทำเอาตู๋กูจุนถึงกับเงียบงันไป
” หากว่าท่านแม่ทัพไม่สะดวกที่จะตอบ ก็ไม่ต้องบอกข้าก็ได้” หยวนเฟยก็ไม่คิดจะบังคับให้ผู้อื่นลำบากใจ
ยามปกตินางก็มิใช่คนสอดรู้สอดเห็น เมื่ออยู่ในวังที่ต่างคนต่างอยู่นางก็ทำมาจนชินเสียแล้ว ทั้งยังมิใคร่สนอกสนใจผู้ใด
ที่ถามท่านแม่ทัพออกไปเช่นนี้ ก็เพราะนางเกิดความกังวลใจในตัวเขาขึ้นมา
เพราะอย่างไร………เขาก็เป็นผู้มีพระคุณของนาง
” ข้าฆ่าเขาเอง” ตู๋กูจุนไม่ได้ปิดบังนาง “ราชบุตรเขยฉางซุนซู่ สิ้นในสงครามกับริวกิว ด้วยน้ำมือของข้าแม่ทัพ”
” เรื่องนี้อดีตฮ่องเต้ทรงทราบดี หลังกลับถึงเมืองหลวงแล้ว จึงรับสั่งให้ลงทัณฑ์ข้าแม่ทัพหนึ่งร้อยแส้ ไม่ให้รับเงินหลวงสิบปี เรื่องนี้ถือว่าสิ้นสุดแล้ว”
เรื่องเงินถือเป็นเรื่องรอง เพราะหากใช้เงินจัดการแก้ปัญหาได้ก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหาอีกต่อไป
แต่ว่าหนึ่งร้อยแส้นั้น!
หยวนเฟยถึงกลับตระหนกแล้ว ฟังว่าแม่ทัพทั่วไปเพียงโดนเข้าไปห้าสิบแส้ก็ไม่อาจรอดกันแล้ว
เขากลับทนได้ถึงร้อนแส้ แล้วยังมีชีวิตรอดมาได้? นี่ต้องเรียกว่าเป็นตัวประหลาดแล้ว!
” ขอท่านอย่าได้ตำหนิที่ข้าถามไถ่มากความ ท่านแม่ทัพมีเหตุจำเป็นอันใดจึงต้อง…….ฆ่าท่านราชบุตรเขย? ” หยวนเฟยรู้สึกว่าเรื่องนี้จะต้องมีปัญหา
คนเช่นตู๋กูจุนไม่มีทางฆ่าคนอย่างไร้ความผิด
อย่าว่าแต่คนผู้นั้นยังเป็นถึงราชบุตรเขยของแคว้นหนึ่ง
ทั้งๆ ที่รู้ชัดว่าหากฆ่าเขาแล้วจะต้องรับเรื่องเลวร้ายที่ตามมา เขาก็ยังจะทำ?
” หากเป็นเพราะว่าไม่อาจหลีกเลี่ยง หรือมีความจำเป็นอันใดละก็……..ข้าคิดว่า บางทีองค์หญิงใหญ่อาจจะทรงเข้าพระทัยบ้างก็ได้ ” หยวนเฟยยังคงกล่าวต่อไป เพราะนางเองก็เห็นว่าองค์หญิงใหญ่มิใช่คนที่ไร้เหตุผลใดๆ เสียทีเดียว
ตู๋กูจุนกลับไม่ตอบคำถามของนางแล้ว
นานพักใหญ่เขาจึงกล่าวว่า ” ข้าแม่ทัพเหน็ดเหนื่อยแล้ว อยากจะหลับสักพัก ขอพระสนมหยวนเฟยเสด็จกลับวังโดยเร็วเถอะพะยะคะ อย่าได้ให้ฝ่าบาททรงห่วงหา “
พูดจบแล้วเขาก็หลับตาลง
ภาพในสมองหมุนวนอีกครั้ง ทุกที่ยังคงมีแต่เลือดและซากศพ และยังคงเป็นศพที่อ้าปากตาค้างนั้น
” เมื่อข้าตายแล้ว ขอท่านแม่ทัพโปรดดูแลเสี่ยวฉุนและลูกที่กำลังจะเกิดมาของข้าด้วย”
หัวใจของเขาราวถูกหินก้อนใหญ่ทับเอาไว้ จนแทบจะหายใจไม่ออก
หยวนเฟยมองดูท่าท่างที่จะอย่างไรก็ไม่ยอมพูดจาของเขา ก็ได้แต่ส่ายศีรษะ
เป็นเพราะเขาหลงชอบองค์หญิงใหญ่ จึงได้หาโอกาสในสนามรบฆ่าราชบุตรเขย เพื่อจะได้เข้าไปแทนที่เขาหรือ?
บุรุษผู้นี่จะต้องมีความหลังอยู่เป็นแน่
……………………………………….
หลายวันนี้ตู๋กูซิงหลันล้วนพำนักอยู่ในจวน จีเฉวียนเองก็ประหลาดไป เขาไม่ได้จับตัวนางกลับไปด้วย
และไม่รู้ว่าเชียนเชียนไปฟังข่าวจากฆ้องปากแตกที่ใด จึงมาเล่าให้นางฟังว่า ฝ่าบาททรงเรียกหาซูกุ้ยเฟยอยู่ทุกค่ำคืน
ไม่เพียงแต่เท่านี้ แม้แต่ยามเสวยก็ยังให้ซูกุ้ยเฟยของปรนนิบัติอยู่ข้างๆ บางครั้งยังคีบอาหารให้ซูกุ้ยเฟยอีกด้วย กิริยารักใคร่โปรดปราน แทบจะทรงยกซูกุ้ยเฟยลอยขึ้นฟ้าไปอยู่แล้ว
” นายหญิงเจ้าคะ เกรงว่าวังหลังอีกไม่นานก็คงจะมีฮองเฮาแล้วละเจ้าค่ะ ” เชียนเชียนช่วยนางหวีผม “ยังดีที่ซูกุ้ยเฟยทรงมีความสัมพันธ์อันดีกับท่าน คิดว่าต่อไปคงไม่ได้ทรงสร้างความลำบากใจอันใดให้ “
เชียนเชียนเองก็รู้เห็นมาไม่น้อย เมื่ออยู่ในวังต่อหน้าเรียกกันเป็นพี่เป็นน้อง แต่เพื่อแย่งชิงความโปรดปรานแล้วกลับกลายเป็นความแค้น นางเกรงว่าพระสนมกุ้ยเฟยเมื่อทรงกลายเป็นฮองเฮาแล้วจะเปลี่ยนไป หากเปลี่ยนจากพี่น้องเป็นศัตรู นายหญิงไยจะไม่เสียใจ
ตู๋กูซิงหลันมองดูตัวเองในกระจก อยู่ๆ ก็คิดถึงคำที่จีเฉวียนตรัสขึ้นมาในวันนั้น “เสียดายที่ไม่ได้แต่งให้กับเราหรือไม่? “
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรจิตใจของนางจึงรู้สึกสับสนขึ้นมา
เขาเป็นบุรุษเจ้าชู้มากรักในยุคนี้ ทางหนึ่งโอบกอดซูเฟยเอาไว้ อีกทางก็มาติดพันนาง
พอฟังคำของเชียนเชียนแล้ว เส้นเชือกในสมองของนางก็พันกันยุ่งเหยิงไปหมด
เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเจ้าฮ่องเต้สุนัขนั้นกำลังใช้อุบายยุให้แตกกัน คิดจะทำลายความสัมพันธ์ฉันท์พี่สาวน้องสาวที่บริสุทธิ์ของนางกับซูเฟย
หากไม่ได้ตีให้นางจนหัวแตกอย่าหวังว่านางจะยอมแพ้!
เจ้าจิ้งจอกเฒ่านี้นับว่าเป็นตัวร้ายถึงขั้นสุดแล้ว
พอคิดได้แล้ว จิตใจของนางก็พลอยสดใสขึ้นมา
ที่ด้านนอกเรือนสายลมหนาวพัดโหม บานหน้าต่างยังคงเปิดอยู่ วิญาณทมิฬเล่นอยู่เพียงลำพังที่ในสวน นับตั้งแต่ที่มันได้กลืนกินปีศาจฝันร้านที่อยู่ในความฝันขององค์หญิงใหญ่ลงไปนั้น จิตวิญญาณของมันก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย ยามนี้มันสามารถออกจากเงาของตู๋กูซิงหลัน มาโลดแล่นไปมาอยู่รอบๆ บริเวณของนางได้แล้ว
มันปีนขึ้นไปบนต้นไม้ ส่งเสียงหอนดุจหมาป่าอย่างยินดี
มันพึ่งจะตะเบ็งคอหอนเสร็จ ก็เห็นเงาดำกลุ่มหนึ่งบินโฉบเข้ามาในสวน
เงาดำนั่นพุ่งผ่านหน้าต่างไป ลอยตัวอยู่บนฝ่ามือของตู๋กูซิงหลัน กลายเป็นนกกระเรียนกระดาษขนาดนิ้วโป้งตัวหนึ่ง
ตู๋กูซิงหลันขมวดคิ้วน้อยๆ หมุนตัวออกไปนอกจวน
วิญญาณทมิฬก็ติดตามไป
นกกระเรียนกระดาษนั้นบินนำอยู่ด้านหน้า นี่เป็นจิตที่เกิดจากยันต์ติดตามใบนั้น มันมาหาตู๋กูซิงหลัน เป็นเพราะค้นพบสิ่งใดกัน
คนทั่วไปไม่อาจมองเห็นนกกระเรียนกระดาษสีดำ มันขยับปีกสองข้างโผบินอยู่ด้านหน้า ตู๋กูซิงหลันก็ติดตามอยู่ด้านหลัง
พอออกไปนอกจวนตระกูลตู๋กู ลดเลี้ยวอยู่หลายรอบ นกกระเรียนกระดาษก็พุ่งเข้าไปในตรอกแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว
ตู๋กูซิงหลันลังเลอยู่เล็กน้อย นางเห็นบนถนนมีร้านขายหน้ากากร้านเล็กๆ อยู่ นางจ่ายเงินซื้อหน้ากากมาใบหนึ่งก็สวมลงไป สบัดเท้าดุจสายลม ติดตามไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อติดตามมาตลอดทาง ในที่สุดก็หยุดลงที่ประตูวัง
ทันทีที่ตู๋กูซิงหลันหยุดเท้าที่หน้าประตูวัง นกกระเรียนกระดาษสีดำก็บินข้ามประตูเข้าไป แต่ก็ถูกไอมังกรของวังหลวงพัวพันไว้ เพียงไม่นานก็กลับกลายเป็นควันสีดำแลสลายไปในอากาศ
วิญญาณทมิฬเองก็ประหลาดใจไม่น้อย “คนที่ควบคุมองค์หญิงใหญ่ ก็อยู่ในวังหลวงหรือ? “